ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 210 ขายลุงเฉิน
ตอนที่ 210 ขายลุงเฉิน
อวี๋สุ่ยชิงพยักหน้าแล้วเดินยิ้มๆ เข้าไป จากนั้นกวาดมองดูสภาพห้องที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความมีรสนิยมและกลิ่นหอมจางๆ สภาพภายในห้องเล็กๆ เรียกได้ว่าเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างยิ่ง จึงเอ่ยชมออกมาว่า “สวยจัง หงเยียนแต่งห้องเองเหรอ?”
ลู่หงเยียนยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็แค่ปรับอะไรนิดหน่อยเท่านั้นน่ะค่ะ ไม่ได้แต่งอะไรมาก น้าอวี๋ เชิญนั่งค่ะ” ว่าพลางเทน้ำชาให้
ถูกต้อง เธอตกแต่งห้องไปนิดหน่อยจริงๆ ตอนที่หลินยวนอยู่คนเดียว เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับการแต่งห้อง แต่บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เธอเติบโตขึ้นมาตั้งแต่เล็ก การใช้ชีวิตของเธอจึงค่อนข้างพิถีพิถัน กระทั้งชุดถ้วยน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกเธอเปลี่ยนใหม่เป็นของดี
ยิ่งพวกชุดเครื่องนอนที่อยู่บนเตียงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกเธอเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
อวี๋สุ่ยชิงบอกว่าไม่ต้อง แต่ก็ยากจะปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่ต้องรับเอาน้ำชามา
ลู่หงเยียนเองก็นั่งลง เอ่ยถามว่า “น้าอวี๋ ซักผ้าเสร็จแล้วเหรอคะ?”
อวี๋สุ่ยชิงส่ายหน้า “ยังไม่ได้ซักน่ะ..” กล่าวจบก็มีท่าทีอึกอัก คล้ายอยากจะพูดอะไร
ลู่หงเยียนเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “น้าอวี๋คะ ถ้ามีอะไรก็พูดมาได้เลยค่ะ ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไร”
อวี๋สุ่ยชิงเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เมื่อกี้เธอบอกว่าจะให้ลุงเฉินออกไปเที่ยวเป็นเพื่อนฉัน เขาจะยอมรับปากเหรอ?”
ลู่หงเยียนกะพริบตาปริบๆ “ไม่ลองถามแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ถ้าน้าอวี๋อยากให้ลุงเฉินไปเป็นเพื่อนล่ะก็ เดี๋ยวฉันไปช่วยน้าพูดให้ค่ะ”
อวี๋สุ่ยชิงเอ่ยอย่างระมัดระวังเล็กน้อย “หงเยียน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว น้ามีอะไรบางอย่างอยากจะพูดกับเธอตรงๆ”
ลู่หงเยียนเอ่ยว่า “น้าอวี๋มีอะไรก็พูดมาได้เลยค่ะ”
ใบหน้าอวี๋สุ่ยชิงเผยให้เห็นถึงความขมขื่นเล็กน้อย “พี่สาวฉันแนะนำฉันให้เหล่าจาง พอนับดูจนถึงตอนนี้แล้ว นี่ก็ใกล้จะเดือนนึงแล้วหรือเปล่า? พี่ฉันถามฉันตลอดว่าฉันกับเหล่าจางเป็นยังไงบ้าง ฉันก็อึกอักๆ มาโดยตลอด ไม่ได้ตอบไปตรงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง ได้แต่ตอบว่ารอไปก่อน”
“แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ท่าทีที่เหล่าจางมีต่อฉัน เธอกับหลินจึก็น่าจะเห็นแล้ว เขาเฉยชากับฉันมาโดยตลอด ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หงเยียน เหล่าจางรังเกียจฉันหรือเปล่า ฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลยจริงๆ ถ้าเขารังเกียจฉันจริงๆ อย่างนั้นก็ให้เหล่าจางมาพูดกับฉันตรงๆ เลยก็ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่กันไปแบบนี้เรื่อยๆ มันจะไปมีประโยชน์อะไร? สู้ฉันกลับไปอยู่ที่ร้านเหล้าของพี่ไม่ดีกว่าเหรอ”
“บางครั้งฉันก็คิดนะว่าเป็นเพราะเขาไม่สะดวกที่จะปฏิเสธออกมาตรงๆ ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรหรือเปล่า หงเยียน ที่เธอพูดมาเมื่อกี้นี้ ฉันลองคิดๆ ดูแล้วนะ ถ้าเกิดเหล่าจางออกไปเดินเที่ยวเป็นเพื่อนฉันได้ก็คงจะดีเหมือนกัน คนสองคนได้อยู่กันตามลำพัง เวลาจะพูดอะไรมันก็สะดวกใช่ไหมล่ะ? เรื่องบางเรื่อง ฉันก็อยากจฉวยโอกาสนี้ถามเหล่าจางเหมือนกัน อยากรู้ว่าเขาคิดยังไงกันแน่ เธอคิดว่าไงล่ะ?”
