ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 117 หล่อหลอมกายา
ตอนที่ 117 หล่อหลอมกายา
“เข้าข้างหอการค้าตระกูลฉิน?” ลั่วเทียนเหอไม่เข้าใจ “เห็นๆ อยู่ว่าจงใจสร้างความลำบาก แล้วมันจะเข้าข้างได้อย่างไร? ถ้าเธอตั้งใจจะเข้าข้างจริงๆ ก็ให้ประมูลไปตามกฎเดิมที่ตั้งเอาไว้ก็ได้นี่นา ทำไมต้องสร้างปัญหาอะไรที่มันไม่จำเป็นด้วย?”
หนานหรูกล่าว “ผมเองก็อยากจะให้ประมูลไปตามกฎเดิมนั่นแหละครับ แล้วก็ไม่ได้อยากสร้างปัญหาอะไรที่ไม่จำเป็นด้วย แต่คนที่อยากจะให้สร้างปัญหานั้นไม่ใช่ผม อาจารย์ครับ เบื้องหลังหอการค้ายี่สิบกว่าแห่งที่แพ้ไปแล้วพวกนั้นเป็นใครล่ะครับ? หอการค้าตระกูลฉินอยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปฆ่าพวกเขาจนหมด!”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ก็พวกเขาลงมือกับหอการค้าตระกูลฉินก่อน หอการค้าตระกูลฉินโจมตีกลับไม่ได้เรอะ?”
หนานหรูกล่าว “ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ครับ แต่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงด้วย ซึ่งความจริงคือพวกเขามีอิทธิพลและอำนาจอย่างมาก อีกทั้งภายในตระกูลมีคนที่ทำงานอยู่ในสภาเซียนด้วย กระทั่งผมก็ยังต้องหวาดกลัวเลยครับ!”
ลั่วเทียนเหอล่าว “พวกเขาเลยมีสิทธิ์ลงมือก่อนอย่างนั้นรึ?”
หนานหรูนั้นรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ เขาเหนื่อยใจกับผู้เป็นอาจารย์ อยากจะบอกจริงๆว่า เพราะแบบนี้ไง ท่านถึงได้ถูกลดตำแหน่ง ไปเป็นเจ้าเมืองที่เมืองปู๋เชวี่ย แต่เขาไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ “อาจารย์ครับ จริงอยู่ที่พวกเขาลงมือก่อน แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาการฆ่าฟันมาแก้ปัญหาได้ หอการค้าตระกูลฉินไปฆ่าพวกเขาจนหมดแบบนี้ แล้วปัญหาตอนนี้คือหอการค้าตระกูลฉินไม่มีคู่แข่งแล้ว พูดอีกอย่างคือนี่เป็นการอาศัยความสามารถในการต่อสู้ในการฆ่าพวกเขา แล้วมันจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข่ายพลังเชื่อมข้อต่อของพวกเขานั้นใช้การไม่ได้ล่ะครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “หรือว่าพวกเขาฆ่าหอการค้าตระกูลฉินแล้วจะพิสูจน์ได้ว่าข่ายพลังเชื่อมข้อต่อของหอการค้าตระกูลฉินใช้การไม่ได้?”
หนานหรูกล่าวตรงๆ ว่า “พวกเขาฆ่าหอการค้าตระกูลฉิน ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์! แต่หอการค้าตระกูลฉินฆ่าพวกเขา จำเป็นต้องพิสูจน์ครับ นี่คืออำนาจและอิทธิพล นี่คือความจริงครับ!”
“เธอ….” ลั่วเทียนเหอไม่สามารถโต้แย้งข้อสรุปของเขาได้ ในแง่นึงแล้วต้องยอมรับเลยว่าหนานหรูกล่าวถูกต้อง
เขาจ้องมองนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าพลางส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่าผิดหวังหรืออยากจะสื่อถึงอะไร สุดท้ายกล่าวถามว่า “เธอบอกว่าเธอกำลังเข้าข้างหอการค้าตระกูลฉินอยู่ ไหนเข้าข้างยังไง?”
