ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 161 ตกเป็นของหอการค้าตระกูลฉิน
ตอนที่ 161 ตกเป็นของหอการค้าตระกูลฉิน
“ลู่หงเยียน?”
ณ สำนักงานเจ้าเมือง บนระเบียงเพดานโค้ง ลั่วเทียนเหอหันกลับมาถามด้วยความมึนงง
เหิงเทากล่าว “ใช่ครับ ชื่อนั้นครับ ฐานะตัวตนก็สืบมาแล้ว เป็นลูกสาวของหอการค้าตระกูลลู่แห่งเมืองหลวง จากที่สืบมา เธอมีการติดต่อกับหลินยวนตอนอยู่ที่เมืองหลวงจริงๆ ครับ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “แน่ใจนะว่าเป็นผู้หญิงของหลินยวน?”
เหิงเทาว่า “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเหมือนจะเป็นเช่นนั้นครับ วันนี้พวกเขาสองคนออกไปเที่ยวในเมืองปู๋เชวี่ยด้วยกัน แล้วก็พักอยู่ด้วยกันที่โรงอีหลิวด้วยครับ”
ลั่วเทียนเหอลูบเคราพลางกล่าว “ฉินอี๋รู้หรือยัง?”
เหิงเทาว่า “เรื่องแบบนี้คงจะปิดเธอเอาไว้ไม่ได้ เกรงว่าคงจะรู้แล้วครับ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “จู่ๆ ก็มีลู่หงเยียนโผล่มา…” มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
เหิงเทาเข้าใจความหมายของเขา พวกเขาสองคนล้วนเป็นคนที่เคยอ่านคำให้การของตระกูลฉิน รู้ว่าฉินอี๋ยังไม่ยอมตัดใจจากผู้ชายที่ยังไม่ได้มาอยู่ในมือคนนั้น
ลั่วเทียนเหอพลันหันมาสั่งกำชับ “จับตาดูเอาไว้ อย่าให้ฉินอี๋ก่อเรื่องอะไร นังหนูนั่นมีนิสัยชอบเอาชนะเหมือนผู้ชาย ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่”
เหิงเทาตอบรับ “ครับ!”
……
“ลู่หงเยียน? แฟน?”
ณ คฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินเต้าเปียนที่สวมชุดนอนยืนถือรูปรูปหนึ่งเอาไว้ในมือ ภายในรูปคือภาพหลินยวนกับลู่หงเยียนกำลังเที่ยวเล่นด้วยกัน ดูรักใคร่กันเป็นอย่างมาก
หลิ่วจวินจวินที่สวมชุดนอนอยู่เช่นเดียวกันเอ่ยว่า “ตรวจสอบมาแล้ว ทั้งสองคนพักอยู่ในโรงอีหลิวด้วยกัน ลู่หงเยียนคนนี้เป็นลูกสาวของหอการค้าตระกูลลู่ในเมืองหลวง จากที่เคยจับตาดูมา ทั้งสองคนน่าจะรู้จักกันมานานแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความสัมพันธ์กันจนถึงขั้นนี้ คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะถ่อมาจากเมืองหลวงได้”
ฉินเต้าเปียนโล่งใจเป็นอย่างมาก แล้วก็อดแค่นเสียงดูถูกไม่ได้ “ลูกสาวของหอการค้าตระกูลลู่อย่างนั้นเหรอ? เห็นหรือยัง ไอขยะแซ่หลินคนนี้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ลืมสันดานแมงดา ความจริงมันก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าลูกอี๋ยังมองคนแบบนี้ไม่ออก อย่างนั้นก็คงตาบอดจริงๆ แล้ว”
“เฮ้อ!” หลิ่วจวินจวินถอนใจ บางทีอาจจะมีแต่คนนอกเท่านั้นแหละที่มองออก เธอไม่เชื่อว่าฉินอี๋จะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ
……
รุ่งเช้า ภายในห้องของโรงอีหลิว ขณะที่ลู่หงเยียนกำลังสวมเสื้อผ้าให้หลินยวนด้วยความรักใคร่เสน่หา เธอก็เอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ไหนบอกว่าจะหยุดพักผ่อนจนกว่าผลการประมูลจะออกมาอย่างไรล่ะเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ไม่รู้ อาจจะมีเรื่องอะไรล่ะมั้ง”
ลู่หงเยียนกล่าว “เหิงเทาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ยคนนั้น ได้ติดต่อหรือยังเพคะ?”
