ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 15: มันนุ่มนิ่มมากเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันออกมายืนรอหน้าร้านอย่างทุกเช้า แต่ครั้งนี้ไม่ได้หยิบถ้วยนมติดมือมาด้วย เพราะเมื่อวานพึ่งได้รู้ความจริงบางอย่างที่น่าเจ็บใจน่ะสิ
เมื่อถึงเวลา…เจ้าแมวสีดำขนปุยก็เดินออกมาจากตรอกเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากร้านโวยยะไม่ไกล ทันทีที่มันหันมาแล้วเห็นฉันที่กำลังยืนกอดอกทำหน้ามุ่ยอยู่ ก็รีบตรงเข้ามาคลอเคลียใส่ทันที
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิลูน่าตัน~ นี่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงเธอเลยนะ~”
เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากแมวตัวนั้น เหมือนกับตอกย้ำว่าสิ่งที่ฉันได้รู้เมื่อวานมันไม่ใช่ความฝัน
“แสดงว่าที่ผ่านมา นายแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจที่ฉันพูดมาตลอดเลยสินะ อีวาน”
ฉันพูดออกไปพลางอุ้มแมวน้อยอีวานขึ้นมาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง อีวานหลบสายตาเพื่อเป็นการหลบหนีความผิด เจ้าแมวนิสัยเสียนี่นิ
“อย่าใจร้ายกับฉันนักสิ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงลูน่าตันจริงๆ นะ”
อีวานพูดพร้อมกับเอาอุ้งเท้าแสนนุ่มนิ่มนั้นมาแตะที่ปลายจมูกของฉัน เขารู้แล้วสินะว่าจุดอ่อนของฉันคือแพ้ความนุ่มนิ่มน่ะ
“ลองคิดดูสิว่าถ้าเมื่อวานฉันไม่อยู่…”
“ฉันไม่ได้โกรธเรื่องเมื่อวานสักหน่อย”
ฉันรีบพูดขัดก่อนที่เขาจะพูดจบ อีวานปิดปากเงียบแล้วมองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ
“ฟังให้ดีนะอีวาน ตอนนี้นายรู้ตัวไหมว่าตัวเองมีความผิดที่ไม่น่าให้อภัยอยู่เรื่องหนึ่งน่ะ”
อีวานกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับเบิกตากว้าง
“นาย…นายเล่นแอบมาหลอกกินนมฟรีแบบนี้ทุกเช้า แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันหะ!?!”
“…เอ๋?”
“ไม่ต้องมา ‘เอ๋’ เลยนะ นายรู้ไหมว่าฉันต้องใช้เงินตัวเองออกค่านมเองเลยนะ!!”
ฉันพูดออกไปด้วยความคับแค้นใจ ตอนแรกตั้งใจจะเอาเงินนั้นไปซื้อกระเป๋าใบใหม่แท้ๆ ฉันต้องใช้เงินส่วนนั้นไปกับค่านมตั้งเท่าไหร่ ยังจะมีหน้ามาตีมึนใส่กันแบบนี้อีกนะ
พออีวานเขาได้ยินแบบนั้นก็หูตกไป พร้อมกับเงยหน้าพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา
“ลูน่าตัน…เธอนี่ขี้เหนียวชะมัดเลยแฮะ…”
“เงินมันไม่ได้งอกออกมาจากต้นไม้นี่นา จะว่าฉันขี้เหนียวไม่ได้นะ”
เขาคงไม่รู้หรอกว่านมวัว ราคามันไม่น่ารักขนาดไหน มันเกือบจะเท่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนที่มาสเตอร์ผ่านให้ฉันแล้วนะ เล่นมาหลอกกินฟรีดื้อๆ แบบนี้จะไม่ให้ฉันโกรธเขาได้อย่างไร
“ถ้าเรื่องแค่นั้น ฉันจ่ายคืนให้ก็ได้…แค่นี้เราก็คืนดีกันแล้ว ใช่ไหม?”
