ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 475: โชคชะตา
บทที่ 475: โชคชะตา
ทุกอย่างตกอยู่ภายในความเงียบ…
ทั้งลิมโบสั่นสะเทือนจากเสียงคำรามที่ดุดันของตี้ทิง เปลวไฟนรกที่อยู่โดยรอบวูบไหวด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่อาร์ทิสหลับตาลง เส้นผมสีดำของนางปลิวสยายไปมาอย่างบ้าคลั่ง
นางรู้ดี นางรู้มาตลอด…
ความคิดของฉินเย่นั้นไม่ถูกต้อง แม้ว่าจะเป็นจ้าวนรก แต่เด็กหนุ่มก็มักจะหายไปจากยมโลกเป็นเวลานาน และต่อให้เขาอยู่ เขาก็มักจะอนุมัติเอกสารเพียงไม่กี่ชั่วโมงในเวลากลางคืนขณะที่ไม่มียมทูตตนใดทำงาน ยมโลกไม่สามารถบังคับให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดทำงานตลอดเวลาเพียงเพื่อที่จะสอดคล้องกับตารางงานของฉินเย่ได้ ถึงแม้ว่าวิญญาณจะไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยได้อยู่ดี…
มันยังมีข้อเสนอสำคัญจำนวนมากที่ยังไม่สามารถอนุมัติได้ทันเวลา ความล่าช้าทำให้เกิดความไม่กระตือรือร้น หัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาและไร้แรงจูงใจอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นครเผิงชิวมีขนาดใหญ่กว่ายมโลกแห่งเก่าตั้งเท่าไหร่? เขาจะสามารถจัดการทุกอย่างที่ต้องการความสนใจจากเขาได้ภายในเวลาเพียงหกชั่วโมงอย่างนั้นหรือ?
หรือต่อให้เขาสามารถทำได้ แล้วขั้นตอนต่อไปเล่า? เขาจะสามารถกำหนดเส้นทางการเติบโตสำหรับยมโลกได้โดยไม่ได้หารือกับคณะรัฐมนตรีได้อย่างนั้นหรือ? นี่เขาคิดจริง ๆ หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถพูดถึงได้ภายในการประชุมเพียงแค่ครั้งเดียว?
อาณาเขตของยมโลกได้รับการขยับขยาย รวมถึงพลัง อำนาจ ประชากร และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่กลับยังคงเดินหน้าด้วยความเร็วคงดี จริงอยู่ที่มันเพียงพอสำหรับตอนที่ยมโลกแห่งใหม่ยังคงอยู่ในการเติบโตขั้นเริ่มต้น แต่นั่นก็เพียงเพราะว่ายมโลกยังไม่มีสิ่งใดจนทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นจะต้องหามาจากแดนมนุษย์ และฉินเย่ก็อาศัยความพยายามอย่างมากในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ การค้าขายไม้ฮวงหัวลี่ หรือการแย่งชิงถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี ทั้งหมดนี้ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากแดนมนุษย์ทั้งสิ้น
แม้แต่การเลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรกของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากความพยายามในแดนมนุษย์เช่นกัน
แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นอดีตไปแล้ว
ตอนนี้ ฉินเย่เป็นยมทูตที่แท้จริงของยมโลกซึ่งปกครองนครเผิงชิวและมณฑลซานตงทั้งหมด หากพูดกันตามตรง พวกนางอาจจะได้ปกครองมณฑลชายฝั่งทั้งหมดในแถบนี้อีกด้วย และนั่นก็ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่ส่วนนี้ของจีนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ยมโลกอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากแดนมนุษย์ในตอนแรกเริ่ม แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปเมื่อนครเผิงชิวตกอยู่ภายในการปกครองของพวกนาง!
