ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 35 โรนากับงานที่หนักเกินไป
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว หลังจากผ่านไปนานฮันน่าก็ออกมาจากห้องนอนพร้อมกับขอบใต้ตาที่คล้ำกว่าปกติมาก หน้าบวมเล็กน้อย ยูริรู้ว่าอีกฝ่ายแอบไปร้องไห้ข้างใน
“วันนี้เราจะไม่ไปก็ได้นะคะ…”
ยูริเอ่ยพลางปั้นยิ้ม แต่กลับได้รอยยิ้มฝืนๆ มาแทน เธอรู้สึกแย่อย่างแปลกประหลาดยามที่รับรู้ว่าพี่สาวของเธอร้องไห้ นั่นทำให้ยูริตัดสินใจว่าอยากจะให้ฮันน่าได้พักสักวันก่อน
เมืองรัตติกาลค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้ สภาพจิตใจของฮันน่าสำคัญกว่ามาก
“ไม่เป็นไร…พวกเราเตรียมตัวเสร็จแล้วนี่น่า อีกอย่างไปตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร”
ฮันน่าเอ่ย เธอพยายามปั้นยิ้ม แต่น่าแปลกพิกล เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มไม่ออก นั่นทำให้ตอนนี้สีหน้าของเธอดูนิ่งกว่าปกติและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้า
“ค่ะ— “
ยูริเผลอกลั้นหายใจตอนที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ภาพของฮันน่าที่ไม่ยิ้มมันดูแปลกตาเป็นอย่างมาก มันเป็นภาพที่ทั้งหายากและแปลกประหลาดเสียยิ่งกว่าการได้เห็นสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสส์ตัวเป็นๆ ซะอีก
เธอไม่เคยเห็นฮันน่าที่ไม่ยิ้มมาก่อน ยกเว้นตอนหลับ แต่ในเวลาปกติฮันน่ามักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอและมักจะแผ่บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าโลกนี้ช่างน่าอยู่ตลอดเวลา
เธอไม่เคยเห็นบรรยากาศมืดมนและหดหู่แบบนี้ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายเลย
และแน่นอน เธอไม่เคยเห็นฮันน่าร้องไห้จนตาบวมมาก่อน
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
ยูริเดินไปลูบแขนของอีกฝ่าย ดวงตาสีแดงของเธอดูมืดมนอย่างน่าขนลุก สีหน้าบึ้งตึงและดูเย็นยะเยือกกว่าปกติมาก
ฮันน่า ยิ้มซะสิ ปกติพี่ชอบยิ้มไม่ใช่เหรอ?
อย่าทำหน้าบึ้งแบบนั้น ฉันไม่ชอบมัน
ยูริรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างในอก มันคือความรู้สึกเล็กๆ ที่ทำให้จิตใจของเธอกำลังร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา
เธอโกรธ ใช่ เธอไม่ต้องการให้ฮันน่าทำหน้าเศร้าแบบนั้น ทำหน้าเศร้าให้กับคนในครอบครัวที่จากไปนานแล้ว
“ขอบคุณนะ ยูริจัง…”
ฮันน่าลูบหัวของเด็กสาวอย่างเบามือ เธอไม่รู้ว่าในหัวสมองของน้องสาวของเธอกำลังคิดอะไรที่มันน่ากลัวและน่าขนลุกมากๆ อยู่
“พี่คะ ย่อตัวลงหน่อยค่ะ”
ยูริบอกกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย ฮันน่าที่ทำหน้าสงสัยก็ย่อตัวลงมาแต่โดยดี
จุ๊บ
ยูริจูบตรงหน้าผากของอีกฝ่ายแผ่วเบา
“ยูริจัง นี่…”
“คิดซะว่าเป็นการปลอบแล้วกันค่ะ”
จริงๆ มันก็คือการปลอบใจฮันน่านั่นแหละ ยูริไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ เห็นได้ชัดว่าฮันน่าเศร้าเพราะคนที่ชื่อโคลอะไรนั่นได้จากไปแล้ว
จริงๆ โคลคงจากไปนานแล้ว และฮันน่าก็นำความรู้สึกต่างๆ มากมายของตัวเองเก็บลงส่วนลึกของจิตใจไปนานแล้ว
ภายใต้ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่มีชีวิตชีวาของอีกฝ่าย มันอาจจะเก็บงำความรู้สึกต่างๆ เอาไว้มากกว่าที่คิดก็ได้
ยูริเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้ว คนที่ภายนอกยิ้มแย้มและแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองมีความสุขกับการใช้ชีวิตดี คนที่ดูร่าเริงสดใสและสนุกสนานไปกับทุกสิ่ง
ลึกๆ แล้ว คนพวกนั้นกำลังตายจากข้างใน
ถึงจะรู้สึกแย่ก็มักจะบอกว่าไม่เป็นไร ถึงจะทรมานแต่ก็มักจะบอกว่าตัวเองสุขสบายดี
คนที่คอยช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าใคร
ฮันน่าเป็นคนแบบนั้น
“ขอบคุณนะยูริ…ขอบคุณ”
ฮันน่าโผตัวเข้ากอดอีกฝ่าย ยูริสัมผัสได้ว่าฮันน่ากำลังตัวสั่นเทา เธอจึงลูบหลังของอีกฝ่ายแผ่วเบาหวังจะปลอบใจ
“…”
เธอต้องการจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการปลอบใจอีกฝ่าย แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าต้องการพูดอะไร
เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของคนธรรมดา การสูญเสียมันมีอะไรสำคัญขนาดนั้น? ก็แค่การที่มีคนในครอบครัวจากไป มันมีอะไรสำคัญด้วยเหรอ?
ในฐานะของคนที่ลงมือฆ่าพ่อแม่ด้วยมือของตัวเอง เธอไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ
หลังจากนั้นทั้งสองก็กอดกันอยู่นาน จนกระทั่งยูริจำได้แล้วว่าตัวเองควรจะเดินทางไปยังเมืองรัตติกาลได้แล้ว
“ฮะแฮ่ม ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกเราจะเสียเวลาไปมากแล้ว แต่ก่อนจะไปหนูขออะไรสักอย่างได้รึเปล่าคะ”
“อะไรเหรอยูริจัง ขอมาได้ทุกอย่างเลย…”
ฮันน่ายังคงสวมกอดเธออยู่ ยูริพูดขึ้นว่า
“หนูขอทำอาหารให้พี่กินนะคะ”
เธอต้องการที่จะปลอบใจอีกฝ่ายที่กำลังโศกเศร้า แม้ว่าทักษะการทำอาหารของเธอจะไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่อย่างน้อยๆ มันก็น่าจะทำให้พี่สาวของเธอกลับมายิ้มได้บ้าง
“…”
มุมปากของฮันน่ากระตุก เธอคิดว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“ไม่ต้องหรอกยูริจัง พี่ขอรับแค่น้ำใจไปก็พอแล้ว”
เธอเอ่ยพลางยิ้มสดใส อย่างน้อยๆ ยูริก็ทำให้เธอกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
แม้ว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน แต่อย่างน้อยๆ ยูริก็ยังอยู่ตรงนี้
แม้จะสูญเสียคนสำคัญไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนอยู่
เธอคิดว่าจะพยายามปล่อยวางเรื่องของโคล แล้วหันมาใช้ชีวิตกับยูริให้มีความสุขดีกว่า
มองอดีตมากเกินไปมันไม่ได้ให้ผลดีนี่น่า ปัจจุบันสำคัญกว่า ยังมีคนที่รอเรากลับมาที่บ้าน ยังมีคนที่คอยกินอาหารที่เราทำ
ยังมีคนสำคัญของเธออยู่ตรงนี้
“งั้นเหรอคะ หนูกะว่าจะทำเค้กให้กินสักหน่อย…”
ยูริทำแก้มป่องไม่รู้ตัว ยิ่งเวลาผ่านไปพฤติกรรมของเด็กเจ็ดขวบก็ค่อยๆ เริ่มซึมลึกเข้าไปในจิตใจของเด็กสาวมากยิ่งขึ้น ในระดับที่แม้แต่อดีตฆาตกรต่อเนื่องอย่างเธอไม่ทันสังเกตเลยแม้แต่น้อย
นิสัยขี้งอนและเอาแต่ใจหน่อยๆ ซุกซนและใสซื่อ นั่นคือลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของเธอในสมัยก่อน สมัยที่ยังไม่ได้กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
เธอเคยเป็นเด็กดีมาก่อน
“ไว้โอกาสหน้านะยูริจัง พี่สาบานว่าจะต้องกินให้ได้เลย”
