ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 17: ฉันกับจิ้งจอก(2)
“ขอโทษด้วยนะ เหมือนฉันจะทำให้เธอนึกถึงความทรงจำไม่ดีใช่ไหม?”
จมูกของเซนแตะมาที่แก้มของฉัน พร้อมกับส่งเสียง ‘หงิง’ ออกมาเล็กน้อย
แฮะๆ อย่างไรเขาก็น่ารักอยู่ดีในสายตาของฉันนะ
ตอนแรกที่หนีออกจากกองทัพมา แต่ละวันฉันคิดแค่ว่าตัวเองต้องหนีพวกทหารอย่างไรให้พ้น แต่ใครจะคิดล่ะว่าการหลบหนีนั้นมันจะทำให้ฉันเจอเข้ากับมาสเตอร์ ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ถึงได้เลือกที่จะทำงานที่ร้านอาหารแล้วอยู่เป็นหลักแหล่งแบบนั้น อาจเป็นเพราะการเดินทางตลอดหลายเดือนมันทำให้ฉันเหนื่อยแล้วกำลังมองหาที่พักอยู่ก็เป็นได้
ช่วงเวลาที่อยู่ที่ร้านโวยยะค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็มีแต่เรื่องที่น่าวุ่นวาย แล้วก็เสียงหัวเราะ ไม่ว่าจะมาจากมาสเตอร์ พวกลูกค้าในร้าน เหล่าเดอะบีสท์หรือแม้แต่ตัวฉันเอง
ที่นี่เป็นที่แรกที่ฉันตัดสินใจที่จะอยู่ต่อโดยที่กลัวว่าจะถูกใครมาพบเข้า
แต่ถึงกระนั้นหากมีทหารของอาณาจักรมาอยู่ใกล้ๆ อีก ฉันจะสามารถทำใจทิ้งทุกอย่างพร้อมกับหายไปได้เหมือนอย่างทุกทีไหมนะ มันผิดที่ฉันเองที่เผลอสร้างความผูกพันกับที่นี่มากเกินไป แถมยังรู้จักกับเดอะบีสท์ทุกคนแล้วด้วย
แค่คิดว่ามีวันหนึ่งที่พวกเขาต้องแยกจากกันแล้ว มันก็ทำให้ฉันรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่เซนแบ่งปันเรื่องราวของเขา และฉันเลยก็เล่าเรื่องของตัวเองออกไป มันทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าเราผูกพันกันมากกว่าเดิมเสียอีก
“เซน…”
“หืม?”
แม้ว่าตอนนี้ในใจของฉันจะรู้สึกหนักอึ้ง แต่ฉันก็อยากถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
“นายชอบร้านโวยยะของมาสเตอร์ไหม?”
“ถามอะไรของเธอเนี่ย ก็ต้องชอบอยู่แล้วสิ ไม่ใช่แค่ฉันนะ ไม่ว่าจะหัวหน้า อีวาน หรือแม้แต่สไตน์เองก็ชอบร้านนั้นมากเหมือนกัน”
“แสดงว่านายจะยังมาที่ทานอาหารที่ร้านเหมือนเดิมสินะ”
“อื้ม จะไปอุดหนุนทุกวันจนกว่าคุณยายจะรำคาญแล้วไล่ออกมาเลย”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉันก็ยิ้มน้อยๆ ออกมาพร้อมกับแตะของเขา
“ถ้าเกิดว่าไม่มีฉัน พวกนายก็ยังจะไปทานอาหารฝีมือมาสเตอร์กันใช่ไหม?”
เซนเบิกตากว้างหลังจากที่ได้ยินคำถามของฉัน
ความกังวลของฉันก็คือการที่ต้องทิ้งหญิงชราอย่างมาสเตอร์เอาไว้คนเดียวนั่นล่ะ เธอไม่มีทั้งลูกหรือหลานมาคอยดูแล แถมยังต้องหาเงินโดยการเปิดร้านอาหารคนเดียวอีก ถ้าเกิดฉันไม่อยู่ ฉันก็อยากจะให้ใครสักคนได้มานั่งคุยเล่นหรืออยู่เป็นเพื่อนเธอเพื่อคลายเหงาบ้าง
“หมายความว่าอย่างไร? เธอกำลังจะไปไหนหรือ?”