และในเมื่อฉินเย่เป็นจ้าวนรก มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบและหน้าที่ของเขาในการทุ่มเทความสนใจกับยมโลก…
“ในตอนนั้น เขาเต็มใจยอมรับความรับผิดชอบในการฟื้นฟูยมโลกก็เพราะว่าการล่มสลายของความสมดุลระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพนั้นจะนำไปสู่การตายอันเป็นนิรันดร์ของเขา การกระทำของเขาเกี่ยวข้องกับวิญญาณนับพันล้าน แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดของเขายังไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่เขาแบกรับหน้าที่นี้ นครเผิงชิวคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาและการเจริญเติบโตของยมโลก แต่ก่อน ยมโลกนั้นมีขนาดเพียงแค่เศษเสี้ยวขนาดเล็กเท่านั้น และมันก็ไม่สำคัญเลยว่าฉินเย่ต้องการจะทำตัวอย่างไร แต่ในตอนนี้ ด้วยการมีนครเผิงชิวและประชากรวิญญาณกว่า 20 ล้านตน และอาณาเขตกว่า 100 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายใต้การปกครองของเขา…เขาจะสามารถทำตัวเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร?!” ตี้ทิงเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจนัก
“พวกเรากำลังพูดถึงงานในด้านวิทยาศาสตร์และความหลากหลายของเอกสารทางราชการ...แต่เขากลับไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ในเรื่องนี้เลยตลอดการสนทนาระหว่างข้ากับเขาเมื่อครู่นี้ มันแทบจะเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเลยสักนิด!”
อาร์ทิสถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “ไม่มีผู้ใดสมบูรณ์แบบ...และไม่ว่าอย่างไร…เขาก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง”
จากนั้น นางก็เอ่ยต่อ “เขาไม่มีทางคิดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตาย นี่คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างเขาและพวกเราที่เป็นวิญญาณ บางทีเขาอาจจะไม่ตระหนักถึงความแตกต่างนั้นด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ใช้ชีวิตตามแบบที่เขาคุ้นเคยที่สุด…”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะสนใจหรืออย่างไรหากเขาไม่ใช่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก?!” ดวงตาสีทองของตี้ทิงวาวโรจน์ด้วยความโกรธขณะที่มันใช้อุ้งเท้าข้างหนึ่งตบลงบนพื้นอย่างแรง “ตราบใดที่เขายังเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ เขาก็ยังต้องทำหน้าที่จนถึงที่สุด! อรากษส นี่ไม่ใช่เวลาจะมาใจดี เจ้าติดตามเขามาเป็นเวลานานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อชี้นำเขาไปในทิศทางที่ถูกต้อง? ช่างน่าผิดหวังจริงๆ!”
อาร์ทิสโค้งคำนับอย่างเคารพและเงียบไป
ฉินเย่ผิดอย่างนั้นหรือ?
ไม่เลย…ในมุมมองของนาง
เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็แค่ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเส้นทางหรือแนวคิดเดิมของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นถึงความสำคัญของนครเผิงชิว ในความเป็นจริง ทุกการตัดสินใจของเขาที่ดำเนินมาถึงตรงนี้นั้นเป็นการตัดสินใจที่มองการณ์ไกลเกินกว่าที่ใครทุกคนจะสามารถจินตนาการได้ เขาพิจารณาทุกอย่างรอบตัวอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจากทุกมุมมองที่สามารถเป็นไปได้ แต่ถึงกระนั้น หนึ่งมุมมองที่เขาพลาดไปก็คือมุมมองของตัวเอง
แล้วเขาไร้ข้อผิดพลาดอย่างนั้นหรือ?
จากมุมมองของนางเอง…ใช่ แต่หากพิจารณาถึงบทบาทของเด็กหนุ่มในฐานะของผู้สืบทอดบัลลังก์ เช่นนั้นคำตอบก็คงจะไม่
พรึ่บ…!
เสี้ยววินาทีต่อมา แสงสีทองก็สาดส่องออกมาจากปากของตี้ทิง จากนั้น แปรงขนาดเล็กก็ลอยออกมา
ครืนนนน...!!
การปรากฏขึ้นของพู่กันขนาดเล็กทำให้พื้นที่รัศมี 100 ไมล์ของลิมโบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราชาอสูรวิญญาณทั้งหมดต่างโค้งคำนับอย่างยอมจำนนและนิ่งอยู่กับที่อย่างเงียบเชียบ
“นี่มัน…” อาร์ทิสอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “นี่คือ… ‘โชคชะตา’!”
