ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 35 เก็บกวาด
ตอนที่ 35 เก็บกวาด
“มิกล้าขอรับ” พานชิ่งรีบก้มศีรษะ ท่าทางดูหวาดกลัว
มู่ชิงโหรวยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือไปปิดกล่องหยกแล้วรับเอากล่องหยกมา จากนั้นโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
พานชิ่งรีบโค้งตัวแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ไม่รั้งอยู่ให้เกะกะสายตาอีก
กระทั่งเขาเดินออกไปแล้ว มู่ชิงโหรวจึงยิ้มพลางกล่าวขึ้นมาอีกครั้งว่า “น้ำใจเล็กน้อย ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น มอบจากมือฉันเอง คิดว่าทหารคุ้มกันที่อยู่รอบๆ ก็คงได้เห็นแล้ว ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากฉันก็แล้วกัน”
ลั่วเทียนเหอมองเธอ “ท่านคิดจะพูดแทนตระกูลพาน?”
มู่ชิงโหรวส่ายศีรษะ “เจ้าเมืองลั่ว กล่าวหนักไปแล้ว จากที่ฉันรู้มามันไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย นังหนูคนนั้นฉันเองก็รู้จัก จริงอยู่ที่ชอบอวดดีเอาชนะ แต่ถ้าบอกว่าเธอกล้าไปทำตัวกำเริบเสิบสานภายในเมืองปู๋เชวี่ย ฉันมั่นใจว่าเธอไม่กล้าแน่ หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ฉันเองก็คงจะไม่ปล่อยเธอเอาไว้ แต่แน่นอน หากเจ้าเมืองลั่วต้องการจะลงโทษเธอก็เป็นเรื่องที่สมควร ทำให้เจ้าเมืองลั่วไม่พอใจก็จำเป็นต้องลงโทษ จะได้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ฉันเพียงแค่อยากถามว่า ท่านเจ้าเมืองลั่วคิดจะลงโทษอย่างไรหรือ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ส่งเข้าคุก ขังร้อยปี!”
มู่ชิงโหรวกล่าว “เพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดต้องขังถึงร้อยปีด้วย ด้วยอายุของเธอ ต่อให้ขังเธอเอาไว้สามปี เพียงแค่ยาเซียนหมดฤทธิ์เธอก็ตายแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องขังเอาไว้นานขนาดนั้นเลย แค่ลงโทษนิดหน่อยให้พอรู้สำนึกก็พอแล้ว ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” นี่มันเป็นการขอร้องแทนพานหลิงอวิ๋นชัดๆ
……
หลินยวนที่เดินมาถึงหน้าห้องผู้ช่วยของท่านประธานชะงักฝีเท้า
เรื่องแรกของการทำงานในวันนี้คือการตรวจดูหน่อยว่าฉินอี๋จัดการเรื่องกวนเสี่ยวชิงแล้วหรือยัง แต่ผลปรากฏว่าเพียงมองเข้าไปก็เห็นกวนเสี่ยวชิงที่อยู่ภายในห้องผู้ช่วย กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับซูเฉี่ยวหลิน ซูเฉี่ยวหลินคล้ายกำลังสอนอะไรกวนเสี่ยวชิงอยู่
คนที่สามที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าห้องผู้ช่วยคือหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ชื่อซุนอวี้หง เธอเองก็เป็นผู้ช่วยของไป๋หลิงหลงเช่นกัน เป็นคนที่อายุมากที่สุดภายในห้องผู้ช่วย
ตอนที่ฉินเต้าเปียนยังนั่งในตำแหน่งประธานของหอการค้า หญิงผู้นี้คือผู้ช่วยคนสนิทของหลิ่วจวินจวิน หลังฉินอี๋รับตำแหน่งประธานหอการค้ามา เธอก็ไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่าย ไป๋หลิงหลงเองก็ไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่าย ปัจจุบันนี้ยังคงให้เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ปกติเวลาที่คนอื่นไม่อยู่ ซุนอวี้หงก็มักจะนั่งประจำการอยู่ที่นี่
“คุณหลิน” ซุนอวี้หงลุกขึ้นทักทาย
ซูเฉี่ยวหลินและกวนเสี่ยวชิงมองเห็นเขาในทันที กวนเสี่ยวชิงจำที่ไป๋หลิงหลงสั่งกำชับเอาไว้ได้ เดิมคิดอยากจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก แต่ใครจะไปรู้ว่าหลินยวนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทาย “เสี่ยวชิง”
ซูเฉี่ยวหลินมองดูกวนเสี่ยวชิงอย่างประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังถามว่า ‘เธอรู้จักเขาเหรอ?’