ลู่หงเยียนมองดูชุดที่เปลี่ยนมาใหม่ของเธอ อดยิ้มออกมาไม่ได้
อวี๋สุ่ยชิงเอ่ยถามด้วยความเขินอายว่า “เธอขำอะไร? ฉันพูดอะไรผิดเหรอ?”
ลู่หงเยียนส่ายศีรษะ “เปล่าค่ะ ไม่ได้ขำอะไร” แต่ภายในใจเธอไม่ได้รู้สึกขบขันอะไรจริงๆ หากแต่ลอบอุทานอยู่ในใจ แผนการแต่ละชั้นๆ ของศัตรูเรียกได้ว่าผ่านการครุ่นคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบจริงๆ ทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
เธอลุกขึ้นยืน ดึงอวี๋สุ่ยชิงให้ไปด้วยกัน “ไปค่ะ น้าอวี๋ เดี๋ยวน้ากลับไปรอก่อน ฉันจะช่วยน้าพูดกับลุงเฉินให้ค่ะ”
เธอเองก็ไม่อยากให้อวี๋สุ่ยชิงอยู่ในห้องของตนเองเพียงลำพัง
อวี๋สุ่ยชิงเอ่ยขอบคุณ เดินตามเธอออกไปด้วยกัน
ในตอนที่แยกกันตรงลานเรือน ลู่หงเยียนส่งสัญญาณมือให้อวี๋สุ่ยชิง “น้าอวี๋ รอฟังข่าวจากฉันนะคะ”
อวี๋สุ่ยชิงส่งเสียงอื้อแล้วก้มหน้าลง เดินกลับไปยังห้องตัวเองด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ
ลู่หงเยียนย่อมต้องเดินมาที่ร้านยา เห็นจางเลี่ยเฉินที่นอนอยู่บนเก้าอี้นอน คล้ายว่ากำลังงีบหลับอยู่ตรงหน้าฉากแสงที่กำลังฉายข่าวอยู่ แต่พัดที่อยู่ในมือยังคงโบกๆ หยุดๆ เป็นพักๆ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้นอนหลับ
เธอตบมือไปบนเคาน์เตอร์เบาๆ กระแอมเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “เถ้าแก่ จัดยาหน่อย!”
“หืม?” จางเลี่ยเฉินลืมตาขึ้นมาทันที ยกตัวขึ้นมามองซ้ายมองขวา ก่อนจะมองเห็นลู่หงเยียนที่ยืนยิ้มมีความสุขอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ จึงนอนลงไปอีกครั้ง ใช้พัดชี้มาที่เธออย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “เธอเนี่ยนะ ปกติดูเป็นคนจริงจัง ตอนนี้รู้จักล้อลุงเฉินเล่นแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ลู่หงเยียนหมุนตัวแล้วลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง มือรวบกระโปรงยาวแล้วนั่งลงไปข้างเขา “ลุงเฉิน ฉันมีเรื่องดีจะมาบอกลุงแหละ จะฟังไหม?”
จางเลี่ยเฉินที่นอนอยู่บนเก้าอี้หันหน้ามา เหลือบมองเธอด้วยแววตาสงสัย “เรื่องดี? จะมีเรื่องดีอะไรได้?”