หลินยวนว่า “ตอนนี้ยัง”
ลู่หงเยียนกล่าว “หากพระองค์ไม่สะดวก อย่างนั้นหม่อมฉันติดต่อเขาให้ก่อนดีไหมเพคะ?”
หลินยวนเหลียวหน้ากลับมามองเธอ ในสายตาคล้ายกำลังพินิจพิเคราะห์เธออยู่
ลู่หงเยียนรีบอธิบาย “ด้านหลังพระองค์มีคนคอยจับตาดูอยู่แบบนี้มันไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร บางครั้งกลัวว่าจะไม่สะดวก ในยามจำเป็นเราต้องการให้เขามาช่วยเหลือ ถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมา จะได้ไม่รีบร้อนฉุกละหุก สามารถเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ติดต่อเขาเอาไว้ก่อน จะได้ถือโอกาสจับตาดูเขาก่อนด้วยว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ หากว่าใช้ได้ ต่อไปเมื่อมีคนแบบนี้อยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย เราก็จะวางใจได้ไม่น้อย การจะแทรกซึมเข้าไปใกล้รุ่นที่แปด หนทางเบื้องหน้าของหอการค้าตระกูลฉินไม่ราบเรียบสักเท่าไร พระองค์ต้องการคนมาคอยช่วยเหลือเพคะ”
หลินยวนนิ่งเงียบไปครู่ “ระวังตัวด้วย”
เมื่อเห็นเขาตกลง ลู่หงเยียนจึงส่งเสียง ‘อื้อ’ ออกมา “วางใจได้เพคะ หม่อมฉันไม่ทำให้เขาสงสัยมาถึงตัวพระองค์แน่นอนเพคะ”
หลังแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หลินยวนออกจากโรงอีหลิว เขาไม่ได้ขับรถคันใหม่คันนั้นไปทำงาน เขาซื้อรถคันนั้นมาเพื่อให้ลู่หงเยียนเดินทางอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยได้สะดวกเท่านั้น เขายังคงขี่มอเตอร์ไซค์คันนั้นไปทำงาน
เมื่อมาถึงสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉิน กลับมาถึงห้องทำงานที่ไม่ได้เข้ามาเป็นเวลานานแล้ว เรื่องแรกที่เขาทำยังคงเป็นการตรวจสอบทั่วทั้งห้องทำงาน
เขาเจอเรื่องที่มีคนแอบมาติดกล้องวงจรปิดเอาไว้สองครั้งแล้ว ครั้งแรกเป็นฝีมือฉินอี๋ ครั้งที่สองเป็นฝีมือจูลี่ นี่ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าประมาท
ขณะที่เพิ่งจะทำการตรวจสอบทั่วทั้งห้องทำงานเสร็จเรียบร้อย เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นมา หลินยวนตะโกนว่า “เชิญครับ”
เป็นหลัวคังอันที่เดินยิ้มแห้งเข้ามา “น้องหลิน”
หลินยวนกำลังอยากจะพูดเลยว่าเขามีมารยาทขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่สายตาเขาพลันขยับเล็กน้อย มองเห็นว่าด้านหลังมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา มิใช่ใครอื่น เป็นจูเก่อม่าน
จูเก่อม่านเองก็ยิ้มทักทาย “คุณหลิน”
หลินยวนจึงได้แต่ต้องยืนขึ้นต้อนรับ แล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจูเก่อม่านมาที่นี่ทำไม
กลับเป็นหลัวคังอันที่เอ่ยอธิบายแทน ชี้ไปยังกล่องอาหารที่จูเก่อม่านถืออยู่ในมือ “ตอนที่มา เสี่ยวม่านบอกว่ารู้จักกันมานานขนาดนี้ยังไม่เคยแสดงน้ำใจอะไรเลย วันนี้ก็เลยตั้งใจทำของกินมาให้นายหน่อย”
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยครับ” หลินยวนยื่นมือไปรับกล่องอาหาร จากนั้นวางลงข้างๆ ก่อน จูเก่อม่านดูกระตือรือร้นที่จะแสดงน้ำใจขนาดนี้ เขารู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไร จึงฉวยโอกาสตอนที่จูเก่อม่านไม่ทันสังเกต ส่งสายตาสอบถามไปทางหลัวคังอัน แกไปบอกอะไรจูเก่อม่านหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงดูกระตือรือร้นขนาดนี้?