ฮันน่าลูบหัวของอีกฝ่ายแผ่วเบา เธอยิ้มอย่างจริงใจออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากเศร้ามานาน ใช่แล้ว น้องสาวของเธอน่ารักและเป็นเด็กดีขนาดนี้ เธอจะทำตัวเศร้าต่อไปได้ยังไงล่ะ
สำหรับเรื่องเค้กของยูริ…หวังว่าเธอจะไม่ป่วยเวลากินมันเข้าไปนะ เธอรู้ว่าทักษะการทำอาหารของยูรินั้นเข้าขั้นเลวร้าย มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายขาดสามัญสำนึกเกี่ยวกับการทำอาหารอย่างสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายทำมาเธอก็จะกินอยู่ดี เธอจะกินมันให้หมดทุกคำ ต่อให้รสชาติมันจะเลวร้ายจนการไปกินศพของสัตว์ประหลาดอาจจะยังดีต่อปากมากกว่า แต่เธอก็จะกินมัน
เพราะมันเป็นความพยายามของน้องสาวของเธอที่แม้จะทำอาหารไม่เก่ง แต่เธอก็พยายาม
เธอจะไม่ดูถูกความพยายามของใคร
“ค่ะ งั้นถ้าไม่เอาเค้ก งั้นตอนนี้เราไปกันเลยไหมคะ?”
“ได้เลย ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนานขนาดนี้นะ อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพราะหวังว่าจะได้ไปเที่ยวเร็วๆ แท้ๆ”
ฮันน่าคงจะคิดว่ายูริต้องการไปเที่ยวที่เมืองรัตติกาล แต่จริงๆ แล้วเธออยากไปสวมบทบาทในฐานะ ‘ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า’ ต่อ
มีปริศนามากมายมหาศาลที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข จะให้เธออยู่เฉยๆ ที่นี่ไปตลอดได้ยังไงล่ะ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ยูริยิ้ม แน่นอน ความจริงนี่เป็นความผิดของเธอล้วนๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอดันไปถามจี้ปมเข้า ฮันน่าก็คงไม่ร้องไห้ตั้งแต่แรก
ดูเหมือนว่าฮันน่าจะพอคาดเดาได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
“ไม่ต้องโทษตัวเองนะยูริจัง พี่ผิดเองที่ไม่ยอมปล่อยวางตั้งแต่แรก”
เสื้อผ้านั่นเต็มไปด้วยความทรงจำเก่าๆ ของเธอกับน้องสาว เนื่องจากว่ามันเป็นดั่งเศษซากจากอดีตที่ทำให้ฮันน่านึกถึงบ้านเกิดของเธอ เธอจึงเก็บมันเอาไว้เพื่อเป็นการระลึกถึงโคลผู้จากไป
เธอไม่อยากปล่อยอดีตน้องสาวของเธอไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะจากโลกนี้ไปตลอดกาลแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่อยากอยู่คนเดียว
เธอไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกที่โหดร้ายใบนี้
แต่แน่นอน เธอไม่สามารถเอาแต่ยึดติดกับอดีตแล้วลืมคนที่ยังอยู่ได้หรอก
“ค่ะ…”
ยูริเม้มปาก เธอรู้ว่าฮันน่ากำลังโศกเศร้าให้กับการตายของน้องสาวแท้ๆ ของเธอ แต่เธอกลับไม่รู้ว่าในอดีตมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธออยากรู้จักฮันน่าให้มากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายมีความลับมากเกินไป
ตอนนี้ฮันน่าอาจจะยังไม่ยอมเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น อดีตคงจะเจ็บปวดเกินกว่าที่เธอจะอยากระบายมันออกมาให้ใครสักคนฟัง
แต่ในอนาคต ยูริมั่นใจว่าเมื่อฮันน่าพร้อมแล้ว อีกฝ่ายจะเล่ามันออกมาเอง
ตอนนี้ก็แค่ต้องรอให้ถึงเวลานั้นเท่านั้นเอง
“ไปกันค่ะ”
และถ้าเวลานั้นมาถึง เธอจะรับฟังอีกฝ่ายจนถึงที่สุด
โรนาป้องปากหาวด้วยท่าทางเพลียๆ ขอบใต้ตาของเธอคล้ำมากกว่าแต่ก่อนซะอีก นั่นทำให้โนอารู้สึกสงสัยขึ้นมา
“ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนคุณกลับบ้านไปนอนเร็วกว่าปกติเหรอ?”
