ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 10: ฉันจะสอนนายเอง
ผ่านไปได้สัปดาห์หนึ่ง มาสเตอร์ก็สั่งวัตถุดิบมาเพิ่มอีกแล้ว รู้สึกว่าครั้งนี้จะมากว่าทุกทีเลยนะ
ฉันยืนกอดอกมองพวกกล่องวัตถุดิบด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ สั่งมาเยอะขนาดนี้ถ้าใช้ไม่หมดจะทำอย่างไรล่ะคะมาสเตอร์~
ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องจัดการให้วัตถุดิบพวกนี้อยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งตอนนี้นี่ล่ะที่แหวนของท่านปู่มีประโยชน์ขึ้นมาล่ะ
ฉันสวมแหวนที่นิ้วพร้อมกับกำหนดขอบเขตของพลังเวทย์ ไม่นานบรรยากาศก็ถูกปกคลุมไปด้วยอากาศที่เย็นยะเยือก ความเย็นจะช่วยชะลอการเน่าเสียของพวกผักและเนื้อสัตว์ได้ นอกจากจะช่วยแช่แข็งวัตถุดิบแล้ว แหวนวงนี้ยังช่วยให้ฉันอุ่นกาแฟหรือชาของลูกค้าหลังจากที่เย็นชืดแล้วได้อีกด้วย ขอบคุณนะคะท่านปู่ที่มอบของที่แสนสะดวกสบายนี้ให้แก่หนู
“หวา~ ทำไมในนี้ถึงได้เย็นขนาดนี้ล่ะเนี่ย…”
ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจหลังจากที่ได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง
อีกแล้ว…ขนาดระวังตัวแล้วแท้ๆ ดูเหมือนฉันจะดูถูกฝีเท้าของปีศาจเกินไปสินะ
“เดี๋ยวเถอะนายเข้ามาหลังร้านแบบนี้ไม่ได้นะ”
ฉันเอ็ดใส่เซน ที่อยู่ๆ ก็เดินเข้ามาหลังร้าน หน้าตาเฉย
แล้วนี่เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คงจะไม่ได้เห็นตอนฉันใช้อุปกรณ์เวทย์หรอกนะ
“ฉันตั้งใจจะมาห้องน้ำ แต่เกิดหลงทางต่างหาก”
โกหกเห็นๆ นายมาร้านเราได้อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ แถมร้านก็เล็กแค่นี้ เอาที่ไหนมาหลงได้เนี่ย
ฉันรีบดันตัวเซนออกไปจากห้องเก็บวัตถุดิบแล้วพาเขาไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว นี่นอกจากฉันจะต้องระวังพวกทหารแล้วยังต้องคอยระแวงนายอีกหรือเนี่ย
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เค้นถามอะไรที่ทำให้เธอลำบากใจหรอกน่า”
“อ่ะ…เอ่อ…ขอบคุณ…นะ”
พอเขาพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดีสิ ฉันทำได้แต่ถอนออกใจออกมาอย่างโล่งอก
นอกจากปัญหานี้แล้วยังมีอีกเรื่องที่ฉันเหนื่อยจะอธิบาย
“อีกแล้วหรือคะคุณจี!”
