ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 12: ลางร้าย(1)
ฉันตื่นมาแต่เช้าตรู่เพื่อมารอใครบางคน มีเวลานิดหน่อยก่อนถึงเวลาเปิดร้าน ฉันเดินออกมาหน้าร้านพร้อมกับถ้วยใบเล็กที่ใส่นมไว้เต็มจนเกือบล้น
นี่สำหรับเพื่อนใหม่ของฉันเอง
“เมี๊ยว~”
“มาแล้วหรือนัวร์~”
นัวร์คือชื่อของแมวที่ฉันเจอเมื่อไม่กี่วันก่อน มีวันหนึ่งที่ฉันบังเอิญตื่นเช้าก่อนเวลาปกติ ฉันเห็นนัวร์เดินวนอยู่หน้าร้านไม่ไปไหนก็เลยเดินออกมาให้นมมัน
ฉันใช้เงินส่วนตัวแอบซื้อนมเก็บไว้ แล้วเอามาให้นัวร์ทุกเช้า เพราะมันเป็นแมวที่มีขมสีดำทั้งตัว ฉันเลยตั้งชื่อมันว่านัวร์ ขนฟูฟ่องกับดวงตากลมโตนั้นทำเอาฉันไม่อาจละสายตาไปจากมันได้ ฉันชอบอุ้มมันขึ้นมากอดแล้วสัมผัสความนุ่มนิ่มนั้นอย่างเต็มที่ ราวกับตัวเองได้รับการเยียวยา
ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนแมวจรจัดเลยสักนิด ขนก็ดูสะอาดแถมยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี คงไม่ใช่ว่าเป็นแมวหลง จากที่ไหนหรอกนะ
ฉันเกาคางนัวร์พลางอมยิ้ม
“เห~ น่ารักจังเลยนะ~”
เสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันเงยหน้าไปก็พบเข้ากับชายร่างใหญ่ซึ่งเขาทำเอาฉันหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง เนื่องจากชุดที่เขาใส่นั้นเป็นเครื่องแบบทางการสีเทาที่เข้าคู่กับรองเท้าคอมแบทสีดำ ซึ่งมันเป็นการแต่งกายของทหารชั้นล่างในเมืองหลวงนั่นเอง
ฉันเกือบสติแตกไปแล้วหากไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติเสียก่อน อุตส่าห์ตกใจแท้ๆ แต่ที่ไหนได้ก็แค่ชายที่แต่งตัวเลียนแบบทหารนี่เอง
“ค่ะ แมวตัวนี้น่ารักมากจริงๆ”
ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่แล้วชายคนนั้นกลับหรี่ตาพร้อมกับแสดงท่าทีที่เหมือนคุกคาม
“ไม่นะ ที่ฉันพูดถึงน่ะ…คือเธอต่างหาก คนสวย~”
เขาพยายามจะเอื้อมมือมาใกล้แต่ฉันก็รีบถอยหลบทันที
“อะไรกัน อย่าทำท่ากลัวแบบนั้นสิ ฉันแค่จะทักทายเท่านั้นเอง ไม่เห็นเครื่องแบบนี้หรือ? ฉันเป็นทหารของอาณาจักรเชียวนะ”
ในขณะที่เขาพยายามจะเข้ามาใกล้ฉัน นัวร์ที่อยู่ข้างๆ ก็กระโดดเข้ามาขวางพร้อมกับขู่ใส่ชายคนนั้น
“ฟ่อออ!!”
“เหวอ! แมวบ้าเอ๊ย ตกใจหมด!”
“ฟ่ออออ!!!!”
“ฮึ่ย! ซ่านักใช่ไหมไอ้แมวนี่!!”
ชายคนนั้นง้างมือขึ้นเหมือนกำลังจะทำร้ายนัวร์ ฉันรีบอุ้มนัวร์ขึ้นมาพร้อมกับใช้ตัวมาบังร่างของนัวร์เอาไว้
เขาตั้งใจจะตีแมวตัวนี้งั้นหรือ
“จะทำอะไรคะ?”
ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้ม
“อ่ะ เปล่านะ~ ฉันแค่ยกมือขึ้นมาขู่เท่านั้นเอง อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้สิคนสวย มันเจ็บปวดนะ”
“ใกล้ถึงเวลาทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
“หะ..เห้! เดี๋ยวสิ…”
ฉันอุ้มนัวร์เข้ามาในร้านพร้อมกับปิดประตูใส่หน้าชายคนนั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเจอพวกที่ชอบแอบอ้างหรือแต่งตัวเลียนแบบทหารของอาณาจักร แต่สิ่งที่มองแล้วรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนั้นเป็นของปลอม นั่นก็คือเครื่องแบบที่สะอาดจนเกินไป ไม่ได้ติดเข็มกลัดประจำหน่วยแถมร่างกายยังย้วย ไม่สมส่วนเหมือนคนที่ผ่านการฝึกมาอีก เกลียดนักเชียว เจ้าพวกสวมรอยแบบนี้
“เมี้ยว?”
เสียงร้องของนัวร์ดึงสติฉันกลับมาอีกครั้ง นี่ฉันต้องรีบเตรียมเปิดร้านแล้วนี่นา อีกเดี๋ยวมาสเตอร์ก็จะลงมาแล้วด้วย ถ้าเกิดเธอเห็นนัวร์มีหวังฉันโดนดุแน่เลย
“ชู่ว~ อย่าพึ่งส่งเสียงนะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปส่งที่หลังร้านเอง”
“เมี๊ยว~”
“พอว่าอย่าส่งเสียงไง…”
ฉันผิดเองล่ะที่คิดว่าแมวจะฟังรู้เรื่อง แต่แล้วฉันก็ย่องออกจากตรงหลังร้านแล้วปล่อยนัวร์ออกไปได้สำเร็จ
เวลาเพียงไม่กี่นาที ฉันก็สามารถเช็ดโต๊ะและจัดเตรียมเก้าอี้ได้ทันก่อนถึงเวลาเปิดร้านอย่างหวุดหวิด ทันทีเมื่อถึงเวลา ลูกค้าก็ทยอยเข้ามาอุดหนุนเช่นเคย
ฉันยังต้องทนฟังคำนินทาว่าร้ายเหล่าทหารรับจ้างอีกครั้ง และยังต้องรับมือกับความวุ่นวายในการที่ลูกค้าเรียกหาอย่างไม่หยุดหย่อนด้วย
“วันนี้ก็ยังน่ารักเหมือนเคยเลยนะ ลูน่าจัง”
“เหนื่อยไหมจ๊ะ ถ้าเหนื่อยก็แต่งงานกับฉันนะ อยู่กับฉันรับรองเธอไม่ต้องทำงานอะไรเลย”
“เหอะ ถ้าให้ไปแต่งกับแก สู้มาแต่งงานกับคนที่ดูแข็งแกร่งแบบฉันยังดีเสียกว่า”
เรื่องนี้ยังไม่จบอีกหรือเนี่ย…ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับคนพวกนี้ แต่ฉันก็รู้สึกสงสารผู้หญิงที่ต้องมาแต่งงานด้วยอยู่ดี
คุณลองคิดดูสิว่าขนาดเจอสถานการณ์อันตราย พวกเขายังเลือกที่จะหนีอย่างไม่ลังเล แค่คิดว่าต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนประเภทนี้ก็จินตนาการอนาคตข้างหน้าไม่ออกแล้วล่ะ
“จะว่าไปฉันไปได้ยินข่าวใหญ่มาด้วยล่ะ เห็นว่าอีกไม่นานอาณาจักรจะตั้งหน่วยทหารใหม่มาดูแลเขตเราด้วย”
“โห! สุดยอดเลย แบบนี้เราก็ไม่ต้องกลัวมอนสเตอร์จะมาโจมตีอีกแล้วสิเนี่ย”
“แบบนี้แสดงว่าก็ไม่ต้องเจอพวกปีศาจนั่นด้วยสิ จริงไหม?”