“ใช่แล้ว…” ตี้ทิงจ้องมองไปยังพู่กันที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ด้วยสายตาล้ำลึก ด้ามพู่กันถูกแกะสลักด้วยลวดลายอันวิจิตรของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ในขณะที่ดวงวิญญาณสีทองบริสุทธิ์ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอดไปมาอยู่ด้านใน
“คำทำนายใด ๆ ที่ถูกเขียนโดยสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น ตราบใดที่มันยังอยู่ภายในอาณาเขตของแผ่นดินจีน อย่างไรก็ตาม จะไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงกระบวนการ หรือวันที่กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้น”
“ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง ทีละเล็กละน้อย ก่อนจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ถูกเขียนเอาไว้ แม้แต่จ้าวนรกแห่งยมโลกเองก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้เมื่อทุกอย่างเริ่มดำเนินขึ้นแล้ว”
ตี้ทิงตวัดลิ้นของมันเพื่อจับพู่กันดังกล่าวและทำท่าจะเริ่มเขียนบางอย่างกลางอากาศ ทันใดนั้นเอง อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นอย่างกล้าหาญ “ช้าก่อนเถิดนายท่าน”
ตี้ทิงชะงักไปและหันไปหาอาร์ทิส “เจ้ามีบางอย่างอยากจะพูดอย่างนั้นหรือ?”
ริมฝีปากของอาร์ทิสเผยอขึ้นเล็กน้อยและหุบลง จากนั้นก็อ้าออกอีกครั้ง นางมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดในตอนนี้
นางรู้จักฉินเย่ดีกว่าใคร…
ระยะเวลาสองปีนั้นไม่ใช่เวลาสั้น ๆ อย่างน้อยที่สุด มันก็สามารถนับได้ว่าเป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกนางได้มีประสบการณ์หลายอย่างร่วมกัน ได้เห็นยมโลกก่อตัวขึ้นจากจุดที่แทบจะดูไม่มีความหวังอะไรเลย ไปจนถึงจุดที่นครเผิงชิวและมณฑลทางชายฝั่งตกมาอยู่ในกำมือ ดังนั้นนางจึงสามารถพูดได้เลยว่านางรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างดี
เขาอาจจะเป็นพวกอวดดีในบางเวลา แต่เขาก็ไม่เคยล้อเล่นเมื่อถึงเวลาจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ นอกจากนั้นนางยังรู้อีกด้วยว่าฉินเย่…เป็นคนที่เห็นคุณค่าของตัวเอง
เหมือนกับพวกนก เด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระและไร้การผูกมัด…
ด้วยเหตุนี้ โชคชะตาจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าเพื่อแลกกับการไม่กลับลงสู่พื้นดินอีกเลย
แต่ถึงกระนั้น… แม้แต่นกที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะต้องกลับลงสู่พื้นเพื่อพักผ่อนเมื่อมันรู้สึกเหนื่อยจากการทะยานขึ้นไปบนฟ้า…
นางรู้ดีว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่นางก็คิดไม่ออกมาว่ามันคืออะไร นางไม่สามารถหาคำมาอธิบายความเป็นกลางระหว่างความต้องการของคน ๆ หนึ่งและสังคมได้
ดังนั้นนางจึงเงียบต่อไป ดวงตาของตี้ทิงเป็นประกายขึ้น และทำท่าจะเขียนต่ออีกครั้ง แต่ทันใดนั้น อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นเป็นครั้งที่สอง “นายท่าน! ท่านตั้งใจจะเขียนสิ่งใด?”
“ให้เขา…กลายเป็นจ้าวนรกที่มีคุณสมบัติเหมาะสม” ตี้ทิงเอ่ยตอบเสียงเบา
อาร์ทิสกัดริมฝีปากของตัวเอง “เราควร…เรียกเขามาเพื่อถามความคิดเห็นในเรื่องนี้ก่อนหรือไม่?”
