ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 209 โยนหินถามทาง
ตอนที่ 209 โยนหินถามทาง
ภายในห้องที่เงียบสงัดห้องหนึ่ง มีฉากแสงปรากฏสองแถบ คนที่อยู่ในฉากแสงคือฉวี่ซานจวีแห่งหอการค้าตระกูลฉวี่และอูฉิงเทียนแห่งหอการค้าตระกูลอู
ส่วนเผยหยวนจี้แห่งหอการค้าตระกูลเผยนั้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าฉากแสงทั้งสอง ส่งเสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไม่ได้ลงมือ! พวกนายได้ข่าวหรือยัง? พลาดโอกาสที่ดีที่สุดที่จะลงมือไปแล้ว! ไม่ลงมือแล้วยังจะมาให้พวกเราส่งข้อมูลต่างๆ ให้อีกทำไม ล้อพวกเราเล่นเหรอ?”
ภายในฉากแสง สีหน้าของฉวี่ซานจวีและอูฉิงเทียนก็ดูไม่ดีเช่นกัน แบบนี้แล้ว พวกเขาทั้งสามตระกูลคงจะยื้อได้ไม่นานเท่าไรแล้ว
……
บนถนนในช่วงหลังเที่ยง อวี๋สุ่ยชิงเดินอยู่ริมถนนใต้ร่มเงาไม้ กำลังเดินกลับมายังโรงอีหลิว
โรงอีหลิวอยู่ไม่ไกลจากร้านเหล้าละมุนลิ้นเท่าไรนัก ทุกวันอวี๋สุ่ยชิงจะเดินเท้ากลับมา
เมื่อมาถึงโรงอีหลิว ในตอนที่เดินผ่านประตูร้านยา อวี๋สุ่ยชิงมองเข้าไปด้านในเล็กน้อย เห็นจางเลี่ยเฉินที่นอนโบกพัดดูข่าวอยู่บนเก้าอี้นอน
เธอไม่ได้เดินเข้าไปทักทาย แล้วก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เธอเดินผ่านประตูไป อ้อมไปยังประตูสวนด้านข้างแล้วเปิดเข้าไป
เมื่อได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ลู่หงเยียนที่ช่วงนี้คอยจับตาดูสถานการณ์ของแต่ละฝ่ายอยู่ภายในห้องก็ออกมา เธอนึกว่าหลินยวนกลับมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าอวี๋สุ่ยชิงจะกลับมาก่อน จึงเดินเข้าไปต้อนรับทันที จากนั้นมองดูสีของท้องฟ้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างค่อนข้างประหลาดใจว่า “น้าอวี๋คะ นี่ยังบ่ายอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วล่ะคะ?”
อวี๋สุ่ยชิงยิ้มพลางกล่าว “ฉันเองก็ไม่อยากกลับมาหรอก แต่พี่บอกว่าจะให้ฉันพักทุกๆ สองสามวัน บอกว่าวันนี้ในเมืองมีอะไรสนุกๆ ให้ดู ให้ฉันไปเดินเล่นในเมือง ก็เลยให้ฉันกลับมาก่อน”
ลู่หงเยียนร้องโอ้ ยิ้มพลางกล่าวเช่นกันว่า “สมแล้วที่เถ้าแก่เนี้ยเป็นพี่สาวของน้าอวี๋ คนครอบครัวเดียวกันนี่เป็นห่วงเป็นใยกันจริงๆ ด้วยนะคะ”
อวี๋สุ่ยชิงมองดูประตูห้องที่เธอเพิ่งเปิดออกมา เอ่ยถามว่า “อยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน?”
ลู่หงเยียนส่ายศีรษะ
อวี๋สุ่ยชิงกล่าว “จะไปเดินเล่นด้วยกันไหม?”
เดิมทีการกลับมาบ้านอย่างกะทันหันของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอรู้สึกสงสัยแล้ว เวลานี้ยังมาได้ยินคำพูดนี้อีก เธอจึงคิดถึงคำพูดที่หลินยวนเคยกำชับเอาไว้ ภายในใจพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที
เรื่องบางเรื่อง เธอได้ระมัดระวังอยู่ก่อนแล้ว จึงได้เตรียมแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่สีหน้าเธอกลับไม่ได้เผยพิรุธใดๆ เพียงกะพริบตาเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “จะไปเดินเล่นที่ไหนเหรอคะ?”