แต่ปีศาจที่พวกคุณพูดถึงนั้นช่วยกำจัดมอนสเตอร์ให้มาจนถึงทุกวันนี้เลยนะ
พอเห็นว่าลูกค้าพวกนั้นกำลังจะจิ้มเนื้อเข้าปาก ฉันเลยแอบใช้อุปกรณ์เวทย์เพิ่มอุณหภูมิของเนื้อพวกนั้นขึ้น ให้เหมือนกับเนื้อที่กำลังอยู่ในกระทะร้อน
“โอ๊ย! ร้อนๆๆๆ ทำไมเนื้อมันถึงได้ร้อนแบบนี้เนี่ย”
“อั๊ก ลิ้นฉัน! ก็ว่าเป่าก่อนกินแล้วนะเนี่ย”
ขอโทษนะคะมาสเตอร์ ฉันเผลอทำให้อาหารที่คุณตั้งใจทำเสียรสชาติไปเสียแล้วล่ะค่ะ
แต่ครั้งนี้พวกเขาพูดเกินไปเองนะ ถ้าเกิดยังไม่หยุดล่ะก็ ครั้งนี้ฉันจะแช่เนื้อให้แข็งจนพวกเขากัดเข้าไปแล้วฟันร่วงเลย คอยดู
“อ่ะ แต่เรื่องนั้นเหมือนฉันจะเคยได้ยินมาเหมือนกันนะ เรื่องหน่วยทหารใหม่น่ะ”
ฉันเหลือบไปมองลูกค้าอีกคนที่อยู่ๆ ก็โผงพูดขึ้นมา
“เอาจริงดิ ป่านนี้พึ่งจะมาสนใจหมู่บ้านเล็กอย่างเราหรือไง ทางอาณาจักรนี่ทำอะไรตามใจตัวเองกันจริงๆ”
“แต่ฉันได้ยินมาจากทหารของอาณาจักรเองเลยนะ”
แถบนี้มีทหารของอาณาจักรอยู่ด้วยหรือ!?
“ก็หมอนั่นไง คนที่เราเห็นก่อนเข้าร้านมาน่ะ…”
อ่า…เจ้าทหารปลอมนั่นนี่เอง ฉันนึกถึงชายที่เจอก่อนเปิดร้านคนนั้นพร้อมกับทำสีหน้าล่องลอยออกมา
ถ้าหากเป็นหมอนั่น แสดงว่าข่าวที่ทางอาณาจักรจะตั้งหน่วยทหารใหม่ก็คงเป็นเรื่องที่กุขึ้นมานั่นล่ะ การตั้งหน่วยใหม่มันไม่ได้ง่ายเหมือนอนุมัติเอกสารนะ อย่างน้อยแค่ทำเรื่องก็น่าจะกินเวลาเป็นปีๆ แล้ว หากมีเรื่องแบบนั้นจริง อย่างน้อยฉันก็น่าจะได้ข่าวคราวมาก่อนที่จะออกจากกองทัพแล้วสิ
ไม่ไหวเลยๆ มาตกใจกับข่าวที่ไม่มีมูลแบบนั้นได้อย่างไรเนี่ย ฉันเดินไปเก็บจานแล้วสนทนากับลูกค้าเล็กน้อยอย่างที่เคยทำ บางทีฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากยิ้มให้กับคนพวกนั้นเลยสักนิด แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นหน้าที่…’หน้าที่’ สินะ
ระหว่างที่ฉันกำลังห่อเหี่ยว ประตูร้านก็ถูกเปิดอย่างแรง พร้อมกับฝูงลูกค้าที่วิ่งผ่านฉันไปอย่างหนีตาย
“สวัสดีลูน่าตัน พวกเรามาแล้ว”
อีวานเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่ร่าเริง ตามด้วยคนอื่นๆ
“ยินดีต้อนรับค่ะ”
ฉันกลับมาเบิกบานอีกครั้งพร้อมกับกล่าวต้อนรับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส
“วันนี้เหนื่อยมากเลยล่ะ เราต้องการเนื้อๆๆๆ แล้วก็เนื้อ เยอะๆ เลย”
อีวานพูดก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า ฉันรีบหยิบกระดาษขึ้นมาจดออเดอร์ทันทีที่พวกเขานั่งลง
“พวกข้าจะไม่สั่งเยอะจนทำให้ยายลำบากหรอกนะ วางใจได้”
คุณจีพูดขึ้นพร้อมปัดมือไปมา
“อย่าเกรงใจกันขนาดนั้นสิคะ มาร้านอาหารทั้งที ไม่ทานให้อิ่มได้อย่างไร เชิญสั่งมาได้เต็มที่เลยค่ะ”
“จริงหรือ งั้นเอาเบียร์…โอ๊ย!!”