“อรากษส เจ้ายังไม่เข้าใจ” ตี้ทิงถอนหายใจออกมาและเอ่ยต่อเสียงเข้ม “หากเขาเป็นเพียงยมทูตทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นขั้นยมทูตขาวดำหรือแม้แต่ขั้นฝู่จวิน ข้าคงไม่คิดจะใช้โชคชะตาในการจัดการด้วยซ้ำ แต่เขากลับเป็นจ้าวนรกของยมโลก และเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงคนเดียว ความหวังทั้งหมดของยมโลกจึงขึ้นอยู่กับเขาทั้งสิ้น เขาจำต้องมีหัวใจและความคิด…รวมไปถึงทัศนคติที่คู่ควรแก่การเป็นจ้าวนรก!”
“หลังจากได้ใช้ชีวิตในแดนมนุษย์มาเป็นเวลาร้อยกว่าปี เจ้าคิดว่าเราจะสามารถโน้มน้าวให้เขายอมปล่อยมือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารักและยึดมั่นได้อย่างนั้นหรือ? และเจ้าคิดว่าเราจะสามารถเสียเวลาสักปีหรือสองปีไปกับเรื่องนั้นได้หรืออย่างไร?”
“ข้าจะขอพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกครั้ง พรมแดนของเราจะถูกเปิดออกภายในอีก 150 ปี เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเราจะสามารถเสียเวลาไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้นได้?”
จากนั้น ตี้ทิงก็ทำท่าจะเขียนต่ออีกครั้ง
“ช้าก่อนนายท่าน!” อาร์ทิสร้อนรนเป็นอย่างมาก “ท่านไม่กลัวเลยหรือว่านี่จะทำให้ความแตกแยกระหว่างท่านทั้งสองกว้างขึ้นจนความสัมพันธ์ของพวกท่านจะต้องพังลง?”
ตี้ทิงหยุดการกระทำของตนเองเป็นครั้งที่สามและเอ่ยตอบเสียงเรียบ “หากพูดกันตามความจริง ในตอนที่ข้าจู่โจมเจ้าทั้งสองเมื่อครั้งที่แล้ว ข้าได้เห็นถึงการยอมรับในตัวของฉินเย่ในฐานะของผู้สืบทอดบัลลังก์ด้วยตาของตัวเอง และในความเป็นจริง ข้าก็ได้ยอมรับเขาในฐานะของว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกไปแล้วในตอนที่เขากลายเป็นขั้นตุลาการนรกที่แท้จริง”
ขณะที่พูด ปลายพู่กันก็เริ่มเขียนลงบนอากาศด้วยจังหวะที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม
“และมันก็เป็นเพราะการยอมรับนี้เองที่ทำให้ข้าต้องทำเช่นนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”
“ในฐานะของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีหน้าที่สนับสนุนการฟื้นฟูของยมโลก ข้าจะต้องสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาขาด และหากเขาไม่สามารถตัดใจได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องช่วยเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แม้ว่านั่นจะหมายถึงการถูกเกลียดโดยจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกไปชั่วนิรันดร์!”
ฟึ่บ ฟึ่บ… มันเริ่มเขียนต่อ
ทุกลายเส้นเป็นไปอย่างช้า ๆ และตามมาพร้อมกับลมหายใจที่ติดขัดของตี้ทิง ผู้ที่เพิ่งฟื้นตัวจากบาดแผลร้ายแรง เห็นได้ชัดว่าการใช้โชคชะตานั้นส่งผลกระทบต่อตี้ทิงเป็นอย่างมาก…
อาร์ทิสรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ หากพูดโดยรวมแล้ว ตี้ทิงไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด! ความผิดทั้งหมดนั้นเป็นของฉินเย่แต่เพียงผู้เดียว แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่นางอยากจะเห็น
นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินเย่จะสามารถตระหนักถึงสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง แต่ขณะที่ตี้ทิงพูด นางก็ตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นเช่นกัน!