ฉันมองเหรียญมากมายที่วางบนถาดอย่างไม่พอใจ ค่าอาหารทุกทีราคาไม่ถึงห้าเหรียญเงิน แต่ไม่รู้ทำไมคุณจีถึงชอบจ่ายเกินมาอยู่เรื่อย ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ว่าเขาควรจ่ายให้ตรงตามราคามากกว่านะ
**อธิบายเกี่ยวกับค่าของเงินสั้นๆ
หนึ่งเหรียญทอง = 100
หนึ่งเหรียญเงิน = 10
หนึ่งเหรียญทองแดง = 1
…ก็อย่างที่อธิบายไปๆ ราคาแค่ไม่กี่เหรียญเงิน แค่ในถาดกลับมีแต่เหรียญทองแบบนี้ คุณคิดว่าเขาจ่ายเกินมาขนาดไหนเล่า
“อย่าโกรธสิลูน่า นี่ก็ถือเป็นค่าชดเชยที่พวกข้าชอบทำให้ลูกค้าร้านเจ้าหายอยู่เรื่อยไง”
“ก่อนออกไปพวกเขาจ่ายเงินครบทุกคนค่ะ ร้านเราไม่ได้ขาดทุนอะไรเลยรู้ไหมคะ”
ก็ดีใจอยู่หรอกที่เขามาอุดหนุนกันบ่อยๆ แต่ถ้าเขาจ่ายเงินมามากขนาดนี้มาสเตอร์คงได้ปวดหัวตอนจัดการบัญชีทีหลังแน่เลย
“เข้าใจแล้วๆ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ช่วยยอมให้อีกครั้งเถอะนะ” (จี)
“ใช่ลูน่าตัน ถึงจะจ่ายไปขนาดนั้นพวกเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้วด้วย” (อีวาน)
“เฮ่อ~ ถ้าครั้งหน้าทำอีกฉันโกรธจริงๆ นะคะ”
ฉันรับเงินนั้นมาแล้วทำแก้มป่องใส่ ทำไมถึงชอบทำอะไรตามใจตัวเองกันนักนะ
“ยาย! พวกข้าไปแล้วนะ”
คุณจีตะโกนไปที่หลังร้านเพื่อให้มาสเตอร์ได้ยิน ซึ่งมาสเตอร์เองก็ตะโกนกลับมาเช่นกัน
“โชคดีจ้า!”
เมื่อได้ยินเสียงตอบรับ จีก็แตะหัวของฉันก่อนจะเดินออกไป ส่วนคนที่เหลือก็หันมาโบกไม้โบกมือให้ก่อนจะออกไปเหมือนกัน ดูเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านมาจะทำให้พวกเขาไม่กลัวเรื่องจะถูกมองด้วยสายตาหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ฉันดีใจที่ได้เห็นพวกเขาเดินเข้ามาในร้านโดยไม่ต้องกังวลอะไรแบบนี้ที่สุดเลย
นับตั้งแต่วันที่ฉันไม่สามารถใช้พลังเวทย์ของตัวเองได้ แม้จะสามารถมองเห็นกระแสของมานาเหมือนเดิมแต่ฉันก็ควบคุมมันไม่ได้อยู่ดี
ผ่านมาครึ่งปี ตอนนี้ฉันปรับตัวให้คุ้นชินกับมันได้แล้ว หากจะพูดถึงเรื่องที่เสียใจที่สุดตั้งแต่เป็นคนไร้พลังเวทย์ ก็น่าจะเป็นการที่ไม่สามารถกลับไปอยู่บนท้องฟ้าที่ฉันรักได้อีก การที่ได้ล่องลอยอยู่บนนั้นตอนที่ตัวเองยังเป็นลูอันน่า มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออยู่บนนั้น ตาของฉันสีเหมือนท้องฟ้า ผมของฉันก็สีเหมือนก้อนเมฆ หากพูดถึงการบินบนท้องฟ้า ไม่มีใครที่จะเก่งไปมากกว่าตัวฉันอีกแล้ว
อีกอย่าง ตอนนี้ฉันก็ไม่สามารถดีดนิ้วแล้วพาตัวเองไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างตามใจ นั่นทำให้ฉันค่อนข้างรู้สึกรำคาญเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ ให้เดินเท้าอย่างเดียวมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
พระเจ้าคะ เห็นแก่ที่ฉันละทิ้งความสะดวกสบายและสิ่งที่รักเหล่านี้ไป ได้โปรดช่วยให้ตัวฉันได้ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ด้วยเถอะค่ะ
…เวลาแบบนี้อยากได้ยินคำพูดถากถางของท่านพี่เพื่อเตือนสติตัวเองจังเลยนะ ทั้งที่ปกติฉันไม่ชอบใจแต่ทำไมถึงรู้สึกคิดถึงมันได้ล่ะเนี่ย แปลกคนจริง
วันรุ่งขึ้น
เป็นอีกวันที่ร้านโวยยะมีลูกค้ามาใช้บริการอย่างหนาแน่น เมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันก็แอบเป็นห่วงว่าพวกลูกค้าจะไม่เข้ามาอุดหนุนร้านของเราแล้วเสียอีก
“ลูน่าจ๋า~ สั่งอาหารหน่อยจ้า”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
“ลูน่า เค้กกับกาแฟของฉันยังไม่ได้อีกหรือ?”
“ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ นี่เค้กกับกาแฟที่คุณสั่งไปค่ะ”
“ลูน่า ขอเบียร์เพิ่มจ้า”
“ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ทำไมฉันถึงได้ไม่มีเวลาได้พักเลยแบบนี้นะ ตั้งใจว่าจะหาเวลาจิบชาแล้วนั่งคุยเล่นกับมาสเตอร์แท้ๆ นี่ฉันคงฝันกลางวันไปเองคนเดียวสินะ
ภายในร้านต่างพากันเรียกชื่อฉันกันอย่างต่อเนื่อง
ใจเย็นนะคะทุกคน ร้านนี้มีเด็กเสิร์ฟแค่คนเดียว พวกคุณจะเรียกฉันพร้อมกันแบบนี้ไม่ได้นะคะ ตอนนี้ฉันหัวหมุนไปหมดแล้วค่ะ
“จนถึงตอนนี้ยังมาอีกหรือ เจ้าพวกปีศาจนั่นน่ะ”
คำพูดของลูกค้าท่านหนึ่งทำฉันชะงักไปเล็กน้อย
“นั่นน่ะสิ น่าจะเห็นแล้วนี่ว่าพวกเรากลัวมากขนาดไหน ต้องหน้าด้านขนาดไหนนะถึงได้ยังกล้ามาร้านนี้อีก”
“เป็นปีศาจก็ควรจะอยู่แค่ในป่าไปสิ คิดว่าแปลงเป็นมนุษย์ได้แล้วจะเหมือนพวกเราหรือไง”
“ปีศาจมันก็ยังเป็นปีศาจอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ”
ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมคุณจีถึงกังวลมากขนาดนั้น พวกเขาคงถูกพูดแบบนี้ใส่มาตลอดเลยสินะ ไม่ใช่แค่ถูกมองด้วยสายตาหวาดกลัวแต่ยังถูกนินทา แถมพูดไปในทางที่ไม่ดีอีก
ทุกคนพูดเกินไปแล้วนะ อย่างไรเขาก็ช่วยกำจัดมอนสเตอร์ในป่าจนไม่มีตัวไหนหลุดรอดเข้าหมู่บ้านมาแม้แต่ตัวเดียวแท้ๆ เลย
ฉันยังคงพยายามฝืนยิ้มออกไปแม้ว่าในใจจะโกรธมากแค่ไหนก็ตาม ก่อนหน้านี้ฉันก็พยายามอธิบายให้พวกเขาฟังอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังฉันเลยสักคน ทำไมคนเราถึงได้มีอคติกับคนที่ไม่รู้จักมากถึงขนาดนี้กันนะ
“…ไม่ว่าจะอธิบายแค่ไหนพวกเขาก็ไม่ยอมฟังกันเลยค่ะ ฉันควรทำอย่างไรต่อไปดีคะมาสเตอร์?”
ฉันเอ่ยถามมาสเตอร์ที่กำลังนั่งปลอกมันฝรั่งอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เวลาที่ฉันรู้สึกหงุดหงิดจนเหมือนกับจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันจะชอบเดินเข้ามาหามาสเตอร์ในครัวแบบนี้เพื่อสงบสติของตัวเองลง
“ช่างพวกเขาเถอะลูน่า คนที่เขามีอคติ ต่อให้เราจะพูดไปแค่ไหนเขาก็ไม่ฟังหรอกนะ”
“แต่ว่า…”
“หน้าที่ของเธอคือการมอบรอยยิ้มและความสดใสให้กับลูกค้านะ มัวแต่คิดมากอยู่แบบนี้มีแต่จะทำให้รอยยิ้มของเธอหม่นหมองเปล่าๆ ลูน่าคงไม่อยากให้เจ้าพวกมังกรน้อยกังวลใช่ไหมล่ะ…”
ที่มาสเตอร์พูดมามันก็จริง ถ้าฉันยังเอาแต่ทำหน้ามุ่ยก็มีแต่จะทำให้ทุกคนเป็นห่วง
ช่างมันไปแล้วกัน อย่างไรฉันก็เชื่อว่าสักวันพวกเขาจะรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกทหารรับจ้างไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาคิด
ฉันกลับไปทำงานอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย ผ่านไปได้ไม่นานก็ถึงเวลาปิดร้าน
ฉันถือไม้กวาดแล้วเดินออกไปหน้าร้านเพื่อที่จะทำความสะอาด แต่แล้วฉันก็สบเข้ากับเครื่องแบบสีดำที่คุ้นตา
“สไตน์?”
ฉันทักทายเขาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นฉันเขาก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะคว้าแขนของฉันแล้วลากกลับเข้าไปในร้าน
ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะมาคนเดียวนะ เมื่อเข้ามา สไตน์ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
“ตอนนี้ร้านเราปิดแล้วเพราะงั้นเลยไม่มีคนอยู่ แต่ถ้านายต้องการจะสั่งอาหารเดี๋ยวฉันเข้าไปบอกมาสเตอร์ให้ได้นะ”
ฉันเดินไปหยิบเมนูแล้วยื่นให้เขา
สไตน์รับมันไปแล้วมองอยู่พักหนึ่ง เขาชูเมนูขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ตัวอักษรบนหน้าปก
“ฉันอยากเรียน”
“เรียน…นายอยากเรียนตัวอักษรงั้นหรือ?”
เขาพยักหน้า จริงสิ คุณจีเคยบอกว่าเขาเป็นคนเดียวที่อ่านหนังสือออกนี่นา
“ที่มาเนี่ย อย่าบอกนะว่าอยากให้ฉันเป็นคนสอน…”
เขาพยักหน้าตอบอีกครั้ง
โห~ นี่ฉันกำลังจะได้สอนปีศาจอ่านหนังสืองั้นหรือเนี่ย แถมไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นมาขอให้ฉันช่วย ทั้งๆ ที่ทุกทีเราแทบจะไม่คุยอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
“แต่…ถ้าเธอไม่อยาก…”
“อ๊ะ! เดี๋ยวค่ะ! สอนค่ะ! ไม่สิ…ฉันอยากสอนมากเลย ให้ฉันสอนเถอะนะ”
ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น นี่เป็นโอกาสที่ถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไหร่ โอกาสที่ฉันจะได้สนิทกับสไตน์ไงล่ะ
ตอนนี้จิตวิญญาณความเป็นอาจารย์ของฉันมันลุกโชนจนไม่อาจหยุดได้แล้ว อย่าห่วงเลยฉันจะสอนนายเอง!
“ฝากตัวด้วยนะ…อาจารย์”
ฮึ่ย~ พูดออกมาด้วยหน้าตาที่เขินอายแบบนี้มันขี้โกงนี่นา
ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดอะไรเลยแท้ๆ เจอแบบนี้ ฉันก็ตกใจเป็นเหมือนกันนะ
“เอาล่ะ งั้นวันนี้เราลองมาเริ่มที่พื้นฐานกันก่อนแล้วกัน ฉันขอตัวไปบอกมาสเตอร์ก่อน นายรออยู่ตรงนี้นะ”
ก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปหลังร้าน สไตน์คว้าแขนฉันไว้พร้อมกับพูดบางอย่าง
“ความลับ…ช่วยเก็บเป็นความลับด้วย…”
นี่เขาแอบคนอื่นๆ เพื่อมาขอร้องฉันหรือเนี่ย งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะเก็บเป็นความลับให้แล้วกัน แต่อย่างไรก็ต้องบอกมาสเตอร์เอาไว้ก่อนล่ะนะ เพราะเราต้องใช้เคาน์เตอร์ร้านในการสอนน่ะ”
สไตน์พยักหน้ารับแล้วค่อยๆ ปล่อยแขนของฉัน พอฉันเดินเข้าไปขออนุญาตกับมาสเตอร์ที่อยู่หลังร้าน เธอก็ตอบโอเคมาในทันที ฉันรู้สึกเหมือนเธอจะตามใจฉันเกินไปเหมือนกันนะ
พอได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อย ฉันก็รีบเดินกลับไปหาสไตน์พร้อมกับปากกาและกระดาษแผ่นเล็กในมือ
“เอาล่ะ มาเริ่มเรียนกันเลยเถอะ”