หลัวคังอันส่ายศีรษะเล็กน้อย จริงอยู่ที่เขาบอกอะไรบางอย่างไป แต่มันไม่ใช่อย่างที่หลินยวนคิด
จูเก่อม่านกวาดตามองดูห้องทำงานของหลินยวนอย่างละเอียดเล็กน้อย “ห้องทำงานไม่เลวเลยนะคะ คุณหลิน นี่ห้องทำงานคุณหรือคะ?”
หลินยวนกล่าว “ก็ไม่ถึงกับเป็นห้องทำงานอะไรหรอกครับ เป็นแค่ห้องที่เอาไว้ใช้พักผ่อนเท่านั้น”
จูเก่อม่าน “หอการค้าเปลี่ยนให้ใหม่เหรอคะ?”
หลินยวนงุนงงเล็กน้อย “เปลี่ยนให้ใหม่?”
จูเก่อม่านยิ้มพลางกล่าว “พวกคุณทำความดีความชอบให้หอการค้าขนาดนี้ ห้องทำงานดีขนาดนี้ หอการค้าไม่ได้เปลี่ยนให้คุณใหม่เพื่อเป็นรางวัลหรือคะ?”
หลินยวนหันไปทางหลัวคังอัน “พี่เปลี่ยนเหรอ?”
หลัวคังอันกล่าว “ฉันยังใช้ห้องเดิมอยู่”
หลินยวนจึงหันมาตอบจูเก่อม่าน “ไม่มีนะครับ ผมก็ใช้ห้องนี้มาตลอด”
จูเก่อม่านร้องอ้อๆ “อย่างนั้นหรือคะ!” ก่อนจะรีบฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อย่างนั้นพวกคุณทำงานกันไปเถอะค่ะ ฉันไปทำงานก่อนล่ะ”
หลินยวนว่า “ไม่ส่งนะครับ”
“ไม่ต้องค่ะๆ” จูเก่อม่านโบกมือ รีบก้าวอาดๆ ออกไป
เธอไหนเลยจะมาเพื่อส่งอาหารอะไร ความจริงแล้วเธออยากจะมาจู่โจมอย่างกะทันหัน เพื่อดูว่าห้องทำงานของหลินยวนดีกว่าห้องทำงานของหลัวคังอันอย่างที่หลัวคังอันว่าเอาไว้จริงหรือไม่ ก่อนหน้านี้เธอเคยเข้าไปดูห้องทำงานของหลัวคังอันแล้ว กลับเป็นห้องทำงานของหลินยวนที่เธอยังไม่เคยเข้าไปดู
ครั้งนี้หลังจากได้ตรวจสอบดูแล้ว มันก็เห็นได้ชัดว่ามีปัญหา ห้องพักผ่อนของผู้ช่วยจะดีกว่าห้องทำงานของหัวหน้าได้อย่างไร? เมื่อมั่นใจแล้วว่าหลัวคังอันไม่ได้หลอกเธอ เธอก็เรียกได้ว่าวางใจขึ้นกว่าเดิม
กระทั่งเสียงฝีเท้าด้านนอกลอยห่างออกไป หลินยวนจึงปิดประตู หันมาถามหลัวคังอันว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจูเก่อม่านถึงดูแปลกๆ?”
หลัวคังอันกล่าว “ก็ปกตินี่นา แปลกตรงไหน?”
ความจริงเขารู้อยู่แก่ใจดี พอจูเก่อม่านบอกว่าจะมาส่งอาหาร เขาก็รู้แล้วว่าจูเก่อม่านคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น
ตอนนี้เขาเป็นห่วงภาพลักษณ์ตัวเอง อีกทั้งเพื่อความปลอดภัย จึงไม่สะดวกจะออกไปสำมะเลเทเมาข้างนอก ดังนั้นเขาจึงอยู่กับจูเก่อม่านแบบนี้ ใช้ไปก่อน อยู่ไปก่อน ดีกว่าไม่มี
หลินยวนกล่าว “เรื่องของแกกับเสวี่ยหลานถูกเปิดเผยออกไปแล้ว เธอไม่ว่าอะไรเหรอ?”
