ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 24: ใช่แล้ว น้อยใจ
ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ฟังคำขอของฉันเลยแม้แต่น้อย…
เพล้ง!
เสียงจานแตกดังอยู่ไม่ไกล ฉันทำได้แต่ฉีกยิ้มให้ลูกค้าในขณะที่กำลังเสิร์ฟอาหารอยู่
ไม่เป็นไรค่ะ อย่าห่วงไปเลย ฉันพยายามบอกพวกเขาแบบนั้นเพื่อให้คลายความกังวลลง
ฉันไม่สามารถแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาในระหว่างที่ทำงานอยู่ได้ มาสเตอร์คงไม่ชอบใจแน่ถ้าเธอรู้เข้า แต่เธอน่าจะไม่ชอบใจมากกว่า ที่จานในร้านแตกเป็นว่าเล่นแบบนี้
เสียงจานแตกนั่นดังขึ้นเป็นครั้งที่สิบสามแล้ว ฉันหวังเหลือเกินว่าตานั่นจะไม่ทำจานของมาสเตอร์แตกจนหมดทั้งร้าน
หลังจากที่ลูกค้ารอบเช้าทยอยกลับกันไป ในที่สุดฉันก็สามารถหุบยิ้มได้
“อีริค นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วหะ?”
เมื่อถูกฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เหลืออด อีกฝ่ายก็เกาหัวตัวเองแกรกๆ พลางยิ้มแห้งกลับมา
“ระ…เราผิดไปแล้ว รอบนี้จะไม่ทำแตกอีก…เราสัญญา”
หลังจากจานที่สามแตกไป ฉันก็ตัดสินใจที่จะพูดจาห้วนๆ กับเขา
อย่าเข้าใจผิดไปเชียว ไม่ได้พูดเพราะอยากสักหน่อย ที่จำต้องเรียกชื่อหรือพูดจาห้วนๆ ก็เพราะตานี่เอาแต่สร้างปัญหาให้ไม่หยุดหย่อนต่างหาก
คนเราจะซุ่มซ่ามทำจานแตกสูงสุดได้สูงสุดกี่ใบกันนะ อีกไม่นานมาสเตอร์คงต้องใช้ฉันไปซื้อจานเพิ่มแหงเลย
ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนที่เงอะงะขนาดนี้ บางทีให้อยู่เฉยๆ ในห้องน่าจะดีกว่า…
เพล้ง!
เสียงจานแตกก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้ฉันส่งเสียงครางออกมาด้วยความโมโห พร้อมกับกำไม้กวาดในมือแน่น
สักป๊าบดีไหมเนี่ย! นี่จานจะแตกหมดร้านจริงๆ ใช่ไหม?!
“ขะ…ขอโทษ…”
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหมดแรง แล้วเดินถือไม้กวาดตรงไปที่เกิดเหตุอย่างเหนื่อยใจ
องค์ชายนี่นอกจากจะซุ่มซ่ามแล้ว ทำความสะอาดเองก็ไม่เอาไหนเช่นกัน จะว่าไปฉันก็ผิดเองล่ะ นี่คาดหวังอะไรจากคนที่เติบโตมาในราชวังกันเนี่ย
แต่ในความโชคร้ายนั้น ยังคงเหลือความโชคดีอยู่นิดหน่อย นั่นก็คืออีริคมีความสามารถในการทำอาหารที่สุดยอดเหลือเชื่อ
มาสเตอร์ดูจะพออกพอใจในเรื่องนี้จนลืมเรื่องที่เขาทำจานแตกไปเลย เอาเป็นว่าจากนี้ตานั่นโดนเนรเทศไปหลังร้านแล้วเรียบร้อย แบบนี้ก็หมดห่วงเรื่องที่จะมีคนเจอด้วย
สีผมพิงค์โกลด์นั่น มันสะดุดตาเกินไปด้วย การที่ต้องให้เขามาทำงานหน้าร้านยังเสี่ยงที่จะโป๊ะแตกมากกว่าฉันเสียอีก
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองเศษจานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร้าน…นี่ฉันต้องเป็นคนเก็บกวาดจริงๆ สินะ
“พวกเรามาแล้ว…หวา! เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย!?!”