กวนเสี่ยวชิงจึงได้แต่ต้องเดินเข้าไป “พี่หลิน” ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาบอกให้ไปคุยกันอีกด้านหนึ่ง
หลินยวนเดินตามเธอไป กระทั่งออกห่างมาได้ประมาณหนึ่งแล้วจึงถามขึ้นมาว่า “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
กวนเสี่ยวชิงยิ้มขึ้นมา “ต้องขอบคุณที่พี่หลินช่วยพูดให้ ฉันไม่เพียงแต่จะได้อยู่ที่นี่ต่อ แต่ผู้ช่วยไป๋ยังเห็นแก่หน้าพี่ ให้ฉันมาทำงานเป็นผู้ช่วยของเธอด้วย”
“เป็นผู้ช่วยของไป๋หลิงหลง?” หลินยวนงุนงงไปทันที ก่อนจะเหลียวหน้ามองไปทางห้องผู้ช่วย หัวคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเหลียวหน้ากลับมาถามว่า “เธอพอใจตำแหน่งนี้หรือเปล่า? ถ้าไม่พอใจก็เปลี่ยนไปตำแหน่งอื่นได้นะ”
ไม่พอใจอะไรล่ะ พอใจมากๆ เลยล่ะ กวนเสี่ยวชิงรีบกล่าว “ไม่ต้องแล้ว ตำแหน่งนี้ดีมาก ฉันพอใจมาก ขอบคุณพี่หลินมากนะคะที่ช่วย เพียงแต่…”
หลินยวนกล่าว “กับฉันเธอไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรก็พูดมาได้เลย” ด้วยความสัมพันธ์ของตระกูลกวนกับเขา เขาเองก็มองว่าเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งเช่นกัน อย่างน้อยก็ถือเป็นน้องสาวครึ่งหนึ่ง
กวนเสี่ยวชิงกล่าวเสียงเบาลงทันที “ผู้ช่วยไป๋บอกว่าอย่าให้คนอื่นรู้ว่าฉันใช้เส้นสายทำให้ตัวเองได้อยู่ที่นี่ต่อจะดีที่สุด ต่อไปตอนที่อยู่ในหอการค้า พวกเราทำเป็นไม่รู้จักกันได้ไหมคะ?”
หลินยวนงุนงงไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาทันที “ได้”
เขาเองก็กำลังอยากจะรักษาระยะห่างกับตระกูลกวนอยู่พอดี
ในเวลานี้เอง ฉินอี๋เดินออกมาจากด้านใน ไป๋หลิงหลงเดินตามอยู่ด้านหลัง ท่าทางดูค่อนข้างรีบร้อน
เมื่อเห็นหลินยวนอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนต่างก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ฝีเท้าก็มิได้หยุดชะงัก หากแต่เดินตรงต่อไป ทำเอาหลินยวนและกวนเสี่ยวชิงต้องยืนหลบไปด้านข้าง กวนเสี่ยวชิงโค้งกายเล็กน้อย “ท่านประธาน”
เธอดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด สำหรับคนที่เพิ่งมาอยู่ข้างกายฉินอี๋เป็นครั้งแรกแล้ว รัศมีที่แผ่กระจายออกมาจากตัวท่านประธานนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก สร้างความกดดันให้กับเธอไม่น้อย
ฉินอี๋ส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านทั้งสองคนไป ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอย่างอื่นอีก ไม่แม้กระทั่งเหลือบมองดูหลินยวน
ซูเฉี่ยวหลินหอบกองเอกสารวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ก่อนจะยัดเอกสารชุดหนึ่งใส่ในมือกวนเสี่ยวชิง พลางกล่าวเตือนเสียงเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “ท่านประธานจะประชุมแล้ว รีบไปเร็ว”
กวนเสี่ยวชิงรีบตามไป ไม่ลืมที่จะหันกลับมาแสดงสีหน้าขอโทษหลินยวน
หลินยวนยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้า ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่เร่งร้อน เรื่องราวจัดการเสร็จเรียบร้อย ทางตระกูลกวนน่าจะสบายใจได้แล้ว เขาเองก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไรด้วยเช่นกัน
ซุนอวี้หงที่คอยจับตาดูเหตุการณ์ทั้งหมดค่อยๆ นั่งลงไปอีกครั้ง จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่รู้ว่าติดต่อใคร
…….