หลัวคังอันทิ้งตัวลงบนโซฟา “เฮ้อ ก็ร้องไห้โวยวายน่ะสิ ฉันอยากเลิก แต่เธอไม่ยอม ตอนนี้ก็เลยต้องอยู่กันแบบนี้ไปก่อน นายจะไปสนใจเธอทำไม เธอจะทำอะไรก็ช่างเธอ ฉันไม่สนใจ”
เมื่อเห็นเขาพูดแบบนี้ หลินยวนจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินไปเปิดดูของที่จูเก่อม่านทำมาให้ พบว่าเป็นของทานเล่นเล็กน้อย
แต่เขากลับไม่ได้รู้เลยว่าหลัวคังอันได้โยนขี้ก้อนใหญ่มาให้เขาแบกไว้แล้ว
หลัวคังอันไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ ด้วยกลัวว่าจะเผยพิรุธอะไรออกไป จึงเปลี่ยนประเด็นว่า “จู่ๆ ทำไมถึงเรียกให้พวกเรากลับมาแล้วล่ะ?”
หลินยวนกล่าว “เดี๋ยวรอแจ้งก็รู้เอง ถ้ามีเรื่องอะไรก็น่าจะมาแจ้งให้พวกเรารู้”
หลัวคังอันพยักหน้า พบว่าหลังเกิดเรื่องครั้งก่อน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเหมือนจะใกล้ชิดกันขึ้นมาหน่อย ท่าทีที่เจ้านี่พูดคุยกับตัวเองก็นับว่าปกติขึ้นมาบ้างแล้ว สามารถสื่อสารกันอย่างปกติได้ ไม่ได้เหมือนตอไม้ที่ไม่สนใจใยดีอะไรก่อนหน้านี้
หลินยวนปิดกล่องอาหารแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวพอแกเจอฉินอี๋ ให้แกขอเธอสร้างลานฝึกบำเพ็ญเพียรให้แกหน่อย สำหรับเธอแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร เธอน่าจะไม่ปฏิเสธ”
หลัวคังอันมึนงง “ลานฝึกบำเพ็ญเพียร? ทำไม?”
หลินยวนกล่าว” ก็ต้องเอาไว้ให้แกฝึกน่ะสิ ต่อไปฉันจะคอยจับตาดูแกฝึก ฉันจะสอนแกเอง”
สอน? นี่มันทรมานกันชัดๆ หลัวคังอันยิ้มแห้งขึ้นมาทันที “ไม่ต้องหรอก มีนายอยู่ก็พอ นายวางใจได้ ไม่ว่าเรื่องอะไร นายทำไปเต็มที่ได้เลย เดี๋ยวฉันรับเอง ไม่ปฏิเสธแน่นอน”
หลินยวนกล่าว “ฉันไม่มีทางอยู่ข้างกายแกตลอด ฝีมือแค่เล็กน้อยของแกมันใช้ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่พัฒนา ช้าเร็วก็ต้องเผยพิรุธแน่นอน”
หลัวคังอันยังคิดจะปฏิเสธ “ฉันมันไม่มีพรสวรรค์ แล้วก็ขี้เกียจก้าวหน้าด้วย อย่าฝืนเลยนะ ไม่ต้องลำบากทำแบบนั้นจริงๆ”
หลินยวนกล่าว “แกต้องขยันแน่ เพราะถ้าก้าวหน้าไม่ได้ตามที่ฉันต้องการ ฉันจะฆ่าแกซะ ฉันไม่ได้ล้อเล่น!” สายตาเผยความเย็นชาออกมา
“…..” หลัวคังอันพูดอะไรไม่ออก หยิบเอาซิการ์ขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจุดหรือไม่จุดดี ตัวเขาที่ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกหักกระดูกมีหรือจะมองไม่ออก? เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต่อรองอีก เขาเคยเห็นคนผู้นี้ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตามาแล้ว รู้ว่าคนผู้นี้ทำอย่างที่พูดจริงๆ ดูเหมือนหลังจากนี้ตัวเองคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอีกแล้ว
……