“เปล่า ฉันไม่ได้กำลังจะไปไหน”
“แล้วทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นออกมาล่ะ?”
เซนเริ่มแสดงท่าทีกระวนกระวายออกมา หางเองก็แกว่งไปมาราวกับว่ามันสะท้อนอารมณ์ภายในจิตใจของเขา
“ก็แค่คิดเล่นๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง เกิดวันไหนฉันหายตัวไปขึ้นมา…”
“ถ้าเกิดเธอหายไป พวกฉันก็ต้องตามหาอยู่แล้วสิ!”
เซนไปรอให้ฉันพูดจบ เขาพูดโผงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฉุนเฉียว
เฮ่อ…พูดออกมาได้หน้าตาเฉยแบบนี้เพราะเขาไม่รู้อะไรเลยน่ะสิ ขนาดถูกตราประทับคล้องคอเอาไว้จนไม่สามารถขัดคำสั่งท่านเจ้าเมืองได้แท้ๆ แค่คนระดับนั้นพวกเขาก็ไม่อาจต่อกรได้ แล้วถ้าต้องเผชิญหน้ากับทหารของอาณาจักรบางคนที่มียศสูงกว่า มีหรือที่พวกเขาจะหาทางเอาชนะได้
“ไม่รู้ล่ะ อย่างไรพวกฉันก็ไม่ยอมให้เธอหายไปง่ายๆ หรอก ไม่มีวันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่”
พอเซนพูดจบ เขาก็เอาหัวมาซบลงตรงไหล่ของฉัน แต่เขาจะรู้ไหมนะว่าตัวของเขาตอนนี้มันใหญ่กว่าฉันกี่เท่ากัน หนัก…ถึงจะนุ่มก็ตามแต่มันก็หนักนะ
“ทำอะไรของนายเนี่ย?”
“จำกลิ่นของเธอไง ถึงพวกเราจะจำกันได้อยู่แล้วก็ตาม”
นี่พวกเขา…ทำอะไรนะ?
ขนของเขาถูไถไปมาบนหน้าฉัน นั่นมันทำให้รู้สึกจั๊กจี้มากเลย อย่างไรฉันก็ยังไม่ลืมนะว่าเขาเป็นเพศตรงข้ามน่ะ ใกล้เกินไปแล้ว
“พอแล้ว! ถึงฉันจะรู้ว่านายไม่ค่อยถือเรื่องพวกนี้ แต่ฉันเองก็ยังเป็นผู้หญิงนะ จะถูกเนื้อต้องตัวกันเกินไปหรือเปล่า?”
ฉันไม่ใช่ท่อนไม้นะ พอเป็นฝ่ายที่ถูกสัมผัสฉันเองก็หน้าร้อนผ่าวเป็นเหมือนกัน
เซนมองมาที่ฉันอย่างผิดคาด เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนที่จะกระตุกยิ้มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้
“ป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเธอเขินน่ะ?”