ลู่หงเยียนกล่าว “น้าอวี๋กำลังเก็บของอยู่ คืนนี้เตรียมจะย้ายไปนอนกับลุง นี่ไม่ใช่เรื่องดีเหรอไง?” ขณะกล่าวก็ยื่นมือมาดันไหล่เขาเล็กน้อยพลางกระพริบตา ทำท่าทางเหมือนบอกลุงก็รู้นี่ว่าหมายความว่าอย่างไร
จางเลี่ยเฉินพลันเบิกตาโต ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน จะเดินไปยังโถงด้านหลังเพื่อเข้าไปดูในเรือนด้านใน
ลู่หงเยียนลุกขึ้นตาม ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ “ลุงเฉิน ฉันล้อเล่น ลุงจะตื่นเต้นอะไร?” กล่าวจบก็หัวเราะตัวโยน ท่าทางมีความสุข ต่างหูที่ห้อยเป็นระย้าแกว่งไปมาอยู่บนไหล่ไม่หยุด
จางเลี่ยเฉินถลึงตาใส่ทันที พัดที่อยู่ในมือเคาะไปที่หน้าผากของลู่หงเยียนสองสามที กล่าวสั่งสอนว่า “ใครสั่งใครสอนให้ล้อเล่นแบบนี้! เป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องแบบนี้ ไม่อายบ้างเหรอไง?”
ลู่หงเยียนหุบยิ้ม ถอนใจพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ ไม่ล้อเล่นแล้ว ลุงเฉิน น้าอวี๋มาอยู่ที่โรงอีหลิวได้พักใหญ่แล้วนะคะ ลุงปล่อยน้าอวี๋เอาไว้เฉยๆ แบบนั้นมันก็ไม่ยุติธรรมกับเขานะ ควรจะคุยกับเขาตรงๆ หรือเปล่าว่าจะเอายังไงกันแน่?”
จางเลี่ยเฉินแค่นเสียงเหอะๆ อยู่ในจมูก ไม่พูดอะไร
ลู่หงเยียนกล่าว “วันนี้ในเมืองมีงานสนุกๆ ให้ดู เถ้าแก่เนี้ยให้น้าอวี๋หยุดพักครึ่งวัน เมื่อกี้นี้น้าอวี๋มาหาฉัน บอกว่าเขาอยากนัดลุงออกไปเดินเที่ยวด้วยกันในเมือง น้าอวี๋แกเป็นคนขี้อาย การที่แกเอ่ยปากพูดแบบนี้ออกมาได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว แล้วก็ได้แต่ต้องมาพูดกับฉันที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ความหมายของน้าอวี๋เขาก็ชัดเจน ถ้าขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ น้าอวี๋แกก็ไม่สะดวกใจที่จะอยู่ในโรงอีหลิวต่อไป เพราะถ้าคนอื่นเที่ยวเอาไปพูด แกก็คงหาผู้ชายคนอื่นก็ยากเหมือนกัน ลุงอย่าไปทำให้น้าอวี๋แกต้องลำบากใจเลยนะ!”
“ลุงเฉิน น้าอวี๋เขาอยู่ตรงนี้ ลุงเองก็ดูมาตั้งนานแล้ว ลุงคิดยังไง ในใจลุงก็น่าจะพอรู้อยู่แล้ว ลุงเฉิน พวกลุงออกไปเดินเล่นแล้วค่อยๆ คุยกัน ถ้าลุงไม่ชอบจริงๆ ใครก็มาบังคับลุงไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไง ลุงจะให้น้าอวี๋เขาอยู่หรือไป ลุงก็ต้องให้พูดให้ชัดเจนหรือเปล่า ลุงว่าใช่ไหมล่ะ?”
จางเลี่ยเฉินมองดูเธอ
ลู่หงเยียนเองก็มองดูเขา
หลังจากทั้งสองมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง จางเลี่ยเฉินก็โบกพัดพลางกล่าว “ไม่ไปไม่ได้?”