หลินยวนที่กลับมาถึงห้องพักผ่อนของตนได้กลิ่นซิการ์ที่กำลังลุกไหม้ เขาหันหน้าไปมอง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หลัวคังอันมาที่นี่ กำลังนั่งพ่นควันอยู่บนโซฟา
เมื่อเห็นเขามาแล้ว หลัวคังอันจึงกล่าวถามว่า “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ทำไมพอกลับมานายก็ไม่อยู่แล้ว?”
“สถานที่แบบนั้นไม่เหมาะกับผม” หลินยวนเองก็เดินไปนั่งลงข้างๆ กล่าวถามว่า “มีธุระเหรอ?”
“ไม่มีธุระแล้วมาไม่ได้เหรอ?” หลัวคังอันแสดงท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มส่งเสียงถอนใจ พร่ำบ่นถึงปัญหาของตัวเองออกมา บอกว่าถูกจูเก่อม่านพัวพันเข้าแล้ว
แต่แน่นอน เขายังคงยืนกรานไม่ยอมรับปากให้จูเก่อม่านมาอยู่ด้วยกันกับตน วันนี้เขาคิดจะใช้เรื่องความลับของบริษัทมาเป็นข้ออ้าง บอกว่าทางหอการค้าไม่อนุญาตให้เธอมาอยู่กับเขา
แต่เรื่องนี้มีปัญหาอยู่เล็กน้อย เมื่อคืนหลังจากที่ได้ค้างคืนกับจูเก่อม่านอีกครั้ง เขาถึงได้รู้ว่าจูเก่อม่านมิใช่คนในเมือง เป็นคนจากสถานที่ที่หนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองปู๋เชวี่ย หลังสมัครเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินแล้วถึงจะมาอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย พูดอีกอย่างก็คือจูเก่อม่านเช่าห้องอยู่ในเมืองมาโดยตลอด เมื่อวานจูเก่อม่านได้คืนห้องไปแล้ว
หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าจะให้จูเก่อม่านกลับไป เขาก็ต้องแสดงความช่วยเหลืออะไรบ้าง อย่างน้อยก็ต้องเช่าที่อยู่ในจูเก่อม่าน แล้วก็จะขี้เหนียวไม่ได้ด้วย ต้องเช่าห้องดีๆ ให้เธอหน่อย
หลินยวนเสนอความคิดไป “พี่เงินเดือนก็ไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินในส่วนนี้ไม่ได้ ผมว่าพี่เองก็ยอมจ่ายเงินกับผู้หญิงทีเดียว แต่ถ้าพี่คิดว่าไม่เหมาะสม พี่ก็พูดกับเธอตรงๆ ก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
จากที่ได้ฟังจากปากหลัวคังอัน ฉินอี๋ให้เงินเดือนเขาหนึ่งแสนมุก ต่อให้อยู่ในเมืองหลวงก็ถือว่าเป็นเงินเดือนที่สูงอย่างมาก ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายในเมืองปู๋เชวี่ยได้สบายๆ
หลัวคังอันนอนลงบนโซฟาพลางโบกมือ “ทำเป็นเล่นไป ผู้หญิงคนนี้ตรงสเปกฉันทีเดียว ตอนนี้ยังไม่เบื่อ”
ในเมื่อหาเรื่องเอง หลินยวนก็คร้านที่จะพูดอะไรอีก จากนั้นอ้างว่าเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อน อยากจะพักผ่อนหน่อย ก่อนจะไล่หลัวคังอันออกไป บอกเขาว่าห้ามมารบกวนก่อนเลิกงาน
หลังปิดประตูลงกลอน ภายในห้องก็เงียบสงัด เขาคิดจะทำสมาธิบำเพ็ญเพียร จึงไปตรวจดูรอบๆ ห้องที่ไม่มีมุมอับอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อน ในขณะที่เขาเดินไปดึงผ้าม่านหน้าต่าง สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นผลลูกหนึ่งที่อยู่เยื้องขึ้นไปด้านบน การตกแต่งของเพดานภายในห้องที่เขามองผ่านหน้าต่างของผลนั้นเข้าไปคล้ายค่อนข้างคุ้นตา
เขาสังเกตดูตำแหน่งของผลนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะมองดูกิ่งก้านใบไม้ที่อยู่ด้านนอกเล็กน้อย จากนั้นหลับตาครุ่นคิดพักหนึ่ง ไม่ค่อยกล้ามั่นใจว่านั่นจะเป็นห้องของฉินอี๋
ผ้าม่านถูกรูดปิดลง ผ้าม่านหน้าต่างบานอื่นๆ ก็ถูกปิดลงเช่นกัน ภายในห้องสลัวลงไปทันที เขาเดินมายังที่ว่างภายในห้องแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป ค่อยๆ หลับตาลง เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเพียร….