หนานหรูถามกลับว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์คิดว่าหอการค้าตระกูลฉินจะเอาชนะในการประมูลครั้งนี้ได้หรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอผ่อนน้ำเสียงลงเล็กน้อย “ลำพังหอการค้าเล็กๆ อย่างหอการค้าตระกูลชิน หากไม่มีความมั่นใจ ก็คงไม่มาเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้หรอก ดูแล้วในมือคงจะมีของดีที่ใช้การได้จริงอยู่เป็นแน่ หอการค้าอื่นๆ ก็คงจะมองออก ไม่อย่างนั้นคงไม่ร่วมมือกัน จัดการหอการค้าตระกูลฉินแบบนี้”
หนานหรูกล่าว “ที่แท้อาจารย์ทราบอยู่แก่ใจดี ในเมื่อในมือมีของดีอยู่ อย่างนั้นให้หอการค้าตระกูลฉินลองดูจะเป็นอะไรไปล่ะครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้ลองดู แต่เธอจงใจสร้างปัญหาให้หอการค้าตระกูลฉินแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
หนานหรูกล่าว “ถ้าอยากจะช่วยหอการค้าตระกูลฉิน ก็ต้องมีคำอธิบายให้กับกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าต่างๆ ผมมีแต่ต้องไปยืนอยู่ฝั่งหอการค้าพวกนั้น ถึงจะไม่มีอุปสรรคอะไรมาขวางได้ ผมถึงจะสามารถทำให้การประมูลที่ทางสภาเซียนกำหนดขึ้นมาครั้งนี้ดำเนินต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นกระทั่งการประมูลในด่านที่สองนี้ก็คงยากจะดำเนินต่อไปได้ เดี๋ยวคงจะมีปัญหาต่างๆ นานาเข้ามาขัดขวางในทันทีเป็นแน่ครับ! อาจารย์ครับ ถ้าไม่สามารถทำให้การประมูลครั้งนี้จบลงได้อย่างราบรื่น ถ้ากลุ่มอำนาจต่างๆ ก่อปัญหาจนทำให้การประมูลต้องกลายเป็นโมฆะ ผมแบกรับโทษจากทางสภาเซียนไม่ไหวหรอกนะครับ!”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ฉันยังไม่เข้าใจว่าเธอเข้าข้างหอการค้าตระกูลฉินยังไง”
หนานหรูถอนใจ “หล่อหลอมกายาที่เป็นด่านที่สอง การเพิ่มจำนวนครั้งในการทดสอบทำเพื่อให้คนอื่นๆ ดู ทำให้กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าต่างๆ ดู เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ก่อความวุ่นวาย ซึ่งในความเป็นจริงขอเพียงหอการค้าตระกูลฉินมีของดีอยู่ในมือจริงๆ การจะเพิ่มจำนวนครั้งการทดสอบมันก็ไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อหอการค้าตระกูลฉินเลยครับ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ถ้าเธอเพิ่มจำนวนครั้งการทดสอบจนเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินพังพินาศ มันจะไม่ส่งผลกระทบได้อย่างไร?”
หนานหรูถอนใจ “อาจารย์ครับ ท่านยังดูไม่ออกเหรอครับ? ตระกูลหนานชียืนอยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลฉิน ทำไมตระกูลหนานชีถึงต้องไปยืนอยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลฉินด้วยล่ะครับ ผมดูจากการสนับสนุนที่พวกเขาส่งหอการค้าตระกูลอู๋มาแค่เพียงตระกูลเดียว เกรงว่าตระกูหนานชีคงยังต้องการสังเกตการณ์อยู่ ตอนนี้ก็ต้องมาดูกันแล้วว่าสิ่งที่หอการค้าตระกูลฉินมีอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ขอเพียงเป็นของดี ขอเพียงมีมูลค่าอย่างที่ว่าจริง เรื่องหลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องเป็นกังวลเลยครับ ความรับผิดชอบเองก็ไม่ได้อยู่ที่พวกเราเช่นเดียวกัน ทางตระกูลหนานชีจะต้องใช้อำนาจในสภาเซียนในการให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน พวกเราเพียงแค่ต้องสร้างเวทีให้หอการค้าตระกูลฉินได้ใช้แสดงมูลค่านั้นออกมาอย่างเต็มที่ก็พอครับ!”
ลั่วเทียนเหอคล้ายกำลังคิดใคร่ครวญ ก่อนจะถามออกมาอีกว่า “ถ้าหอการค้าตระกูลฉินไม่ได้แสดงมูลค่านั้นออกมาล่ะ?”
หนานหรูกล่าว “หากไม่มีของดีอยู่ในมือจริงๆแล้วยังกล้ามาสร้างความวุ่นวายอย่างนี้ อย่างนั้นก็เท่ากับหอการค้าตระกูลฉินไม่รู้จักประมาณตนเอง รนหาที่ตาย ผมต้องสนใจความเป็นความตายของหอการค้าตระกูลฉินด้วยเหรอครับ?”
ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ พลันหมุนตัวแล้วทอดถอนใจ “หากเป็นอย่างที่เธอว่ามาจริงๆ เกรงว่าต่อให้หอการค้าตระกูลฉินจะชนะการประมูลก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี”
หนานหรูยิ้มเล็กน้อย “อย่างนั้นอาจารย์อยากจะให้ผมเข้าข้างหอการค้าตระกูลฉิน หรือว่าไม่อยากให้ผมเข้าข้างล่ะครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ฉันเพียงแค่เป็นห่วงว่าทันทีที่หอการค้าตระกูลฉินชนะการประมูล เมืองปู๋เชวี่ยของฉันคงจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข”
หนานหรูกล่าว “เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่อาจารย์กังวลใจเหล่านั้นล้วนแต่ไม่สำคัญเลยครับ”
ลั่วเทียนเหอเหลียวหน้ากลับมาจ้องมองเขา “เมืองปู๋เชวี่ยตกอยู่ในความวุ่นวาย ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ นี่ไม่สำคัญหรอ?”
หนานหรูส่ายศีรษะ เดินเข้ามาใกล้เขา ยืนเคียงข้างเขาแล้วกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “อาจารย์ครับ พวกท่านล้วนแต่ไม่อยากให้การประมูลครั้งนี้ไปจัดขึ้นในเมืองของตนเอง แล้วผมจะอยากให้การประมูลครั้งนี้มาจัดขึ้นในแคว้นคุนกว่างได้อย่างไรล่ะครับ? เรื่องที่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่ ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถึงอย่างนั้นการประมูลนี้ก็ยังมาจัดขึ้นในแคว้นคุนกว่างของผม อาจารย์ครับ ดินแดนเซียนกว้างใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเรื่องนี้ถึงต้องมาจัดขึ้นที่แคว้นของพวกเราด้วย แล้วท่านก็ยังเป็นคนข้างกายของเหนียงเหนียง ท่านไม่คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ หรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
หนานหรูกล่าวเสียงเบาๆอีกครั้ง “การประมูลครั้งนี้ผมไม่เพียงแต่จะต้องทำให้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นก่อความวุ่นวายไม่ได้ แต่ผมยังต้องเลือกคนที่เหมาะสมอย่างแท้จริงให้กับทางสภาเซียนด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถไปอธิบายกับทางสภาเซียนได้ แล้วก็ไม่สามารถอธิบายกับทางเหนียงเหนียงได้ ดังนั้นผลลัพธ์มันได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ส่วนกระบวนการระหว่างการประมูลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นั่นล้วนแต่เป็นสิ่งที่จงใจทำให้คนอื่นดูเท่านั้น อย่างไหนเป็นประโยชน์ก็ทำอย่างนั้น เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่สำคัญ หากหอการค้าตระกูลฉินเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างนั้นผมก็มีหน้าที่หาวิธีที่จะผลักดันเธอออกไป ผมต้องมอบคำอธิบายที่ดีที่สุดให้กับทางสภาเซียน ส่วนเมืองปู๋เชวี่ยจะวุ่นวายหรือไม่นั้น นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมา!”
ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายส่งเสียงถอนใจดัง ‘เฮ้อ’ ออกมา
……
หลัวคังอันตะโกนออกมา “อะไรนะ เพิ่มจำนวนครั้ง? กฎการประมูลนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกันอย่างนี้เลยเหรอ?”
ไป๋หลิงหลงที่รับผิดชอบเรื่องการสื่อสารกับเขาแสดงการขอโทษออกมา “พวกเราก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เช่นกัน ท่านประธานเองก็พยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่าไม่มีประโยชน์ นี่เป็นกฎที่ท่านเจ้าแคว้นหนานหรูประกาศเปลี่ยนแปลง พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ จึงได้แต่ต้องลำบากคุณแล้วค่ะ”
หลัวคังอันกล่าว “นี่มันใช่เรื่องความลำบากที่ไหนกันล่ะครับ? ถ้าเกิดเทพมหาวิญญาณทนไม่ไหว ทันทีที่พังทลายลง อย่างนั้นพวกผมไม่ต้องถูกทับจนแบนเหรอครับ?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ตัวคุณในฐานะที่เป็นผู้ทดสอบ คุณน่าจะทราบถึงความสามารถในการรับแรงอัดของข้อต่อของเทพมหาวิญญาณของพวกเรานี่คะ ก่อนหน้านี้พวกเราได้เคยทำการทดสอบรูปแบบต่างๆ มาแล้ว เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินรับการกระแทกหนึ่งหมื่นครั้งไม่เป็นปัญหาแน่นอนค่ะ นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีความมั่นใจที่จะเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ค่ะ”
หลัวคังอันกล่าว “ในเวลาปกติมันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ตอนนี้คุณลองดูสิครับ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหาย แล้วยังเหลือแขนอีกข้างเดียวอีก ทำการทดสอบโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว มันจะไหวเหรอครับ?”