เขาจำได้ว่าเขาทำงานกะกลางคืนแทนโรนาไปแล้ว แล้วทำไมเธอถึงทำท่าง่วงนอนแบบนั้นอีกล่ะ?
เขาควรบอกให้เธอกลับไปนอนรึเปล่านะ
“เทรซี่น่ะสิ…”
โรนากระแทกฝาลิ้นชักของโต๊ะอย่างแรง สีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย มันเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับโนอามากเลยทีเดียว เพราะปกติเธอมักจะทำสีหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งอยู่เสมอๆ
แต่ตอนนี้เธอกำลังทำสีหน้าโกรธ—แม้ว่าลักษณะของใบหน้าส่วนใหญ่จะแทบไม่ต่างอะไรจากแต่ก่อนเลยก็ตาม แต่ในฐานะของเพื่อนสมัยเด็ก เขาย่อมแยกออกว่าอันไหนคือหน้าโกรธ อันไหนคือหน้าปกติของเธอ
“มีน้องสาวซุกซนก็แบบนี้แหละ ให้ผมเฝ้าเคาน์เตอร์ให้ไหม? คุณจะได้กลับไปนอนที่บ้าน”
“ไม่ล่ะ เมื่อคืนรบกวนนายไว้เยอะแล้ว”
โรนาปฏิเสธ ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ
“งั้นทุกๆ สองชั่วโมงเราจะมาผลัดกันยืนเฝ้ารอลูกค้า แต่ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนแล้วบอกผม ตกลงนะ?”
“ตกลง…แต่ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
โรนาป้องปากหาว โนอาเดาว่าเทรซี่น่าจะไปทำผิดอะไรมาสักอย่างอีกแน่ๆ แล้วเธอก็โดนโรนากักบริเวณเหมือนอย่างเคย
และถ้าให้เดา เป็นอีกครั้งที่เทรซี่ไม่สนใจคำสั่งกักบริเวณและเข้าไปรบกวนโรนาตอนหลับ มันทำให้เธอหลับไม่เต็มอิ่มและง่วงนอนแบบนี้
เขาไม่เข้าใจหรอกว่าโรนาคิดยังไง แต่เขาคิดว่ามันคงจะเป็นชีวิตที่วายป่วงแน่ๆ ชีวิตที่ต้องมาดูแลน้องสาวถึงสองคนโดยที่คนหนึ่งก็ใสซื่อเกินไป คนหนึ่งซุกซนเกินไป
“เข้าใจ แต่ถ้าเหนื่อยก็อย่าฝืน”
เขาพูดย้ำ หญิงสาวตรงหน้าเขาเป็นพวกที่มีแนวโน้มว่าจะทำงานหนักเกินไปเสมอๆ คงเพราะฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างยากจนและมีน้องสาวถึงสองคนให้ดูแลล่ะมั้ง
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าของเขาพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
โนอาก็เดินไปยืนตรงเคาน์เตอร์ของพนักงานทันที
“ผมจะทำก่อน ระหว่างที่รอให้ครบสองชั่วโมงคุณก็ไปหาอะไรทำซะ คิดซะว่าเป็นการพักผ่อนก็ได้”
เขาต้องการให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน เห็นได้ชัดว่าเธออดนอนมานานขนาดไหน เขาจำได้ว่าสมัยเด็กๆ อีกฝ่ายดูร่าเริงสดใสกว่านี้
แต่พอโตขึ้น ภาระหน้าที่ก็มากขึ้น โรนาเลยเป็นพวกชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลาแบบนี้ไงล่ะ