ฝ่ามือของคุณจีสับลงที่กลางหัวอีวานอย่างจัง พอเห็นแล้วฉันก็พยายามที่จะกลั้นขำแต่หลุดยิ้มออกมาเสียได้
“ฟังนะลูน่า หากเจ้าพวกนี้แอบสั่งเบียร์กับเจ้าเมื่อไหร่ ให้รายงานข้าทันทีเลย แล้วก็ห้ามเจ้าพวกนี้ดื่มเด็ดขาดเข้าใจไหม?”
“ขี้โกงอ่ะ ทีตัวเองยังดื่มอยู่ทุกวี่ทุกวันแท้ๆ”
“หืม…”
คุณจีส่งเสียงขู่ออกไปจนอีวานต้องหลบสายตา เขากางเมนูเพื่อบังหน้าของตัวเองเอาไว้
ก่อนที่ฉันจะเข้าไปส่งออเดอร์ ฉันเห็นเซนขยี้ตาตัวเองอยู่หลายทีแถมยังหาวออกมาอีกต่างหาก
“ไหวไหมเซน?”
ฉันถามเขาด้วยความเป็นห่วง เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ ให้
“ไม่เป็นไรๆ วันนี้ฉันดันใช้พลังมากไปตอนนี้ก็เลยง่วงนิดหน่อย”
แต่ฉันว่ามันดูไม่นิดเลยนะ
“ข้าว่าเจ้างีบสักหน่อยเถอะ ถ้าเกิดหมดสติจนกลับร่างเดิมในร้านนี้พวกลูน่าจะลำบากเอาได้”
“ผมไม่เป็นไรครับหัวหน้า ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น”
เซนดูเหมือนจะฝืนอยู่หน่อยๆ สไตน์เองก็มองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงเช่นกัน
“ที่หลังเคาน์เตอร์มีโซฟาเล็กๆ อยู่ ไปงีบพักตรงนั้นสักหน่อยดีไหม ไหนๆ ก็ไม่มีลูกค้ามาอยู่แล้ว ทุกคนก็พักผ่อนหลังทานอาหารเสร็จเถอะ”
ฉันพูดพร้อมกับชี้ไปที่หลังเคาน์เตอร์
“…จะดีหรือ?”
เซนถามฉันด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันไปขออนุญาตมาสเตอร์ให้เองนะ”
เซนแสดงท่าทีที่ลังเลออกมา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจเอาชนะความง่วงได้
“งั้นฉันของีบก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยตื่นมาทานอาหารทีหลัง…ได้ใช่ไหมครับ หัวหน้า?”