เมื่อถูกจับได้ฉันรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองทันที แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามันอาจจะซ่อนสีหน้าได้ไม่มิดจึงหันหลังให้เขาด้วย
เขาให้จมูกบนใบหน้าที่เรียวแหลมนั้นชนมาที่กลางหลังเพื่อที่จะแหย่ฉันเล่น โธ่…เจ้าจิ้งจอกนิสัยไม่ดีนี่นิ
“สไตน์บอกฉันแล้วล่ะ วันนั้นเธอคอยดูแลฉันใช่ไหม วันที่ฉันงีบที่ร้านน่ะ”
ฉันไม่ได้ทำถึงขนาดนั้นเสียหน่อย แค่แวะเข้าไปดูเขาไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง สไตน์พูดเกินไปแล้ว…
“ฉันแค่นั่งดูเฉยๆ เองนะ คนที่รักษานายน่ะสไตน์ต่างหาก”
“แต่ก่อนหน้านั้น เธอเป็นคนลูบหัวฉันนี่ ตอนที่ฉันฝันร้ายน่ะ…”
ตอนนั้นฉันระวังเรื่องฝีเท้าของตัวเองมากแล้วนะ ถึงจะไม่ได้ถึงขนาดลบสัมผัสของตัวเองไปก็ตาม คิดว่าเขาหลับสนิทเสียอีก ที่แท้กลับรู้สึกตัวอยู่ตลอดนี่เอง
“ขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะแตะตัวนายโดยพลการ”
“ไม่หรอกๆ อย่างไรฉันก็อยู่ในตระกูลหมา ฉันชอบให้คนลูบหัวอยู่แล้ว”
อ่า…น่ารักจัง…
“ฉันมักจะง่วงนอนกว่าปกติถ้าใช้พลังมากเกินไป อีกอย่างมันชอบทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้ด้วยบางครั้ง การรักษาของสไตน์มันช่วยให้ฉันรู้สึกพะอืดพะอมน้อยลง”
“นึกว่าเผ่าปีศาจจะใช้พวกกรงเล็บหรืออาวุธอื่นที่ไม่ต้องพึ่งพลังเวทย์เสียอีก”
“เปล่า พวกเราไม่มีพลังเวทย์หรือเห็นกระแสมานาอะไรอย่างที่คนส่วนใหญ่พูดกันหรอก ปีศาจใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘ชิน (Shin) ‘ ที่เกิดจากภายในร่างกายของพวกเราเองแทนมานาน่ะ”
น่าสนใจแฮะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งการไหลหรือกระแสของมานา อยากรู้จังว่ามันเป็นพลังแบบไหนกันแน่ แต่ละคนเป็นปีศาจต่างประเภทกัน แสดงว่าพลังของพวกเขาก็มีรูปแบบที่ต่างกันด้วยสินะ
“ลูน่าสนใจงั้นหรือ?”
“กะ..ก็นิดหน่อย”
ฉันเคยชอบศึกษาพวกเวทมนตร์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อที่จะนำไปใช้ในการต่อสู้ ตอนนี้ถึงฉันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้วก็ตามแต่ฉันก็ยังใช้ความสนใจมันอยู่ดี
“เอาไว้จะลองถามหัวหน้าดูนะว่าแสดงให้เธอดูได้ไหม ถ้าฉันแอบทำโดยไม่บอก เดี๋ยวเขาจะโกรธฉันอีก”
“เข้าใจแล้ว”
“เห็นไหม ยังมีอีกหลายอย่างที่ลูน่าไม่รู้เกี่ยวกับพวกฉันนะ แถมฉันก็มีหลายอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับเธอด้วย…”
ฉันนอนฟังเงียบๆ ท่ามกลางขนที่นุ่มฟูนั้น
“เพราะงั้นเธออย่าหายตัวไปจากพวกฉันเลยนะ อยู่ด้วยกันแบบนี้ ทานของอร่อยด้วยกัน คุยเล่นแล้วหัวเราะด้วยกันเช่นนี้ต่อไปเถอะ…”
คำพูดของเซนทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา แต่ความอบอุ่นพวกนี้อาจจะเป็นความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างอันใหญ่โตนี้ก็ได้
“เธอกับมาสเตอร์เหมือนกับครอบครัวของพวกเราแล้วนะ เป็นคนสำคัญเกินกว่าที่พวกเราจะยอมเสียไปได้…”
ขณะที่ฟังเขาพูด หนังตาของฉันก็รู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ชักจะง่วงแล้วสิ
“…อย่าหายไปไหนนะลูน่า”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ฉันได้ยิน…ก่อนที่สติของตัวเองวูบหายไป
________________________________________
จิ้งจอกหัวใหญ่รู้สึกถึงความเงียบที่ผิดปกติ พอเขาหันไปมองร่างของเด็กสาวที่นอนอยู่ ก็พบว่าเธอคนนั้นได้ผลอยหลับไปเสียแล้ว