ผลการประมูลเทพมหาวิญญาณออกมาแล้ว ทั้งความสามารถและคุณภาพล้วนแต่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ผลการประมูลไม่มีอะไรผิดคาด เป็นหอการค้าตระกูลฉินที่ชนะการประมูลไป
หลังผลการหารือของสภาเซียนออกมา ก็ย่อมต้องให้คนในพื้นที่เป็นคนทำให้แผนการบรรลุกลายเป็นจริง ทางสภาเซียนส่งคนมา ให้ทางซุนฉีซั่งผู้เป็นเลขาธิการกลางของแคว้นเซียนคุนกว่างเป็นคนพาไปที่เมืองปู๋เชวี่ยเพื่อทำการเจรจากับทางหอการค้าตระกูลฉินอย่างเป็นทางการ
ฉินอี๋ที่มาทำการเจรจาด้วยตัวเองพลันยุ่งจนหัวหมุนขึ้นมาทันที ไม่มีใจจะไปนั่งสนใจเรื่องของหลินยวน
กระทั่งรายละเอียดเรื่องความร่วมมือต่างๆ ลงตัว และหอการค้าตระกูลฉินได้ทำการเซ็นสัญญากับทางสภาเซียนอย่างเป็นทางการแล้ว เรื่องที่ไม่แน่นอนมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ก็นับว่าได้ข้อสรุปอย่างแท้จริงเสียที
นี่หมายความว่าหอการค้าตระกูลฉินได้เปลี่ยนรูปแบบอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปได้สำเร็จอย่างเป็นทางการแล้ว ทั่วทั้งหอการค้าตระกูลฉินต่างโห่ร้องด้วยความยินดี กระทั่งเมืองปู๋เชวี่ยก็ยังตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความยินดี
นี่ไม่เหมือนกับทางหอการค้าตระกูลฉวี่ หอการค้าตระกูลเผยและหอการค้าตระกูลอูที่ต้องมานั่งแบ่งผลประโยชน์กันก่อนหน้านี้ ครั้งนี้หอการค้าตระกูลฉินได้กินเนื้อชิ้นนี้คนเดียว ผลประโยชน์จำนวนมหาศาล!
เมื่อผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมกระจายออกไป ประชาชนทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ยย่อมต้องได้รับประโยชน์ไปด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หลังคนของสภาเซียนที่ซุนฉีซั่งพามาจากไปแล้ว หนานชีหรูอันที่เดินทางมาถึงเมืองปู๋เชวี่ยอยู่ก่อนแล้วถึงจะปรากฏตัวออกมา
เขาเข้าไปในหอการค้าตระกูลฉินพร้อมกับหลีอู่ที่เป็นผู้ติดตามข้างกาย ตรงไปยังห้องทำงานของฉินอี๋
“ประธานฉิน ยินดีด้วยครับ” หนานชีหรูอันจับมือฉินอี๋ด้วยรอยยิ้ม
ฉินอี๋กล่าว “คุณชายมาเยือนกะทันหัน ไม่บอกฉันก่อนล่วงหน้าล่ะคะ ฉันจะได้ไปรอรับคุณชาย”
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นครับ ทางคุณกำลังรับมือหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวอยู่ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มันเอิกเกริกเกินไป” หนานชีหรูอันยิ้มพลางปล่อยมือ หันหน้ากลับไปโบกมือเล็กน้อย
หลีอู่ที่เป็นผู้ติดตามข้างกายพลิกมือเอากล่องใบหนึ่งออกมาจากในแหวนสารพัดนึก วางลงบนโต๊ะน้ำชา
หนานชีหรูอันกล่าว “นี่เป็นของขวัญที่ผมนำมามอบให้ประธานฉิน ลองดูสิครับว่าพอใจหรือเปล่า”
ฉินอี๋ไม่เข้าใจ หนานชีหรูฉันส่งสัญญาณเล็กน้อย หลีอู่เปิดกล่องออก ก่อนจะหิ้วเอาศีรษะคนศีรษะหนึ่งขึ้นมา
………………………………………………………….