เขาหันไปขออนุญาต ส่วนคุณจีก็ตอบแบบปัดๆ มาว่าหากฉันว่าอย่างไร เขาก็ว่าอย่างนั้น เซนก็เลยเดินเข้าไปตรงหลังเคาน์เตอร์
หลังจากที่ฉันเสิร์ฟอาหารเสร็จ ฉันเห็นว่ามาสเตอร์ดูแลพวกคุณจีอยู่ก็เลยแอบมาดูอาการของเซนตรงหลังเคาน์เตอร์ ปรากฏว่าเขาหลับสนิทจนเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะตื่นในเร็วๆ นี้ เขาดูเหนื่อยกว่าปกติแฮะ ไปเจออะไรมากันนะ
“อึก!…”
อยู่ๆ สีหน้าของเซนก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเขาแค่ฝันร้ายเท่านั้น
ฉันย่องเข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสที่หัวของเขา ก่อนจะใช้มือนั้นลูบอย่างช้าๆ มันเป็นวิธีไล่ฝันร้ายที่ท่านปู่ทำให้ฉันตอนสมัยที่ยังเป็นเด็ก
ท่านบอกกับฉันว่าเวลาคนเราฝันร้ายมักจะอยู่กับสิ่งที่น่ากลัว ส่วนคนที่อยู่นอกโลกแห่งความฝันนั้น จะสามารถช่วยได้เพียงการปลอบโยนเล็กน้อย แม้จะเล็กน้อยแต่นั่นก็มากพอที่จะช่วยให้พวกเขาผ่านฝันร้ายมาได้
ฉันค่อยๆ ลูบหัวเซนอย่างเบามือ ผ่านไปได้สักพักหนึ่งสีหน้าของเขาก็ดีขึ้น พึ่งสังเกตว่าเส้นผมของเซน มันนุ่มฟูแล้วก็ละมุนเอามากๆ ฉันก็อยากลูบมันต่อนะแต่กลัวว่าถ้าลูบนานกว่านี้ มันอาจทำให้เขาตื่นได้
ฉันเหลือบไปเห็นสไตน์ที่กำลังชะเง้อคอมองเซนอยู่ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง สไตน์เดินเข้ามาใกล้แล้วคุกเข่าลงข้างๆ ฉัน
เขาเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเซน พร้อมกับหลับตาลง
จากนั้นก็มีแสงอ่อนๆ สว่างขึ้นตรงฝ่ามือของเขา ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นรูปแบบการรักษาของเผ่าปีศาจ เพราะก่อนหน้านี้อีวานเป็นคนบอกเองว่านั่นเป็นพลังของสไตน์
ไม่นานแสงนั้นก็ค่อยๆ ดับลง เหมือนกับเป็นสัญญาณที่บอกว่าเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องห่วง พี่เซนเขามักจะเป็นแบบนี้ตลอด เวลาที่ใช้พลังมากเกินไป”
สไตน์พูดขึ้นแล้วหันมาหาฉัน
“อันที่จริงวันนี้เราพึ่งไปมีเรื่องกับเดอะบีสท์คนอื่นมา พี่เซนเขาไม่อยากให้หัวหน้าต้องลำบากก็เลยอาสาไปจัดการพวกนั้นแค่คนเดียว”
“…มิน่าล่ะ”
ฉันพูดพลางขมวดคิ้ว ไม่คิดเลยว่าเซนจะเป็นพวกที่ฝืนตัวเองแล้วทำอะไรไม่คิดให้รอบคอบแบบนี้ ถ้าเกิดไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ เขาจะทำอย่างไรนะ
เมื่อฉันหันกลับไปมองสไตน์ เขาก็แสดงสีหน้าที่เป็นห่วงออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นหรอกสไตน์ สีหน้าเซนตอนนี้ก็ดูดีขึ้นมาแล้วนี่”
“เปล่า ผมไม่ได้เป็นห่วงพี่เซนคนเดียวหรอกนะ…เป็นห่วงพวกพี่ลูน่าด้วยต่างหาก…”
คำตอบของเขาทำให้ฉันแปลกใจ ทำไมเขาถึงเป็นห่วงฉันกับมาสเตอร์ ทั้งๆ ที่เราอยู่แค่ในร้านอาหารแบบนี้กันนะ
สไตน์มองหน้าฉันแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“ไม่ต้องห่วงพี่ลูน่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะปกป้องทุกคนเอาไว้เอง”