ทันทีที่เซนเปิดประตูเข้ามา เขาก็รีบกระโดดถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ
โอะโอ…หวังว่าเขาจะยังไม่เหยียบมันเข้านะ
“ขอโทษทีนะเซน แต่ช่วยออกไปยืนรอหน้าร้านก่อนได้ไหม? เดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จ ฉันจะออกไปเรียกเองนะ”
“งั้นก็ให้เราช่วยสิ แบบนั้นน่าจะเร็วกว่าไม่ใช่หรือไง”
อีวานที่โผล่มาจากด้านหลังของเซน พร้อมกับยกนิ้วให้ ตามมาด้วยคุณจีและสไตน์ที่ทยอยเข้ามาในร้าน
พอเห็นพวกเขาออกตัวว่าอยากช่วยกันขนาดนี้ ฉันเลยไม่กล้าที่จะปฏิเสธ อีกอย่างฉันก็ไม่น่ากังวลจนเกินไปเลย เผ่าปีศาจไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะโดนจานบาดง่ายๆ หรอกเนอะ
เซนเดินมาหยิบไม้กวาดออกไปจากมือฉัน พร้อมกับถามออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง
“จะว่าไป เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”
“ไม่มีอะไรหรอก…”
ก็แค่มีนักฆ่าโผล่มาจากหน้าต่าง กับชายปริศนาซึ่งแท้ที่จริงก็คือองค์รัชทายาทของอาณาจักรที่เราอยู่เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลยจริงๆ
“นายกังวลเกินไปแล้วนะ อีริคก็แค่คนหลงทาง ที่ซุ่มซ่ามไปหน่อยเท่านั้นเอง”
ฉันพูดพร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อนไปอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนเซนจะไม่ได้ติดใจอะไรและหันไปกวาดเศษจานอย่างเงียบๆ
“เอ๋ อย่าบอกนะว่า ทั้งหมดนี่คือ…”
อีวานหันมาถามฉัน พร้อมเหงื่อตก ฉันยิ้มตอบไป…ใช่ ฝีมือหมอนั่นน่ะล่ะ…
จากนั้นอีวานก็หันไปแยกเขี้ยวใส่คุณจีที่กำลังจะโน้มตัวเก็บเศษแก้วทันที
“เพราะหัวหน้าแท้ๆเลย! ถ้าหัวหน้าไม่พาหมอนั่นมาที่นี่ ลูน่าตันก็คงไม่ต้องลำบากแบบนี้หรอก!”
“ขะ…ข้าขอโทษ…”
คุณจีพูดออกมาพร้อมคอตก
โธ่~ อย่าทำหน้าสำนึกผิดแบบนั้นสินะ แบบนี้ฉันจะโกรธคุณลงได้ไง
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณจี! ตอนนี้อีริคไปช่วยงานมาสเตอร์ที่หลังร้านแล้ว จานไม่แตกเพิ่มแล้วค่ะ!”
ฉันพูดออกไปเพื่อที่จะไม่ให้เขาคิดมาก แต่ไม่รู้ทำไมว่าเหมือนมันจะทำให้เขาสลดหนักกว่าเดิม
หวา…แบบนี้ฉันควรจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะเนี่ย
“พี่เซน นี่ที่ตักขยะ” (สไตน์)
“โอ้! ขอบใจนะ…ว่าแต่ต้องไปทิ้งตรงไหนเนี่ย?” (เซน)
“ถังขยะก็อยู่ข้างร้านไง เดินออกไปทิ้งสิ เจ้าหมางี่เง่า” (อีวาน)
“พูดมากจริง ฉันไม่เห็นแกจะช่วยงานอะไรเลยนะไอ้แมวผี” (เซน)
“ให้ข้าทำเถอะ ข้าจะเป็นคนชดใช้ความผิดนี้เอง” (จี)
“ดะ…เดี๋ยวครับ!…” (เซน)
“อุ่ย…” (สไตน์)
“หัวหน้า! ผิดทางๆ!” (อีวาน)
โครม!!!