อวี๋สุ่ยชิงกล่าว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่บอกว่าวันนี้ทางเหนือของเมืองมีอะไรสนุกๆ ให้ดู แต่ที่นั่นอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล เธออยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ อีกทั้งมีรถแล้วก็ขับรถเป็น ไปกลับสะดวก จะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
ลู่หงเยียนปฏิเสธ เอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “น้าอวี๋คะ ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ พอดีอีกเดี๋ยวฉันมีธุระ หลินจึให้ฉันไปหาเขาที่หอการค้าตระกูลฉินหน่อย วันนี้ฉันคงไปเที่ยวเป็นเพื่อนน้าไม่ได้ ถ้าไงให้ลุงเฉินไปเป็นเพื่อนน้าแทนไหมคะ?”
บนใบหน้าของอวี๋สุ่ยชิงพลันมีความรู้สึกลนลานที่ยากจะปกปิดไว้ได้ปรากฏขึ้นมา แต่ความลนลานนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เธอมีธุระก็ไปทำธุระของเธอเถอะ เดี๋ยวฉันไปซักเสื้อผ้าก่อน” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องของตัวเอง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปิดประตูห้องไปแล้ว ลู่หงเยียนก็รีบกลับเข้ามาในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ประตูปิดลง เธอก็รีบเปิดฉากแสงขึ้นมาทันที ปรับเปลี่ยนช่องกล้องวงจรปิด จับตาดูอวี๋สุ่ยชิงที่อยู่ในภาพของกล้องวงจรปิด
อวี๋สุ่ยชิงที่อยู่ในห้องสองมือกำแน่น กำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องอย่างกระวนกระวาย สุดท้ายก็แง้มประตูมองดูสถานการณ์ด้านนอกห้องเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวกลับเข้าไปในมุมห้อง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรไปยังเบอร์เบอร์หนึ่งแล้วยกโทรศัพท์แนบไว้ข้างหู
ม่านตาของลู่หงเยียนที่จ้องมองภาพวงจรปิดพลันหดเล็กลง ในที่สุดเธอก็เห็นคนผู้นี้แอบติดต่อกับคนที่อยู่ด้านนอกแล้ว เกรงว่าเรื่องที่กังวลคงจะกำลังเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว
โทรศัพท์โทรติดแล้ว อวี๋สุ่ยชิงเอ่ยเสียงเบาๆ “ฉันเอง”
ในโทรศัพท์มีเสียงผู้ชายดังออกมา “เป็นยังไงบ้าง?”
อวี๋สุ่ยชิงกล่าว “ผิดคาดนิดหน่อย เธอออกไปกับฉันไม่ได้…” ก่อนจะบอกเล่าสถานการณ์ของอวี๋สุ่ยชิงให้อีกฝ่ายฟัง
ผู้ชายเอ่ยว่า “ตอนนี้เธออยู่ไหน?”
อวี๋สุ่ยชิงว่า “โรงอีหลิว ในห้องของตัวเอง”
เสียงของผู้ชายฟังดูโกรธเล็กน้อย “ฉันเคยเตือนเธอหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่าติดต่อกับฉันเวลาที่อยู่ในโรงอีหลิว ที่นั่นมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร มันจะถูกจับได้ง่าย!”
อวี๋สุ่ยชิงรีบอธิบาย “คนหนึ่งอยู่ในร้านยา อีกคนหนึ่งอยู่ในห้องของตัวเอง คุยได้ไม่เป็นไร ตอนนี้ผิดแผนแล้ว ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ก็เลยต้องรีบติดต่อคุณ ตอนนี้ฉันควรทำยังไง?”