ลู่หงเยียนพยักหน้า “ไม่ไปไม่ได้! ไม่ว่าจะในเรื่องของเหตุผลหรือความรู้สึก เราก็ต้องมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับเขา”
จางเลี่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองด้านนอกประตู “ก็ได้ ดูก่อนแล้วกันว่าเขาว่ายังไง จากนั้นค่อยว่ากัน”
ลู่หงเยียนยิ้มออกมา “ได้ อย่างนั้นก็เอาตามนี้ ห้ามกลับคำนะลุง เดี๋ยวฉันไปบอกน้าอวี๋เดี๋ยวนี้แหละ” กล่าวจบก็รีบเดินออกไป
กระทั่งเธอหายไปในโถงด้านหลังแล้ว จางเลี่ยเฉินก็โบกพัดพลางกล่าวพึมพำว่า “นี่ฉันกำลังยกหินมาทับเท้าตัวเองชัดๆ ไอเด็กสองคนนี้นี่ใจร้ายจริงๆ มันจะมากเกินไปแล้ว กระทั่งลุงเฉินคนนี้ก็ยังเอาไปขายได้ลงคอ…”
ลู่หงเยียนรีบไปแจ้งข่าวดีให้อวี๋สุ่ยชิงทราบทันที ภายใต้การประสานงานเป็นแม่สื่อของเธอ จางเลี่ยเฉินกับอวี๋สุ่ยชิงออกไปข้างนอกด้วยกัน
แล้วก็ไม่ใช่การออกไปเดินเล่นข้างนอกแบบใช้เท้าเดินอะไรแบบนั้น จนปัญญาที่จางเลี่ยเฉินไม่เคยขับรถสี่ล้อมาก่อน สุดท้ายเขาจึงขี่มอเตอร์ไซค์พาอวี๋สุ่ยชิงออกไปโต้ลม
เพียงแต่บนถนนทั้งเส้นนี้ล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านเก่า นี่เพิ่งจะออกมาไม่ไกลเท่าไรก็มีคนตะโกนแซวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ แล้ว “ไอหยา เหล่าจาง วันนี้ดูเท่ไม่เบานะเนี่ย!”
จางเลี่ยเฉินหันกลับไปตวาดใส่ “ไปไกลๆ!”
จากนั้นก็มีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านตะโกนขึ้นมาอีก “ไอหยา เหล่าจาง เหมาะสมกันจริงๆ เลย!”
จางเลี่ยเฉิน “ไปไกลๆ!”
“ลุงเฉิน จะขี้เหนียวไม่ได้แล้วนะ แบบนี้ต้องเลี้ยงฉลองนะ” เด็กสาวคนหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมา
จางเลี่ยเฉิน “ไปไกลๆ!”
พวกเพื่อนบ้านชอบซุบซิบนินทากันไปมา เรื่องที่ในบ้านใครมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ไหนเลยจะปิดพวกเพื่อนบ้านไว้ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ในบ้านของจางเลี่ยเฉินมีแม่หม้ายเข้ามาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง ได้ถูกเพื่อนบ้านเอาไปพูดต่อๆ กันจนเรียกได้ว่าทุกคนบนถนนเส้นนี้ต่างรู้กันหมดแล้ว ในเวลานี้คนที่ออกมาแซวจางเลี่ยเฉินนั้นมีอยู่ไม่น้อย
อวี๋สุ่ยชิงก้มหน้าด้วยท่าทีเขินอาย
จางเลี่ยเฉินไม่สามารถทนฟังเสียงของเพื่อนบ้านตามทางได้ เขาเร่งความเร็วมอเตอร์ไซค์ พุ่งฉิวออกไปคล้ายสายลม ในหัวครุ่นคิดว่าคงต้องตามยุคสมัยให้ทันแล้ว เดี๋ยวกลับไปต้องเรียนรู้วิธีขับรถสี่ล้อหน่อยแล้ว
ลู่หงเยียนที่ยืนมองอยู่ตรงหน้าประตูโรงอีหลิวยิ้มอย่างมีความสุข แล้วก็ลอบถอนใจเช่นกัน เกรงว่าจางเลี่ยเฉินออกไปครั้งนี้คงต้องเกิดเรื่องแล้ว เผลอๆ อาจจะต้องเจ็บตัวด้วย เอาอีกฝ่ายไปเป็นเหยื่อล่อเหมือนคนโง่แบบนี้ เธอเองก็รู้สึกผิดอย่างมากเช่นกัน
พอกลับมาในห้อง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ได้ยินแล้วใช่ไหมเพคะ?”