คุณจีเดินไปแย่งที่ตักขยะไปทางเซนอย่างกะทันหัน นั่นทำให้เซน เซไปด้านหน้า ความซวยยังไม่จบลงเท่านั้น หลังจากที่เซนชนเข้ากับคุณจี นั่นทำให้เขาสูญเสียการทรงตัวไปเช่นกัน พวกเขาเลยล้มไปทับเข้ากับอีวานที่อยู่ยืนข้างหลัง
เป็นโชคดีของสไตน์ที่ยืนห่างออกมาพอสมควร ทำให้เขาไม่โดนลูกหลงไปด้วย
หลังจากได้ยินเสียงดัง มาสเตอร์กับอีริคที่อยู่ในครัวก็รีบวิ่งออกมาดู ส่วนฉันก็เอาแต่หัวเราะออกมาดังลั่นหลังจากที่พยายามกลั้นเอาไว้อยู่นาน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย สรุปพวกเขาตั้งใจจะมาช่วยหรือเพิ่มงานให้ฉันกันแน่นะ ฮ่าๆ สภาพตอนนี้ดูไม่จืดเลยแต่ละคน นี่มันออกจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย แต่ฉันหัวเราะออกมาจนปวดท้องเลย
สุดท้ายแล้วคนที่ต้องเก็บกวาดทุกอย่างก็คือฉันเองนี่ล่ะ พวกเดอะบีสท์ถูกมาสเตอร์ดุแล้วใช้ไปนั่งรออยู่เฉยๆ ที่โต๊ะ ส่วนอีริคที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้ก็ถูกสั่งให้อยู่แต่ในครัวโดยที่ห้ามออกไปไหน
สมกับที่เป็นมาสเตอร์ จัดการทุกอย่างได้ในพริบตาแบบนี้ ช่างน่านับถือจริงๆ
“ถึงจะดูบ้าบอก็จริง แต่ลูน่าตันก็ยังวางใจไม่ได้นะ หมอนั่นยังไงก็เป็นผู้ชายรู้ไหม! ผู้-ชาย-น่ะ!”
อีวานยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดกระซิบข้างหูซ้ายของฉัน แต่แล้วเขาก็ถูกคุณจีลากคอกลับไป
“เจ้าก็ผู้ชาย…”
หุๆ พวกเขายังสนิทกันดีไม่เปลี่ยนเลย แม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่สามารถดูเหมือนครอบครัวกันได้เพียงนี้เชียว น่าอิจฉาอยู่เหมือนกันนะ
“จะว่าไปลูน่า ครั้งก่อนข้ารู้มาว่าเจ้าไปไหนสักที่กับเซนงั้นหรือ?”
“เอ๊ะ…เอ่อ…”
เซนบอกว่าที่นั่นเป็นสถานที่ลับของเขา งั้นก็แปลว่าฉันไม่ควรบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่านะ
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด คุณจีก็พูดต่อ
“อย่าห่วงเลย ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าหรือดุเซนหรอก เพียงแต่มีเรื่องที่อยากจะถามเท่านั้นเอง”
“เรื่องที่อยากถาม?”