เขาขยับหางของตัวเองมาห่มร่างของเธอเพื่อไม่ให้รู้สึกหนาว ตาสองสีคู่นั้นสะท้อนภาพของเด็กสาวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
…เธอเป็นใครกันแน่
…ทำไมถึงได้ลงทุนหนีออกจากบ้านมาในที่ห่างไกลเช่นนี้
…อะไรคือเหตุผลที่อาจทำให้เธอหายไป
…และอะไรที่จะสามารถรั้งให้เธออยู่ที่นี่ได้
จิ้งจอกตัวนั้นแปลงร่างเป็นมนุษย์พร้อมกับใช้มือประคองหัวของเด็กสาวเอาไว้อย่างระวัง
ตอนนี้เย็นมากแล้ว หากเขารั้งเธอเอาไว้นานกว่านี้อาจทำให้คุณยายร้านโวยยะเป็นห่วง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อยากปลุกเธอ หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าที่น่าเอ็นดูนั้น
เซนอุ้มร่างของลูอันน่าขึ้นมาแล้วพาเธอออกมาจากสถานที่ลับนั้นช้าๆ เขาค่อยๆ ก้าวเดินโดยที่ไม่ส่งเสียง
ลูอันน่าหรือลูน่า ในสายตาของเขา เป็นเพียงเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันที่อยู่ๆ ก็โผล่มา ท่าทางและกิริยาที่สุภาพทำให้เขาคิดว่าเธออาจเติบโตในเมืองหลวง แหวนที่เธอให้เขาดู มันทำให้เขารู้ว่าเธออาจมีความเกี่ยวข้องกับขุนนาง ในใจของเซนยังคงมีอคติกับพวกคนรวย เนื่องจากเขาเคยถูกขายให้กับคนพวกนั้น แม้แต่ท่านเจ้าเมืองที่ตอนนี้กลายเป็นเจ้านายของเขา ก็ยังเป็นคนที่มีความคิดและการกระทำที่น่ารังเกียจ
พวกมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขัน และยังเป็นพวกที่ชอบตัดสินคนจากภายนอก…นั่นคือสิ่งที่เขาเคยคิด
ถึงแม้ว่าเซนจะเป็นคนที่ชอบชักชวนเดอะบีสท์คนอื่นเปิดใจกับมนุษย์ ซึ่งแท้จริงแล้วเขานั้นกลับมีอคติกับมนุษย์มากกว่าใครๆ แต่แล้วความคิดของเขาก็ได้เปลี่ยนไปหลังจากที่ได้เจอกับลูอันน่า
เด็กสาวที่ดูเหมือนไม่กลัวอะไรเลยคนนี้ เธอยิ้มและพูดคุยกับเดอะบีสท์คนอื่นๆ อย่างเป็นกันเอง แถมยังไม่หวาดกลัวหรือรังเกียจ ร่างจริงที่เป็นปีศาจของพวกเขาอีก
“งืมม~~”
“โอะโอ…”
ลูอันน่าเริ่มบิดตัว เซนใช้หลังศอกรองหัวของลูอันน่าขึ้นพร้อมกับขยับตัวเล็กน้อย เขาทำเหมือนกับว่ากำลังกล่อมเด็กน้อยให้หลับ ซึ่งมันก็ใช้ได้ผล ลูอันน่าตอนนี้หลับอยู่ในอ้อมแขนนั้นโดยที่ไม่รู้สึกตัว
“ขออีกห้านาที…”
ลูอันน่าพูดละเมอออกมาจนเซนกลั้นขำ แต่พอเขาได้ยินเธอพูดชื่อหนึ่งขึ้นมา เขาก็ชะงักไป ‘ลูเซียน’ เธอพูดออกมาแบบนั้น นั่นทำให้เขาสงสัยว่าเธออาจจะหมายถึงพี่ชายที่เธอเล่าก่อนหน้านี้ แต่พอเขาเห็นใบหน้าที่คิ้วขมวดนั้น ทำให้คิดว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิด
ทั้งๆที่ตลอดทาง เธอนอนด้วยใบหน้าที่มีความสุขขนาดนั้นแท้ๆ แต่พอเธอพูดชื่อนั้นขึ้นมา รอยยิ้มบนหน้าก็หายไปในพริบตา
แม้ว่าเซนจะไม่รู้ว่าลูเซียนเป็นใคร แต่เขาก็ตัดสินใจไปแล้วว่าเขาจะไม่เป็นมิตรกับคนๆ นี้ คนที่ทำให้รอยยิ้มของลูอันน่าหายไป
ไม่ว่าใครก็จะไม่ยกโทษให้โดยเด็ดขาด
หลังจากที่ไปส่งลูอันน่าที่ร้านโวยยะจนโดนดุไปเป็นที่เรียบร้อย เขาก็กลับไปที่บ้านอันแสนอบอุ่นของเขา ที่ส่วนลึกในป่าแห่งแก่นแท้มีบ้านหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ มันเป็นบ้านสองชั้นที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลวกๆ แต่ก็แข็งแรงมั่นคง
ทันทีที่เซนเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เขาก็ถูกจู่โจม
“หนอย~ แกนะแก!!”
อีวานพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“จะเอาหรืออีวาน?”
เซนมองเขาอย่างหาเรื่อง แต่อีวานก็ปล่อยคอเสื้อของเขา หลังจากที่เห็นจีส่งสายตาเตือนมา
“ฮึ่ย! นายแอบพาลูน่าตันไปไหนหะ? ฉันเห็นนะ ว่านายอุ้มเธอวิ่งผ่านป่าไปน่ะ”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นก็หูผึ่งพร้อมกับหันไปมองเซนด้วยสีหน้าเคือง
“คนนิสัยไม่ดี”
สไตน์พูดออกมาสั้นๆ
เซนพยายามที่จะอธิบายทุกอย่างโดยที่เลี่ยงไม่ให้เผลอหลุดเรื่องที่คุยกับลูอันน่าออกไป
“แค่พาเธอไปเดินเล่นนิดหน่อยเอง ไหนๆ วันนี้ลูน่าก็ว่างนี่นา ฉันเองก็เสร็จงานพอดีด้วย”
“กล้าพูดนะ…นายเล่นยึดเธอไว้คนเดียวแบบนั้นมันไม่ขี้โกงไปหน่อยหรือ วันนี้ฉันเองก็อยากเล่นกับเธอเหมือนกันนะ”
“ฉันก็แค่โชคดีเจอเธอระหว่างทางกลับเท่านั้นเอง พรุ่งนี้ร้านโวยยะก็เปิดแล้ว เดี๋ยวนายก็ค่อยไปเล่นกับเธอก็ได้นี่”
อีวานเบ้ปากอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะบ่นอุบอิบออกมา
“ลูน่าตันเป็นของฉันแท้ๆ…”
“””ใช่ที่ไหนกัน!”””
ไม่ใช่เพียงเซน แต่จีกับสไตน์เองก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อไม่มีใครเข้าข้าง อีวานจึงขมวดคิ้วใส่ทุกคนพร้อมกับกระโดดขึ้นไปที่ชั้นสองอย่างน้อยใจ
สไตน์ถอนหายใจนิดหน่อย แล้วตัวเองก็เดินขึ้นบันไดไปเหมือนกัน
ชั้นล่างที่เหลือเพียงเดอะบีสท์แค่สองคน เซนเดินเข้าไปหาจีที่กำลังวางแผนการกำจัดมอนสเตอร์ในวันถัดไปอยู่
“นี่ หัวหน้า…”
จีที่ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างสงสัย เขาละสายตาจากงานของตัวเองแล้วหันไปฟังเซนอย่างตั้งใจ
แต่ดูเหมือนเซนจะยังไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง เขาเลยเปลี่ยนใจไม่พูดออกไปแล้วยิ้มให้จีเล็กๆเพื่อกลบเกลื่อน
“เปล่าครับ ผมแค่จะบอกว่าฝันดีน่ะ”