อีวานยื่นอุ้งเท้ามาที่ด้านหน้าของฉัน
อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาอยู่ในร่างแมว ฉันเลยอ่านสีหน้าไม่ออกว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นอยู่กันแน่ แต่ฉันเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น ดังนั้นฉันเลยยอมจับอุ้งเท้าน้อยๆ นั้นเพื่อเป็นการคืนดีกับเขา แถมอีวานยังให้สัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องเมื่อวานไปบอกใคร ส่วนฉันเองก็สัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่เขาแอบมาที่นี่เช่นกัน
ถึงความลับระหว่างฉันกับสไตน์จะแตกไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีความลับใหม่ระหว่างฉันกับอีวานเพิ่มมาแทน
เราเปลี่ยนที่คุยจากหน้าร้านไปข้างในร้านแทน เนื่องจากถ้าใครผ่านมาเห็นว่าฉันกำลังนั่งคุยกับแมวอยู่ มีหวังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนแปลกๆ กันพอดี
“…แต่เมื่อวานนี้ฉันต้องขอโทษเธอด้วยจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่ฉันอยู่ตรงนั้นแต่กลับปล่อยให้เธอบาดเจ็บเสียได้”
อีวานก้มหน้าพลางสำนึกผิด แต่ฉันกลับสนใจหางที่ม้วนขดไปมาของเขาจนไม่ได้ตั้งใจฟัง
“อาจมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกก็ได้ ลูน่าตัน…จากที่ฉันดูเมื่อวานแล้ว เธอนี่เป็นพวกชอบหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เลยนะ”
อยู่ๆ ไหงฉันถึงถูกว่าได้ล่ะเนี่ย
“อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แถมอาจจะเป็นทหารของทางการด้วย ถึงฉันจะคิดว่าที่เธอเถียงออกไป มันจะดูเท่ดีก็เถอะ แต่ความจริงมันเป็นการกระทำที่โง่มากเลย เธอรู้ตัวหรือเปล่า”
พอถูกอีวานที่อยู่ในร่างแมวดุใส่ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าสำนึกผิดไม่ลงเลยล่ะเนี่ย
“ถ้าหมอนั่นไม่คว้าส้อม แต่ชักดาบออกมาจะทำอย่างไร ถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมา พวกเราไม่มีทางจะอยู่เฉยแน่ หัวหน้าอาจจะอาละวาดแถมคุณยายก็อาจเสียใจด้วยนะ…”
ก่อนจะถึงตอนนั้น ฉันก็จะใช้อุปกรณ์เวทย์จัดการพวกเขา ไม่ก็…ใช้ทักษะที่มีอยู่ตอกกลับไปก็ได้ แค่ผู้ชายคนเดียวทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ นายนั่นล่ะที่เป็นห่วงเกินไป
…แต่จะพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้นี่เนอะ ถ้าเกิดพูดออกไป เดี๋ยวจะถูกสงสัยว่าเป็นใคร มาจากไหนอีก
เฮ่อ…ช่วยเลิกเป็นห่วงฉันสักที ฉันดูแลตัวเองได้จริงๆ นะ
ฉันคอตกเพราะไม่สามารถโต้อะไรกลับไปได้ แต่อีวานเขาเข้าใจไปว่าที่ฉันคอตกเป็นเพราะฉันได้สำนึกผิดกับการกระทำของตัวเองแล้ว
“นี่ อย่าซึมไปเลยนะ ฉันไม่เอาไปบอกพวกหัวหน้าหรอก…ลูน่าตัน ไม่อยากทำให้พวกเรากังวลใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ~”
ฉันถอนหายใจพลางดึงอีวานเข้ามากอด ความนุ่มนิ่มที่ฉันได้จากการสัมผัสขนของเขา มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายลง หลังจากที่แก้มของฉันถูไปที่หน้าของเขา อุ้งมือเล็กๆ นั้นก็สัมผัสที่ปลายจมูกฉันอีกครั้ง
ฉันหยุดการกระทำของตัวเองแล้วมองเขาด้วยสีหน้าที่งุนงง พอเห็นฉันทำหน้าแบบนั้นอีวานก็ถามออกมาอย่างอึ้งๆ
“ถึงเธอจะรู้ว่าเป็นฉันแล้วก็ยังเข้ามากอดได้หน้าตาเฉยแบบนี้เลยหรือ?”