ยิ่งยมโลกสามารถกลับสู่เวทีโลกได้เร็วเท่าไหร่ วิญญาณที่อาศัยอยู่ภายในจีนก็จะสามารถสบายใจได้ไวขึ้นเท่านั้น
เพียงชั่วครู่ คำไม่กี่คำได้ถูกเขียนไป ‘ให้ฉินเย่กลายเป็นจ้าวนรกที่…’ ทันใดนั้น อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นายท่าน ได้โปรดช่วยรออีกสักนิดเถิด”
ตี้ทิงเงียบไป และลิ้นของมันก็หยุดขยับไปครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ มันก็ถอนหายใจออกมา “นานแค่ไหน?”
“แค่วันนี้เท่านั้น!” อาร์ทิสกัดฟันแน่น “ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้เขาจะทำสิ่งใด? เขาจะจัดการประชุมระดับมณฑลขึ้นกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด เขายังคงทำงานอย่างหนัก…และมันก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะถูกหารือในวันนี้ ข้าคิดว่าการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นจะต้องทำให้เขาเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องทำมากขึ้นอย่างแน่นอน และหวังว่าความกดดันที่เขาต้องแบกรับเอาไว้บนบ่า…จะเพียงพอที่จะแสดงให้เขาเห็นถึงความโง่เขลาของตัวเอง”
ตี้ทิงเงียบไป…
อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “และข้าจะคุยเรื่องนี้กับเขาอย่างจริงจัง ตรงไปตรงมาและไม่มีการประดิดประดอยคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้น! แต่ท่านเองก็ต้องให้เวลากับเขาเช่นกัน!”
“ได้”
“และหากท่ายังไม่…เอ๊ะ?” อาร์ทิสกำลังจะเอ่ยต่อ แต่แล้วนางก็ต้องหยุดชะงักไป จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองข้างบนด้วยความดีใจและรีบโค้งคำนับให้ตี้ทิง
ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง นางจ้องมองไปที่พู่กันที่ยังคงแน่นิ่งอยู่กลางอากาศและถอนหายใจออกมาในท้ายที่สุด “ถ้าเช่นนั้น นายท่าน ข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าเกรงว่าพวกเขาจะเริ่มการประชุมโดยไม่มีข้าไปเสียแล้ว”
“อืม” ตี้ทิงพยักหน้าขณะที่กลืนกินโชคชะตากลับไปตามเดิมอีกครั้ง “แต่เจ้าจะให้เขารู้เกี่ยวกับโชคชะตาไม่ได้เด็ดขาด”
“สิ่งที่เจ้าจะต้องกระตุ้นก็คือความตั้งใจจริงของเขา ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดภายใต้การข่มขู่”
“รับทราบ” อาร์ทิสหายตัวไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก
“ช่างไร้เดียงสาเสียจริง” ตี้ทิงเหลือบมองไปยังทิศทางที่อาร์ทิสได้จากไปและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เจ้าจะคาดหวังให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในแดนมนุษย์มาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปีตระหนักถึงกระบวนทัศน์ของจ้าวนรกได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร? มันมีแต่จะเสียเปล่าเท่านั้น”
“แม้แต่ข้าเองก็ยังสามารถจินตนาการถึงคำตอบที่เขาจะพูดได้… เขาเป็นคนฉลาด แต่อาจจะฉลาดเกินไปสำหรับผลประโยชน์ของตัวเอง มากเกินจนอาจจะคิดไปว่าไม่มีสิ่งใดที่ตนไม่สามารถทำได้ แน่นอน เขาจะรับฟังมันอย่างตั้งใจ และอาจจะไตร่ตรองมันอย่างละเอียด แต่เขาจะไม่มีทางปล่อยมือจากแดนมนุษย์อย่างแน่นอน”
“มันเป็นเพราะว่านั่นคือสิ่งที่พิสูจน์การดำรงอยู่ของเขาในฐานะมนุษย์ – เครื่องหมายแห่งชีวิตของเขา ไม่เช่นนั้น…เจ้าคิดว่าเพราะเหตุผลใดกันที่ทำให้ข้าต้องใช้โชคชะตาตั้งแต่แรก?”