“พอนึกๆมาแล้ว ดูเหมือนจะมีเพียงข้าที่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าพวกนี้ตลอดเลย…”
เขาพูดแล้วมองไปที่เหล่าเดอะบีสท์ที่พยายามหลบสายตา
“คนหนึ่งก็แอบมาขอให้ลูน่าสอนตัวหนังสือให้เป็นการส่วนตัว…คนหนึ่งก็ชอบฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนเผลอ…ส่วนอีกคนก็แอบมาเจอเจ้าทุกเช้า โดยที่คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนี้…”
สไตน์กับเซนสะดุ้งโหยงกันตามลำดับ แต่พอถึงตาอีวาน คุณจีกลับมองเขม่งอย่างเอาเรื่อง
คุณจีรู้ทุกการเคลื่อนไหวของทุกคนมาตลอด เพียงแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้สินะ
“อย่าว่าผมสิ สุดท้ายทุกคนก็ตามมาให้พี่ลูน่าสอนด้วยไม่ใช่หรือ”
สไตน์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ส่วนผมก็แค่ไปเที่ยวกับเพื่อนเหมือนคนทั่วไป ลูน่าเองก็เป็นเพื่อนผมนี่นา แต่ไอ้เจ้าคนที่แอบมาเจอทุกเช้านี่มัน…”
ทั้งเซนและสไตน์ต่างพร้อมใจหันหน้าไปมองอีวาน พร้อมกับส่งสายตาที่คมกริบดุจใบมีด
“เล่นยึดเธอไว้คนเดียวแบบนั้นมันไม่ขี้โกงไปหน่อยหรือ~ ประโยคนี้ดูคุ้นๆ ไหมล่ะไอ้แมวผี…”
เมื่อได้ยินแบบนั้นอีวานก็ถึงกับเหงื่อตก น้ำเสียงที่เซนดูไม่ต่างจากปกติเพียงแต่ภายในดวงตากลับมีเปลวไฟบางอย่างกำลังลุกโชนอยู่
ทำไมทำเหมือนการเจอฉันแบบตัวต่อตัวเป็นเรื่องผิดขนาดนั้นกันล่ะ ฉันเองก็อยากจะสนิทกับทุกๆคนเหมือนกันแท้ๆนะ
“งั้นที่พูดมาทั้งหมดแปลว่าคุณจีน้อยใจใช่ไหมคะเนี่ย?”
ฉันกอดอกแล้วทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ถามออกไป
“อื้มใช่ ข้าน้อยใจมากเลย”
เขาเลียนแบบท่าทางของฉันแล้วตอบกลับมาหน้านิ่ง
บางทีคนที่อายุร้อยปีก็แสดงนิสัยแบบเด็กๆ ออกมาได้เหมือนกันแฮะ ใครจะคิดล่ะว่าน้อยใจเป็นกับเขาด้วย
“งั้นวันนี้ ถ้าเลิกงานแล้วมาเล่นกับข้าแค่สองคนแล้วกัน”
“สองคน?”
“เอาคืนที่เจ้าพวกนี้ชอบทำอะไรลับหลังข้าไงล่ะ”
หึๆ มังกรนี่ก็แค้นฝังลึกเหมือนกันนะ
“ช่วยไม่ได้นะคะ จะยอมไปด้วยก็แล้วกันค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นคุณจีก็ฉีกยิ้ม ก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นมาราวกับเป็นผู้ได้รับชนะ
“ได้ยินแล้วใช่ไหม? หากพวกเจ้ากินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปก่อนเลย ข้ามีนัดกับลูน่าแล้วล่ะ”
เซน อีวานและสไตน์ส่งสายตามาอย่างขุ่นเคือง พร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“””ขี้โกง”””
แต่ถึงพวกเขาจะไม่พอใจแค่ไหน อย่างไรก็ขัดคำสั่งคุณจีที่เป็นหัวหน้าไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงทำได้แต่เงียบ แล้วแสดงออกทางสีหน้าแทน
{ขณะเดียวกัน…}
ห่างจากหมู่บ้านที่ลูอันน่าอยู่ไปประมาณร้อยไมล์ ทหารหน่วยพิเศษที่ได้รับมอบหมายให้มาประจำการยังเขตชานเมืองชุดสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
พวกเขาจำเป็นต้องหยุดค้างกันก่อนที่จะเดินทางต่อ คาดว่าน่าจะไปถึงเขตชานเมืองฝั่งตะวันตกตอนเย็นวันพรุ่งนี้
ระหว่างที่เหล่าทหารกำลังช่วยกันกางเต็นท์สำหรับพักแรมอยู่นั้นเอง กลับมีนายทหารคนหนึ่งที่ดูจะเหนื่อยกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ
ขอบตาดำคล้ำกับท่าเดินที่โอนเอนไปมา ราวกับว่าจะล้มแล้วสลบไปได้ทุกเมื่อ
ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากต้องอดหลับอดนอนทำงานอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่ได้หยุดพักมาตลอดหลายวัน
เขาก็คือกอน เบลคเกอร์คนเดิม เพิ่มเติมคือตอนนี้ง่วงมากๆ นั่นเอง
ทำงานแบบไม่ได้มานอนมาสามวัน ว่าหนักแล้ว…ออกเดินทางทันทีหลังจัดการงานเสร็จ ยิ่งหนักกว่า
ความเหนื่อยล้าสะสมหลายวัน ทำให้เขาที่พึ่งจะเดินออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบนั้น อยากจะกลับเต็นท์ของตัวเองแล้วทิ้งตัวลงนอนเต็มแก่
แต่ทันทีที่เดินกลับเข้าไปในเต็นท์ ก็เจอเข้ากับชายผมสีเงินที่คุ้นเคย
ทันทีที่เห็นเขา กอนก็กำหมัดแน่น ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรง
“เฮ่อ…อุตส่าห์ทิ้งไว้ที่ปราสาทเจ้าเมืองแล้วแท้ๆ ยังอุตส่าห์แอบตามมาอีกหรือครับ?”