“อ่ะ ขอโทษ ฉันไม่รู้มาก่อนว่านายไม่ชอบ…”
“เปล่าๆ! ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบ แค่คิดว่าเธอจะเขิน…แล้วไม่ยอมแตะตัวฉันเสียอีก”
ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นนายมากกว่านะที่เขิน ฉันลูบหัวของเขาแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่ทำเรื่องน่าเสียดายแบบนั้นหรอก ก็นายน่ารักเสียขนาดนี้นี่นา”
อีวานสะบัดหางมาปัดมา ก่อนจะกระโดดไปนอนเล่นบนตักของฉัน
“งั้นก็ดีเลย สัมผัสมันเท่าที่เธอต้องการเลยแล้วกัน”
ดูเหมือนเขาจะถูกใจกับคำตอบนะ ฉันค่อยๆ ใช้มือลูบหลังเขาอย่างเบามือ เพราะมัวแต่นั่งเล่นอยู่นาน วันนั้นทำให้ฉันกับอีวานเริ่มงานของตัวเองสายด้วยกันทั้งคู่
วันเวลาผ่านไป และแล้วก็มาถึงวันที่ฉันต้องไปสั่งวัตถุดิบกับเครื่องดื่มจากหมู่บ้านข้างๆ อีกครั้ง ในวันถัดมา มาสเตอร์เลยถือโอกาสนี้ปิดร้านไปเสียเลย ถ้าฉันเดินไปสั่งวัตถุดิบเสร็จก็จะมีเวลาว่างอีกทั้งวัน
ตั้งแต่ที่รู้จักกับพวกเดอะบีสท์นั้นทำให้ฉันไม่กล้าวิ่งลัดผ่านป่าไปอย่างที่เคยทำ บางทีตอนที่วิ่งอยู่อาจเจอพวกเขาระหว่างทางก็เป็นได้
เฮ่อ~ ฉันต้องยอมเดินตากลมเล่นตั้งชั่วโมงหนึ่งเลยหรือเนี่ย…
ฉันเดินมาที่หมู่บ้านข้างๆ โดยใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งจริงๆ ช่างเป็นการเดินทางที่น่าเบื่อและห่อเหี่ยวเกินไปจนฉันอาจจะวิ่งลัดป่ากลับไปเลยล่ะ พอทำธุระเสร็จ ฉันก็เหลือบไปเห็นร้านขายทาร์ตไข่ที่เมื่อก่อนตัวเองชอบนักหนา เหมือนกับว่ามีลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้ฉันซื้อมันติดมือไปด้วย
ฉันเดินออกมาจากหมู่บ้านนั้นโดยที่อุ้มถุงกระดาษอยู่สองใบ ครั้งนี้ไม่มีพวกลูกค้าขี้หลีมาก้อร่อก้อติกใส่เหมือนครั้งก่อน ทำให้การเดินทางกลับของฉันเงียบสงบเป็นอย่างมาก…อันที่จริงมันสงบจนน่าใจหายเชียวล่ะ
พอเดินมาได้เกือบครึ่งทาง ฉันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง เดินมาตั้งนานแต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะเจอใครสักคน นี่ฉันแอบหวังไปเองคนเดียวอย่างนั้นหรือเนี่ย
ระหว่างที่ฉันกอดถุงขนมแล้วเดินต่อไปอย่างคอตก ใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินออกมาจากเงาของต้นไม้ แล้วโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ลูน่า! ไม่นึกเลยว่าจะเจอเธอแถวนี้อีกนะเนี่ย”
เส้นผมสีเงินที่สะท้อนแสงแดดยามเช้านี้ มันช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน
รอยยิ้มที่ชื่นบานบนใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์นั้น ทำให้ฉันไม่ค่อยมั่นใจว่าที่เราเจอกันแบบนี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าตั้งใจกันแน่
“น้ำเสียงของนายดูไม่ได้ตกใจอย่างที่พูดเลยนะ ไม่ใช่รู้แต่แรกแล้วหรือว่าวันนี้ฉันต้องเดินผ่านทางนี้น่ะ”
ฉันพูดออกไปพลางขำออกมาจากลำคอ เซนก็เอาแต่ยิ้มโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
อันที่จริงตอนที่มาสเตอร์บอกว่าจะปิดร้าน ตอนนั้นพวกเดอะบีสท์เองก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งคนที่รู้ว่าร้านโวยยะสั่งวัตถุดิบจากที่ไหน จนถึงขนาดมาดักรอกันได้แบบนี้ เห็นทีคงจะมีแต่คุณจิ้งจอกที่ฉันเคยเจอเท่านั้นล่ะ
“อุตส่าห์เจอกันทั้งที ทำหน้าให้มันยิ้มแย้มมากกว่านี้หน่อยสิ~”
ฉันก็อยากทำอยู่หรอกนะ แต่เขาดันมาในร่างนี้ฉันเลยไม่ค่อยจะดีใจเท่าไหร่น่ะสิ…มันไม่น่ารักอ่ะ…แถมดูไม่นุ่มฟูด้วย…
เซนเหลือบมองมาที่ถุงกระดาษที่ฉันถืออยู่ด้วยความสงสัย
“นั่นทาร์ตไข่หรือ? ทำไมถึงซื้อมาสองถุง…”
เซนหยุดคำพูดของตัวเองแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา ราวกับว่าเข้าใจทุกอย่าง
เขาไม่พูดต่อ แต่กลับเดินเข้ามาที่ด้านหลังของฉัน เซนแตะที่ไหล่ของฉันเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น
“ไหนๆ วันนี้คุณยายก็ปิดร้านแล้วเธอเองก็ว่างด้วย เราสองคนแอบไปที่ไหนสักที่กันดีไหม~”
“ที่ไหนสักที่หรือ?”