เสียงของผู้ชายเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอรอแปบนึง เดี๋ยวถ้ารู้แล้วฉันจะติดต่อเธอกลับไป” กล่าวจบก็ตัดสายทิ้งไป
อวี๋สุ่ยชิงค่อยๆ วางโทรศัพท์มือถือลง เดินไปนั่งลงข้างเตียง รอคอยอย่างเงียบๆ มือกุมโทรศัพท์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ลู่หงเยียนที่จ้องมองภาพในกล้องวงจรปิดหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โทรไปหาหลินยวน “หม่อมฉันเพคะ ในบ้านมีเรื่องแล้วเพคะ”
เดิมทีหลินยวนกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องทำงาน พอรับสายขึ้นมาถึงจะเก็บพลังแล้วลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงลุกขึ้นมายืนทันที เอ่ยว่า “ว่ามา”
ลู่หงเยียนกล่าว “จู่ๆ อวี๋สุ่ยชิงก็กลับมาที่นี่ ดูค่อนข้างผิดปกติ…” เธอเล่าเรื่องที่อวี๋สุ่ยชิงมาชวนตัวเองออกไปข้างนอก แล้วก็ไม่ลืมเล่าเรื่องที่อวี๋สุ่ยชิงกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้วโทรติดต่อกับภายนอก
หลินยวนถาม “เธอพูดอะไรกับคนข้างนอก?”
ลู่หงเยียนว่า “ไม่ทราบเพคะ เธอระวังตัวอย่างมาก เสียงเบามาก ในกล้องวงจรปิดได้ยินไม่ชัดว่าพูดอะไร แต่ดูจากท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วจะต้องมีปัญหาแน่นอนเพคะ”
หลินยวนถาม “ทางเหิงเทา ผู้พิทักษ์เมืองที่คอยจับตาดูกลุ่มต่างๆ พบอะไรผิดปกติไหม?”
ลู่หงเยียนว่า “เหิงเทาไม่ได้ว่าอะไร น่าจะยังไม่มีอะไรผิดปกติเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันลองไปถามเขาดูอีกทีนึงเพื่อตรวจสอบดูก็ได้เพคะ”
หลินยวนนิ่งเงียบไป รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ไม่ลงมือกับทางหอการค้าตระกูลฉิน แต่กลับจะลงมือกับทางโรงอีหลิว นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าจะล้มเลิกความคิดอื่นๆ แล้ว คิดแค่จะแย่งเอาเคล็ดลับในการสร้างข่ายพลังที่สำรองข้อมูลเอาไว้ก็พอ?
วิธีการของอีกฝ่ายมันค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร ถึงแม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “เข้าใจแล้ว ถ้าได้จังหวะก็ทำตามแผนไป โทรศัพท์อย่าปิด พกติดตัวเอาไว้!”
“เพคะ” ลู่หงเยียนรับคำ
หลินยวนเองก็เดินกลับไปนั่งลงที่โซฟา กดเปิดลำโพงบนโทรศัพท์มือถือแล้ววางเอาไว้บนที่วางแขนของโซฟา
ภายในห้องทำงานของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม ม่านทุกผืนถูกดึงปิดเอาไว้ นั่งเงียบๆ อยู่ในความมืดเพียงลำพัง ฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่ดังออกมาจากในโทรศัพท์มือถือ
…..
ภายในป่าไผ่ เจิงอิงฉางรีบเดินเข้าไปในกระท่อม มาหาเซียวอวี่เหยียน ก่อนจะรีบรายงานว่า “ท่านประธานครับ สถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลงครับ เหมือนทางโรงอีหลิวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อยครับ”
เซียวอวี่เหยียนที่กำลังทำสัญลักษณ์ต่างๆ ลงไปบนแผนที่เมืองปู๋เชวี่ยที่อยู่บนโต๊ะพลันเงยหน้าขึ้นมา “มีอะไร?”
“ลู่หงเยียนมีธุระ บอกว่าหลินยวนเรียกเธอให้ไปที่หอการค้าตระกูลฉิน ก็เลยออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเหยื่อไม่ได้ครับ..” เจิงอิงฉางบอกเล่าสถานการณ์ออกมาคร่าวๆ
เซียวอวี่เหยียนได้ฟังดังนั้นก็รีบถามทันที “เหยื่อเผยพิรุธอะไรออกมาหรือเปล่า?”