ขณะที่กอนมีสภาพไม่ต่างอะไรจากศพเดินได้ เหตุไฉนผู้บังคับบัญชาที่ทำงานมาด้วยกัน ถึงยังมีใบหน้าที่เปล่งปลั่งและผิวพรรณที่ชุ่มชื้น ดูไม่เหมือนกับคนที่อดหลับอดนอนทำงานโต้รุ่งมาด้วยกันถึงเพียงนี้
อยู่ๆ กอนก็รู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“เดี๋ยวนี้นายชักจะใจร้ายกับผู้บังคับบัญชาเกินไปแล้วนะ ตั้งใจทิ้งกันแบบนี้ ฉันไปทำอะไรให้นายโกรธเคืองขนาดนั้นกัน~”
เจราห์แกล้งตีหน้าซื่ออย่างกวนประสาท กอนที่ไม่เหลือแรงพอจะระเบิดอารมณ์กลับไปจึงทำได้แต่เบ้ปาก
พอสังเกตดูดีๆ แล้ว ด้านหลังของเจราห์มีใครบางคนนอนสลบอยู่
‘เอาแล้วไง หาเรื่องมาให้อีกจนได้’ กอนคิดแบบนั้น แล้วตัดสินใจถามออกไปด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
“ครั้งนี้ไปทำอะไรไว้อีกครับเนี่ย?”
“ทำไมทำเหมือนว่าฉันเป็นฝ่ายกระทำงั้นเล่า ครั้งนี้ฉันเป็นฝ่ายถูกกระทำต่างหาก”
“ท่าน?”
กอนพูดพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างไว เขามองร่างที่นอนสลบอยู่ ซึ่งถูกจัดการอย่างสะบักสะบอมกับร่างของเจราห์ที่ปกติดี ไร้รอยขีดข่วน แบบนี้ไม่ต้องสืบก็รู้เลยว่าใครทำ
“ไม่ได้โกหกสักหน่อย ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงกล้าเข้ามาหาเรื่องพลทหารเอกของกองทัพแบบนี้…เอาไปเค้นมาให้เรียบร้อยเสีย”
“ผมหรือ?”
กอนเบิกตากว้าง พร้อมกับชี้ไปที่หน้าของตัวเอง
“นอกจากนายแล้วยังจะมีใครอีก? เอาตัวหมอนี่ไป แล้วทำอย่างไรก็ได้ให้มันคลายข้อมูลออกมาให้หมด”
“ตะ…แต่ท่านครับ…ผมยัง…ไม่ได้นอนเลย…ยังไม่ได้นอนเลยจริงๆ นะ”
“แล้วฉันได้นอนตอนไหนกัน เลิกโอดครวญแล้วไปทำตามที่สั่งได้แล้ว!”
ทหารในหน่วยก็มีตั้งหลายคนนะ ทำไมต้องมาใช้แต่เขาคนเดียวด้วย กอนทำได้คิดแล้วก็สงสัย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้แต่วันทยหัตถ์แล้วน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี
กอนส่งเสียงสะอื้นออกมา ระหว่างที่ลากตัวของชายคนนั้นออกไปจากเต็นท์
ก่อนที่เขาจะผ่านทางเข้าเต็นท์ไป อยู่ๆ เจราห์ก็พูดขึ้น
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถามเผื่อด้วยว่า เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่มีผมสีเงินกับตาสีฟ้าแบบนี้บ้างหรือเปล่า”