ฉันทวนคำพูดของเขา แล้วรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
“วะ…ว้าย!..”
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบ ร่างของฉันก็ถูกช้อนขึ้นมาจนลอยอยู่เหนือพื้น ตอนนั้นฉันเป็นห่วงว่าตัวเองจะเผลอทำของหลุดมือจึงกอดถุงกระดาษทั้งสองไว้แน่น
เซนที่อุ้มร่างของฉันอยู่ หันมาพลางอมยิ้มเล็กๆ
“เอาล่ะ เกาะฉันไว้ให้แน่นๆ นะ ระวังอย่าให้ตกไปล่ะ”
แม้ว่าตอนแรกฉันจะไม่เข้าใจว่าเขาพูดแบบนั้นทำไม แต่หลังจากที่ถูกลมปะทะเข้าที่หน้าอย่างแรงนั้นก็ทำให้เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที พวกเราเคลื่อนผ่านป่าไปด้วยความเร็วที่แทบไม่เห็นสิ่งต่างๆ รอบข้าง
นี่มันเร็วกว่าตอนที่ฉันวิ่งเองอีกนะเนี่ย เขาวิ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ทั้งๆ ที่อุ้มฉันอยู่เนี่ยนะ เพราะตามปกติฉันอยู่กับเดอะบีสท์ในร่างมนุษย์บ่อยเกินไป นั่นทำให้ฉันลืมเลยว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์
เซนกระโดดหลบรากและกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว ดีที่พื้นฐานการทรงตัวของฉันเป็นเลิศ ดังนั้นฉันจึงไม่เวียนหัวเวลาที่เขาเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อความเร็วก็ค่อยๆ ลดลง ฉันเริ่มเห็นภาพทิวทัศน์รอบด้านชัดขึ้น จากนั้นเราสองคนก็หยุดลงตรงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง เซนปล่อยฉันลงแล้วบิดตัวเล็กน้อย
เอ่อ…ฉันไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นหรอกมั้ง…
แล้วก็กวาดสายตามองรอบๆ ที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกับดอกไม้เล็กๆ ที่ขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ กระแสมานาที่สัมผัสได้มันช่างชัดเจนจนสามารถเห็นเป็นกลุ่มก้อนพลังงานเล็กๆ มองไปทางไหนก็มีเพียงทุ่งหญ้าที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา นี่เซนพาฉันมาที่ไหนกันแน่นะ
“ที่นี่…ที่ไหนกันเนี่ย…”
“เป็นสถานที่ลับของฉันเอง เจ๋งใช่ไหม?”
ถึงมาถามฉันก็เถอะ แต่สถานที่มีอากาศที่บริสุทธิ์แล้วพลังเวทย์สูงถึงเพียงนี้ สำหรับนักสำรวจหรือจอมเวทย์บางคนยังถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถหาสถานที่ดีๆ แบบนี้
เพราะความบริสุทธิ์กับพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ ว่ากันว่าสถานที่พวกนี้จะมีเขตอาคมอ่อนๆ ทำให้มอนสเตอร์หรือสัตว์ร้ายไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ซึ่งภายในอาณาจักรจะมีสถานที่แบบนี้อยู่เพียงไม่กี่แห่ง แถมส่วนใหญ่จะถูกสร้างเป็นโรงเรียนหรือสนามฝึกสำหรับการใช้เวทมนตร์โดยเฉพาะ การอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้จะช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นและฟื้นพลังได้ดีอีกด้วย เซนจะรู้ไหมเนี่ย ว่าที่นี่มันพิเศษขนาดไหนน่ะ
ฉันมัวแต่อึ้งกับภาพตรงหน้าจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนั้นเองเซนก็เปลี่ยนร่างไปเป็นจิ้งจอกเสียแล้ว
“อย่ามัวแต่อึ้งสิ เอาล่ะ…เรามาทานทาร์ตไข่กันได้แล้ว”
เขาพูดพลางกระดิกหางที่เหมือนก้อนปุยเมฆนั้นไปมา เมื่อได้เห็นแบบนั้นความคิดฉันก็แตกกระเจิง
ฉันอยากลองจับหางนั้นดูจัง…
“ลูน่า?”