ในโทรศัพท์มีเสียงหลินยวนดังออกมา “อืม”
ลู่หงเยียนกล่าว “หวังว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลุงเฉินนะเพคะ”
หลินยวนว่า “ฝั่งนั้นหมายตาฉันเอาไว้ หากไม่มีตัวประกันก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาไม่มีทางฆ่าลุงเฉินหรอก ยิ่งไปกว่านั้นลุงเฉินรู้จักประมาณตัวเองดี ไม่มีทางหยิ่งในศักดิ์ศรีอะไรหรอก วางใจได้ เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
ไม่ต้องไปพูดถึงไหนไกล เอาแค่เรื่องที่จางเลี่ยเฉินเอาเบอร์โทรศัพท์ของฉินอี๋ไปขาย ไหนเลยจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอะไรได้
ส่วนเรื่องตัวตนเบื้องหลังที่จางเลี่ยเฉินปิดบังไว้นั้นยังไม่ต้องสนใจ อย่างน้อยฉากหน้าก็ไม่มีทางดึงดันทำอะไรให้ต้องเจ็บตัว
ขอเพียงให้ความร่วมมืออย่างเชื่อฟัง ศัตรูก็ไม่มีทางทำอะไรจางเลี่ยเฉินแน่ เรื่องนี้หลินยวนค่อนข้างมั่นใจ
ลู่หงเยียนกล่าว “ถ้าไม่มีอะไรก็ดีเพคะ”
หลินยวนว่า “เธออ้างกับอวี๋สุ่ยชิงไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เธอเองก็ควรจะมาที่หอการค้าตระกูลฉินได้แล้ว”
“ได้เพคะ” ลู่หงเยียนรับคำ หลังวางโทรศัพท์มือถือลงก็ปิดร้านขายยา ก่อนหน้านี้เธอเร่งเร้าให้จางเลี่ยเฉินรีบออกไป เรื่องปิดร้านเธอจึงเป็นคนรับผิดชอบเอง
หลังปิดร้านเสร็จ ลู่หงเยียนก็ขับรถออกไป ตรงไปยังสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉิน
หลังมาถึงหน้าประตูสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉิน เธอก็ถูกขวางเอาไว้ไม่ให้เข้าไป ขนาดให้หลินยวนมาคุยให้ก็ไม่มีประโยชน์ หอการค้าตระกูลฉินในเวลานี้มีการป้องกันที่เข้มงวดแน่นหนา การจะเข้ามาเดินๆ ในหอการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคนที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยนั้นไม่สามารถทำได้
หลินยวนบอกให้ลู่หงเยียนรอแปบนึง ให้เขาไปจัดการเล็กน้อย
ลู่หงเยียนจึงได้แต่ต้องรออยู่ตรงหน้าประตู เธอมองสำรวจดูต้นไม้ใหญ่ที่เป็นสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉินต้นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาเยือนหอการค้าตระกูลฉินแห่งนี้
แต่แน่นอน จากการคอยสังเกตดูในระยะนี้ เธอเองก็พบว่าทางหอการค้าตระกูลฉินก็ส่งคนมาคอยจับตาดูโรงอีหลิวเช่นกัน เธอไม่รู้ว่ารักแรกของท่านอ๋องคนนั้นจะทราบถึงการมาของตัวเองหรือเปล่า ไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสได้เจอผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า?
ความจริงแล้ว หากไม่เป็นเพราะกลัวว่าหลินยวนจะไม่พอใจ เธอก็อยากจะเจอหน้าฉินอี๋เหมือนกัน อยากจะดูว่าเธอคนนั้นเป็นคนอย่างไร
หลังจากรอไม่นาน หลัวคังอันผู้เป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉินก็ติดต่อไปหาผู้รับผิดชอบ เอ่ยปากรับรองด้วยตัวเอง จากนั้นแจ้งประสานงานลงมา ผู้คุ้มกันที่อยู่ตรงประตูหน้าจึงปล่อยลู่หงเยียนเข้ามา จากนั้นเธอขับรถไปยังลานจอดรถโดยมีคนบอกทางให้
หลินยวนมารออยู่ที่ลานจอดรถแล้ว สาวงามที่อยู่บนรถลงมาจากรถ เดินเคียงคู่ไปกับเขา ทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันเหลียวมองไม่หยุด
………………………………………………………….