……
กระทั่งหลัวคังอันมาเคาะประตูอีกครั้ง มันก็เป็นเวลาเลิกงานแล้ว หลัวคังอันมาชวนเขาไปเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง
ไปเที่ยวคนเดียวไม่สนุก เขามองว่าหลินยวนเป็นเพื่อนเที่ยวของตัวเองไปแล้ว
แต่หลินยวนได้รับปากเงื่อนไขของฉินอี๋เพื่อช่วยกวนเสี่ยวชิงไปแล้ว อีกทั้งไม่สะดวกที่จะพูดกับหลัวคังอันว่าตัวเองจะไปทำอะไร จึงอ้างกับหลัวคังอันไปว่ามีธุระ
หลังไล่หลัวคังอันไปแล้ว หลินยวนก็เดินไปตรงด้านหน้าหน้าต่าง รูดเปิดผ้าม่านออก แหงนมองดูผลที่อยู่เยื้องขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง เขายื่นมือออกไปในอากาศ ดูดเอาแก้วสองใบมาไว้ในมือ จากนั้นซ้อนแก้วเอาไว้ด้วยกัน ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะเล็กที่อยู่ด้านข้างแล้วถึงจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง
ในตอนที่มาถึงห้องผู้ช่วย พวกกวนเสี่ยวชิงต่างเลิกงานกันไปหมดแล้ว เขาเองก็ถูกผู้คุ้มกันของฉินอี๋ที่เผยตัวออกมาขวางทางเอาไว้
เมื่อด้านนอกไม่มีใครคอยตรวจสอบว่าแขกเป็นใคร ผู้คุ้มกันเหล่านี้จึงต้องออกหน้าเอง
ไป๋หลิงหลงได้ยินเสียงจึงโผล่หน้าออกไป ก่อนจะบอกแจ้งแก่ผู้คุ้มกันเหล่านั้น ผู้คุ้มกันถึงได้ปล่อยหลินยวนเข้าไป
ไป๋หลิงหลงกลับไปนั่งทำงานต่อที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ส่งสัญญาณบอกหลินยวนที่เดินตามเข้ามาด้วยการชี้ไปยังอุปกรณ์เก็บกวาดที่วางอยู่ตรงมุมกำแพง จากนั้นส่งสายตาบอกเขาให้เข้าไปข้างในเอง
กระทั่งหลินยวนถืออุปกรณ์เก็บกวาดเดินเข้าไปแล้ว ไป๋หลิงหลงจึงส่ายศีรษะพลางยิ้มเจื่อน
เมื่อเข้ามาในห้องทำงานของฉินอี๋กลับไม่พบฉินอี๋ หลินยวนเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงน้ำไหลซ่าๆ ดังแว่วลงมาจากด้านบน คาดว่าผู้หญิงคนนั้นคงกำลังอาบน้ำอยู่
ชั้นหนังสือทั้งสองข้างเปิดออก ไม่ได้ปิดอยู่ สายตาของหลินยวนหยุดชะงัก เขามองเห็นเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งถูกโยนอยู่บนพื้น
จากที่ได้เจอหน้ากันตอนเช้า เขาค่อนข้างมั่นใจว่านี่เป็นเสื้อนอกของฉินอี๋
เสียงน้ำยังคงไหลอยู่ หลินยวนกวาดตามองไปรอบด้าน เขาเดินไปเก็บเสื้อนอกตัวนั้นขึ้นมาก่อน พาดไว้บนพนักเก้าอี้ของฉินอี๋ จากนั้นค่อยๆ เดินไปยังริมหน้าต่าง เมื่อมองออกไปก็เห็นแก้วสองใบที่ซ้อนกันอยู่บนโต๊ะในหน้าต่างของผลที่อยู่เยื้องลงไปด้านล่าง
ความสงสัยของตนเองได้ถูกยืนยันแล้ว ผลที่ตนเองเห็นก่อนหน้านี้เป็นห้องของฉินอี๋อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