“อะ…อื้ม! มาทานกันก่อนที่มันจะเย็นกันเถอะ”
เราทานทาร์ตไข่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ เพราะมีเพียงต้นหญ้าทำให้ไม่มีต้นไม้ที่สูงใหญ่มาบดบังทิวทัศน์ด้านบน ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปิดกว้างอย่างเต็มตา เมื่อสายลมอ่อนๆ ได้พัดผ่านร่างของฉันไป ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่ตัวเองไม่สามารถอธิบายได้ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย
อา…ท้องฟ้าสีครามซึ่งเคยเป็นที่ของฉัน…ช่างน่าคิดถึงเหลือเกิน…
ฉันเอื้อมมือออกไป…ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีโอกาสที่จะโบยบินอยู่บนท้องฟ้านั้นได้อีก ทั้งๆ ที่ยังรู้แต่ฉันก็ยังคงเสียดาย…
ระหว่างที่เหม่ออยู่นั้น หางขนฟูขนาดใหญ่ก็ชนเข้าที่หน้าอย่างจัง มันไม่ได้แรงขนาดที่ทำให้ฉันบาดเจ็บ แต่ก็แรงจนหงายแล้วล้มลง หลังของฉันชนเข้ากับอะไรบางอย่าง…
อะไรบางอย่างที่นุ่มจนตัวของฉันบุ๋มเข้าไปเล็กน้อย
อ้า~ อุ่นจังเลย…รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในมาร์ชเมลโลว์ชิ้นโตที่เคยฝันสมัยตอนที่ยังเด็ก แต่ที่ฉันนึกถึงมาร์ชเมลโลว์ก็เพราะรอบด้าน มันเต็มไปด้วยสีขาวอย่างไรล่ะ
“เอ๊ะ!…นี่ฉัน….เอ๋?”
ระหว่างที่กำลังตกใจอยู่ เซนก็วางหางนั้นลงบนขาของฉัน เพื่อไม่ให้ขยับไปไหน
อยู่ๆ ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันกำลังนอนลงบนตัวเขาไปเสียแล้ว
“ถ้าอยากมองขนาดนั้นก็นอนลงสิ แต่ถ้านอนตรงพื้นแบบนั้นมันก็แข็งไปหน่อยนะ”
เขาพูดโดยที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
ถึงฉันจะแอบฉวยโอกาสแตะตัวสไตน์หรือดึงอีวานเข้ามากอดก็เถอะ แต่การที่มานอนทับร่างของเซนแบบนี้เป็นอะไรที่ฉันไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยนะ แบบนี้มันเกินไปไม่ใช่หรือ
“ไม่ต้องคิดอะไร ทำตัวตามสบายล่ะ ฉันรักษาความสะอาดตลอดเพราะงั้นไม่มีกลิ่นแปลกๆ แน่นอน”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาสักหน่อยนะ…”
ฉันเอามือทั้งสองมาปิดหน้าอันแดงก่ำของตัวเองเอาไว้ นี่ฉัน…กำลังนอนอยู่บนตัวผู้ชาย ไม่สิ…ปีศาจขนปุยงั้นหรือ…
“…เธออยากสัมผัสหางฉันไหม?”
“เอ๋?”
คำพูดของเขาทำให้สติของฉันหลุดไป เมื่อครู่เขาว่าอย่างไรนะ?
“เธอแตะมันได้ ฉันอนุญาต”
ฉันแตะไปที่หางของเซนหนึ่งที…นุ่ม! แค่แตะนิดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มขนาดนี้เลยหรือ!? สุดยอดเลย~
จากนั้นก็รีบหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย
“ฉันจับได้จริงหรือ!? นายไม่ถือแน่นะ?”
เซนใช้หางตีมาที่หน้าฉันอีกที ก่อนที่จะวางมันที่ขาของฉันเหมือนเดิม
นี่เขาอนุญาตจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย…
ฉันหยุดความคิดและความอดกลั้นทุกอย่าง พร้อมเข้ากอดหางอันฟูฟ่องนั้น พอได้สัมผัสมันก็ทำให้ตัวเองหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบใจ เซนดูเหมือนจะไม่ได้ไม่ชอบมัน ฉันเลยถือวิสาสะลูบมันต่ออย่างไม่ลดละ
“…เป็นขนที่นิ่มฟูและสวยงามจริงๆ ทุกการสัมผัสไม่มีติดขัดเลยสักนิดเดียว”
“ก็แปรงขนทุกวันเลยนี่นา”
“ว้าว~ จิ้งจอกเจ้าสำอาง~”
ขอบคุณสำหรับความนุ่มนิ่มนี้มากค่ะ!