เจิงอิงฉางกล่าวว่า “น่าจะไม่นะครับ เหยื่อคนนี้ผมทำการเลือกออกมาอย่างดี น่าจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ไม่มีปัญหาอะไรครับ”
เซียวอวี่เหยียนนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เรื่องนี้มันค่อนข้างเหนือความคาดหมายจริงๆ
เรื่องบางเรื่องดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่เบื้องหลังล้วนแต่ผ่านการเตรียมการมาเป็นอย่างดี ล้วนแต่ถูกปูทางมาเป็นอย่างดี
ที่ก่อนหน้านี้เขาให้เหยื่อพาลู่หงเยียนออกไปเที่ยวด้วยกันก็เพื่อเป็นการปูทาง เพื่อให้เหยื่อกับลู่หงเยียนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น การที่ครั้งนั้นปล่อยลู่หงเยียนกลับไปอย่างปลอดภัยก็เพื่อทำให้อีกฝ่ายคลายความระแวงที่อาจจะมี เพื่อที่ครั้งหน้าจะได้พาลู่หงเยียนออกมาได้โดยไม่มีความระแวงใดๆ
รวมไปถึงคำพูดที่เหยื่อพูดกับลู่หงเยียน พวกคำพูดที่ว่าทางเหนือของเมืองมีอะไรสนุกๆ ให้ดู อยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล เธออยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เธอมีรถแล้วก็ขับรถเป็น ไปกลับสะดวก จะไปด้วยกันไหมอะไรทำนองนั้น
ทุกอย่างล้วนแต่ผ่านการคิดการวางแผนมาเป็นอย่างดี เหยื่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว ด้วยสภาพน่าเห็นใจที่เหยื่อแสดงให้ทางโรงอีหลิวเห็น แล้วก็ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเหยื่อกับลู่หงเยียน ลู่หงเยียนคงไม่มีทางปล่อยให้เหยื่อเดินไปเป็นแน่ อีกทั้งเหยื่อทำงานยุ่งอยู่ทุกวัน น้อยนักที่จะมีเวลาว่าง ลู่หงเยียนก็ไม่น่าจะเอ่ยคำพูดทำนองว่าไม่ให้เหยื่อออกไปเที่ยวพักผ่อนออกมาได้
ยิ่งไปกว่านั้นทางหอการค้าตระกูลฉินก็ปลอดภัยดี สถานการณ์ที่น่ากังวลได้ผ่านไปแล้ว หลังผ่านการฝึกซ้อมจำลองเหตุการณ์มาเป็นอย่างดีแล้ว น่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่ลู่หงเยียนจะถูกเหยื่อล่อออกมาได้
แต่ใครจะไปคิดว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ หลินยวนเรียกลู่หงเยียนไปที่หอการค้าตระกูลฉิน
เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมา เจิงอิงฉางจึงลองถามว่า “ให้จับตัวลู่หงเยียนระหว่างที่จะไปหอการค้าตระกูลฉินเลยไหมครับ?”
เซียวอวี่เหยียนก้มหน้า จ้องมองแผนที่พลางกล่าว “พวกเราไม่ได้ลงมือ ถึงแม้สถานการณ์ที่น่ากังวลจะผ่านไปแล้ว ถึงแม้หอการค้าตระกูลฉินจะโล่งใจ แต่ความระแวดระวังยังคงมีอยู่ ตรงนี้เห็นได้จากการที่มีเทพมหาวิญญาณมายืนเฝ้าอยู่รอบๆ สำนักงานใหญ่หอการค้าตระกูลฉิน หอการค้าตระกูลฉินเริ่มทำการสร้างข่ายพลังเทพมหาวิญญาณแล้ว นี่ทำให้ผู้พิทักษ์เมืองทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ยอยู่ในสภาวะเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เห็นได้ชัดว่ากังวลว่าการแย่งชิงผลประโยชน์จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ภายในเมืองมีสายสืบคอยจับตาดูอยู่เต็มไปหมด คนที่มีความเกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลฉินคงถูกผู้พิทักษ์เมืองจับตาไว้หมดแล้ว ถ้าเราไปลงมือจับคนในตอนนี้ ความเสี่ยงที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยมีสูงมาก ถ้าล่อเป้าหมายไปยังสถานที่ที่เหมาะสมไม่ได้ มันก็ไม่เหมาะที่จะบุ่มบ่ามลงมือ!”
เจิงอิงฉางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อย่างนั้นทำยังไงครับ? จะล้มเลิกแผนการเหรอครับ?”