ส่วนฉินอี๋ที่อยู่ด้านบนก็กำลังยืนอยู่ข้างสายน้ำที่กำลังไหลซ่าๆ เธอไม่ได้อาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น เสื้อผ้าถูกถอดจนเหลือเพียงชุดชั้นในแนบเนื้อ ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าฉากแสงแถบหนึ่ง
ภาพที่ปรากฏอยู่ในฉากแสงคือภาพภายในห้องทำงานที่อยู่ด้านล่าง ทุกความเคลื่อนไหวของหลินยวนล้วนอยู่ในสายตาของเธอ
เมื่อหลินยวนเริ่มเก็บกวาด เธอจึงปิดฉากแสงลง ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ก้าวเข้าไปอยู่ในสายน้ำ ชำระล้างร่างกาย
เธอเพียงแค่อาบน้ำอย่างง่ายๆ เล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมรองเท้าแตะแล้วเดินลงมา
ฉินอี๋เดินไปตรงหน้าเก้าอี้ทำงาน หยิบเสื้อที่พาดอยู่โยนไปทางหลินยวนที่กำลังเช็ดโต๊ะตัวเล็กอยู่
หลินยวนไม่แม้แต่จะเหลือบมอง มือตะปบคว้าเสื้อเอาไว้ในมือ จากนั้นค่อยเหลียวหน้ามองไปทางเธอ
ฉินอี๋นั่งลงบนเก้าอี้ จุดบุหรี่แล้วกล่าวว่า “เสื้อผ้านายไม่ต้องซัก เก็บรวมเอาไว้ด้วยกันก็พอ พรุ่งนี้พี่ซุนจะมาเอาไป”
หลินยวนจึงได้แต่ต้องเอาเสื้อผ้าไปวางไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นเก็บกวาดต่อ
กระทั่งเข้าไปในห้องด้านหลังชั้นหนังสือ เขาถึงได้พบว่าบนพื้นยังมีกางเกงของฉินอี๋อยู่ บนบันไดก็มีเสื้อที่ใส่อยู่ด้านในวางอยู่ ดูแล้วเหมือนจะมีคนเดินไปถอดไป
เสื้อผ้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกเก็บขึ้นมา
กระทั่งเขาเก็บขึ้นไปถึงด้านบน ฉินอี๋จึงเปิดโต๊ะทำงานออก หยิบเอาวัตถุโลหะที่รูปร่างเหมือนจานคว่ำขึ้นมาวางบนโต๊ะ กดปุ่มบนนั้น ทันใดนั้นพลันมีฉากแสงขนาดประมาณแผ่นพัดปรากฏขึ้นมา นั่นคือภาพเหตุการณ์ภายในห้องอาบน้ำด้านบน
หลินยวนที่ในมือถือเสื้อผ้าอยู่หลายชิ้นกำลังเผชิญหน้าอยู่กับชุดชั้นในผู้หญิงสองชิ้นที่อยู่บนพื้น ดูทึมทื่ออย่างเห็นได้ชัด เขายืนมองอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะโค้งตัวลงไป ยื่นมือออกไปหมายจะเก็บมันขึ้นมา แต่ก็หยุดชะงักแล้วดึงมือกลับ สลับไปสลับมาอยู่แบบนี้ คล้ายไม่รู้ว่าควรจะเก็บมันขึ้นมาหรือเปล่า
ท่าทางลำบากใจอย่างมากเช่นนี้ทำให้ฉินอี๋ถึงกับต้องเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเอง หัวเราะจนตัวโยน เธอดับบุหรี่ที่อยู่ในมือ ก่อนจะใช้มืออีกข้างมากุมท้องของตัวเองเอาไว้ คล้ายหัวเราะจนรู้สึกปวดท้อง หัวเราะจนตัวเองจะทนไม่ไหวแล้ว
……………………………………………..