ไป๋หลิงหลงรีบกล่าวปลอบใจ “คุณหลัวคะ อย่าเพิ่งร้อนใจไปนะคะ ท่านประธานได้แจ้งมาแล้วว่าให้ทำเต็มที่ก็พอ หากไม่ไหวจริงๆ ทันทีที่เกิดอะไรผิดปกติขึ้น ก็ให้ตะโกนขอหยุดการทดสอบได้เลยค่ะ”
อีกฝ่ายว่ามาเช่นนี้ ทำให้หลัวคังอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เขามองไปทางหลินยวนที่เป็นผู้ควบคุมหลัก ส่งสายตาสอบถาม
หลินยวนพยักหน้าเล็กน้อย
หลัวคังอันจึงได้แต่ถอนใจ กล่าวว่า “เอาล่ะ ผมจะพยายามเต็มที่แล้วกัน แต่ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เงินรางวัลที่ท่านประธานเคยบอกเอาไว้จะว่ายังไงครับ?”
หลินยวนเหลือบมองเขา พบว่าในหัวของเจ้านี่คิดถึงแต่เรื่องเงินรางวัลก้อนใหญ่ก้อนนั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยมาพูดหยั่งเชิงกับตนอยู่หลายครั้ง พยายามหยั่งเชิงว่าเงินรางวัลนั้นควรจะแบ่งกันอย่างไร
“คุณหลัวรอเดี๋ยวนะคะ” ไป๋หลิงหลงกล่าวอย่างเกรงใจ วางสายไปก่อน คงจะไปถามฉินอี๋
จากนั้นไม่นานไป๋หลิงหลงก็เป็นฝ่ายติดต่อมาอีกครั้ง กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “คุณหลัวคะ ท่านประธานบอกว่าคุณพยายามเต็มที่ถึงขนาดนี้แล้ว ขอเพียงคุณยังคงพยายามต่อไปอย่างเต็มที่ หลังจากนี้ไม่ว่าจะอดทนจนถึงท้ายที่สุดหรือไม่ เงื่อนไขที่สัญญาไว้กับคุณจะยังคงทำตามที่ว่าไว้ ไม่กลับคำเด็ดขาดค่ะ!”
“ต้องแบบนี้สิ” หลัวคังอันกล่าวพึมพำเสียงเบาๆ ก่อนจะกล่าวถามว่า “ยังมีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีจะวางแล้วนะครับ”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ระวังด้วยนะคะ พยายามเต็มที่นะคะ”
“ทราบแล้วครับ “หลัวคังอันกล่าวจบก็วางสายไป จากนั้นถอนใจแล้วถามหลินยวนว่า “น้องหลิน เอายังไงดี?”