เซียวอวี่แหยียนกล่าวว่า “ล้มเลิกไม่ได้! การที่เราลงมือจากโรงอีหลิว นั่นเพราะเราไม่เพียงแต่จะเอาในสิ่งที่เราต้องการ แต่เรากำลังโยนหินถามทางด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าลงมืออย่างเต็มที่แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา เราจะไม่รู้เลยว่าเราพลาดจากตรงไหน”
เจิงอิงฉางเข้าใจแล้ว ท่านผู้นี้ยังคงมีความระแวงในข่าวที่ได้รับมาอย่างบังเอิญว่าหลัวคังอันมีสิ่งสำคัญของหอการค้าตระกูลฉินอยู่ในมือ ถ้าหากครั้งนี้สามารถลงมือกับหลัวคังอันได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าในมือหลัวคังอันไม่ได้มีของอะไรอยู่ อย่างนั้นก็แสดงว่าอาจจะมีคนวางหลุมพรางขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าพวกเขาถูกคนทรยศอีกแล้ว หลังจากนี้ยังจะลงมืออย่างเต็มที่อยู่หรือไม่ เกรงว่าคงจะต้องมานั่งใคร่ครวญกันดูใหม่แล้ว
เซียวอวี่เหยียนจ้องมองเขา “จากข้อมูลภายในโรงอีหลิวที่เหยื่อให้มา จางเลี่ยเฉิน หลินยวน ลู่หงเยียน ทั้งสามคนนี้ค่อนข้างสนิทกัน อย่างนั้นเราล่อจางเลี่ยเฉินออกมาแทนก็ได้ จากนั้นค่อยใช้จางเลี่ยเฉินล่อลู่หงเยียนออกมา หากสามารถควบคุมทั้งสองคนเอาไว้ได้ในเวลาเดียวกัน โอกาสที่จะบีบหลินยวนได้กลับจะมีมากกว่า”
เจิงอิงฉางกล่าวว่า “จางเลี่ยเฉินเฉยชากับเหยื่อมาโดยตลอด ถ้าจางเลี่ยเฉินก็ไม่ยอมออกมาเหมือนกันล่ะครับ?”
เซียวอวี่เหยียนกล่าว “ถ้าไม่ยอมออกมา อย่างนั้นก็ไม่ทันการแล้ว สิ่งที่พวกเราเตรียมเอาไว้ใกล้จะทำงานแล้ว อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องให้เหยื่อคิดหาวิธีลงมือจากในโรงอีหลิวแล้ว ดูว่าจะสามารถควบคุมทั้งสามคนเอาไว้ได้พร้อมกันหรือไม่ พอถึงตอนนั้นเราค่อยเข้าไปชิงตัวคนในโรงอีหลิวอย่างเงียบๆ ได้ แต่ว่า…การจะให้เหยื่อลงมือกับผู้บำเพ็ญเพียรสามคนมันเสี่ยงเป็นอย่างมาก หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เอาตามนี้ไปก่อนดีกว่า”
เจิงอิงฉางพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ อย่างนั้นก็ลองลงมือจากจางเลี่ยเฉินก่อนแล้วกัน ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ”
เซียวอวี่เหยียนส่งเสียงอืม เจิงอิงฉางรีบก้าวออกไป
…..
ภายในโรงอีหลิว อวี๋สุ่ยชิงเปิดประตูเดินออกมา เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ที่ดูดี
ภายในห้อง ลู่หงเยียนที่เฝ้ามองภาพในกล้องวงจรปิดเห็นอวี๋สุ่ยชิงเดินมาทางห้องนี้ จึงสั่งกำชับเหิงเทาที่กำลังพูดสายอยู่ด้วยเล็กน้อยแล้วจึงวางสายไป ก่อนจะรีบปิดฉากแสงลงทันที
จากนั้นครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
ลู่หงเยียนแสร้งทำเป็นถามว่า “ใครคะ?”
เสียงของอวี๋สุ่ยชิงดังขึ้นมา “หงเยียน น้าเอง”
ลู่หงเยียนถึงจะลุกขึ้นไปเปิดประตู มองเห็นอวี๋สุ่ยชิงที่ดูเปลี่ยนไปจากเดิม จึงกล่าวอย่างกระตือรือร้นทันทีว่า “น้าอวี๋ เชิญเข้ามาสิคะ”
………………………………………………………..