ไม่เอายังไง หลินยวนควบคุมเทพมหาวิญญาณมุ่งหน้าไปทางลานประมูลที่กำหนดเอาไว้
เบื้องหน้ามีสิ่งที่ดูคล้ายหุบเขาที่ตั้งอยู่บนป้อมปราการที่สูงใหญ่ นั่นคือสถานที่ทำการประมูลในด่านที่สองที่เรียกกันว่า ‘หล่อหลอมกายา’ เป็นภูเขาที่ผ่านการดัดแปลงด้วยข่ายพลังมาแล้ว
บันไดสำหรับขึ้นไปบนภูเขามีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เป็นบันไดที่จัดทำขึ้นมาเฉพาะเพื่อให้เทพมหาวิญญาณได้ใช้เดิน เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินพาร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหายเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าวๆ
เมื่อมาถึงปากทางเข้าหุบเขา เทพมหาวิญญาณของทางผู้พิทักษ์เทพสองตนที่ยืนเฝ้าต่างก็อดเหลือบมองดูร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของผู้ที่มาเยือนเล็กน้อยไม่ได้ หนึ่งในนั้นยื่นมือออกไป “มอบอาวุธออกมา”
เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินยกทวนขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว มอบอาวุธให้แก่อีกฝ่าย
ผู้พิทักษ์เทพอีกคนหนึ่งชี้ไปทางด้านในของหุบเขา “เข้าไป ไปยืนตรงพื้นวงกลมที่อยู่ตรงกลาง”
เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินค่อยๆ เดินเข้าไป ด้านในหุบเขามีเสียงลมหวีดหวีว เงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่กลายเป็นเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง จากจุดนี้จะเห็นได้เลยว่าหุบเขานี้สูงใหญ่เพียงใด บนเส้นท้องฟ้าเส้นนั้นมีจุดสีดำอยู่จุดนึง
โดรนวิเศษฝูงหนึ่งบินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่ด้านบน สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่งตำแหน่งหนึ่ง
เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินเดินลึกเข้าไปด้านใน มองเห็นพื้นโลหะทรงกลมขนาดใหญ่โตมหึมาที่ตั้งอยู่บนพื้นตรงกึ่งกลางของหุบเขา บนพื้นโลหะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นตำแหน่งสำหรับยืน หลินยวนควบคุมเทพมหาวิญญาณขึ้นไปยืนบนพื้นโลหะ ปรับท่าทางของเทพมหาวิญญาณอย่างเงียบๆ ขยับเท้าไปมาไม่หยุด รับรู้ถึงระดับความมั่นคงของพื้น
ทั้งสองด้านมีโดรนวิเศษกลุ่มหนึ่งที่ลดระดับความสูงในการบินลงมา ถ่ายทอดภาพที่แห่งนี้ออกไปให้โลกภายนอกได้ดู
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกตำหนักคุนกว่างหรือว่าทั่วทั้งดินแดนเซียน โดยเฉพาะประชาชนในเมืองปู๋เชวี่ย สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องอยู่ที่เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินที่ยืนตระหง่านด้วยแขนเพียงข้างเดียวและร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผล
ภาพภาพนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินกำลังรอคอยคำพิพากษา บ้างก็รู้สึกเหมือนกำลังรอคอยโทษประหาร
ร่างกายของฉินอี๋ที่นั่งตัวตรงหดเกร็งขึ้นมาทันที ดวงตาจดจ้องอยู่ที่ภาพบนฉากแสง นิ้วมือทั้งสิบกำแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินเสียหายถึงขนาดนี้ จะทนรับการทดสอบในด่านหล่อหลอมกายาได้นานแค่ไหน เธอเองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะคำพูดของหลัวคังอันที่ไม่มีความมั่นใจแต่ยังพูดถึงเรื่องเงินเหล่านั้น กระทั่งตัวผู้ควบคุมก็ยังไม่มีความมั่นใจ นี่ทำให้เธอวิตกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
คลื่นพลังอันมหาศาลกระเพื่อมขึ้นมา! เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินพลันหันมองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนทันที
ด้านบนมีเสียง ‘วูบ’ ดังขึ้นมา วัตถุขนาดใหญ่ที่ลอยค้างอยู่ระหว่างภูเขาทั้งสองด้านร่วงตกลงมาด้านล่างคล้ายดาวตก เป็นลูกโลหะทรงกลมขนาดใหญ่ลูกหนึ่งที่ดิ่งตกลงมาตรงใจกลางของพื้นโลหะทรงกลมด้านล่าง
เมื่อเห็นลูกเหล็กพุ่งตกลงมา เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินรีบยกมือขึ้นไปทันที ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรับเอาไว้
ตูม! แขนข้างเดียวรับเอาไว้ได้ สายลมอันรุนแรงพัดปั่นป่วน
ลูกโลหะมีขนาดที่ใหญ่โตเป็นอย่างมาก แรงในตอนที่ร่วงตกลงมาก็มีความรุนแรงเป็นอย่างมากเช่นกัน เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินถูกกระแทกจนร่างกายไหวเอนเล็กน้อย ทรุดนั่งลงไป เข่าข้างหนึ่งคุกเข่าลงไปด้านล่าง ศีรษะเอียงไปด้านข้าง แบกวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่เอาไว้ด้วยแขนและไหล่เพียงข้างเดียว
……………………………………………………….