โรนา มิลเลอร์ ลูบคางของตัวเองแผ่วเบาพลางครุ่นคิด เวลาสองชั่วโมงระหว่างที่รอโนอาทำงานเสร็จงั้นเหรอ? ลองไปตรวจสอบว่ามีที่ไหนรับจ้างพนักงานทำความสะอาดดีไหมนะ นอกจากจะเป็นการฆ่าเวลาแล้ว มันยังเป็นโอกาสในการหารายได้เสริมอีกด้วย
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาจึงบอกว่า
“ห้ามไปหางานใหม่ๆ ทำเด็ดขาด ผมจะบอกกับผู้จัดการโรงแรมว่าคุณโดดงานถ้าคุณไม่ยอมกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้าน เดี๋ยวผมจะถามคันนะด้วยว่าคุณได้นอนจริงรึเปล่า เพราะยังไงซะเด็กคนนั้นก็โกหกไม่เป็นอยู่แล้ว”
“…”
โรนาชะงักเล็กน้อย ให้ตายสิ เธอกะว่าจะไปหางานอื่นมาทำเพื่อหารายได้เสริมสักหน่อย แต่เล่นดักทางกันแบบนี้แล้วเธอจะทำอะไรได้ล่ะเนี่ย?
“ฉันไม่ง่วง”
เธอยืนกราน แต่ขอบใต้ตาของเธอนั้นก็บ่งบอกทุกอย่างแล้วว่าเธออดนอนมานานขนาดไหน
“คนปกติก็กินอาหารตอนเที่ยงแม้ว่าจะไม่หิวนะ”
โนอาแย้ง ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องสามัญสำนึก ต่อให้ไม่ง่วงไม่ได้แปลว่าร่างกายจะรับไหว ถ้าเธอทำงานหนักเกินไปโดยไม่ได้พักจนสลบขึ้นมาจะทำยังไง?
“แต่…”
“โรนา ร่างกายคนเรามีขีดจำกัดนะ หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง มนุษย์โดยเฉลี่ยต้องนอนแปดชั่วโมงต่อวัน นั่นก็เพื่อให้ร่างกายไปไหวและก็สดชื่น”
โนอาเห็นแล้วว่าใช้วิธีปกติโรนาคงไม่ยอมไปนอนแน่ๆ เขาจึงเริ่มใช้ทักษะโน้มน้าวของตัวเองกับอีกฝ่าย
“ถ้าเธอทำงานหนักเกินไปจนสลบ งานก็จะไม่คืบหน้า นายจ้างก็จะไม่พอใจ มีสิทธิ์ที่เธอจะถูกหักเงินเดือนหรือไล่ออกได้นะ อยากให้ตัวเองมีประวัติการทำงานเสื่อมเสียจนสมัครงานไม่ได้รึยังไง?”
เขาเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าลังเลใจ ขนาดนี้แล้วยังลังเลอะไรอีก? กลับไปนอนได้แล้ว
“กลับไปนอนพักแล้วค่อยคิดเรื่องหางานก็ได้ เอาตรงๆ เธอจะแน่ใจได้ยังไงว่างานที่ตัวเองจะเลือกคืองานที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้าจริงๆ? ถ้ากลับไปนอนพักให้สดชื่นขึ้นอาจจะมีไอเดียที่ดีกว่าเดิมก็ได้ แค่ไปนอนสองชั่วโมงไม่ถึงกับตายหรอกน่า”
“ฉัน…เข้าใจแล้ว”
โรนาขมวดคิ้วพลางตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก แม้ว่าเหตุผลของโนอาจะฟังขึ้น แต่สัญชาตญาณของมนุษย์เงินเดือนก็บอกเธอว่าอย่าไปฟังที่หมอนั่นพูด
แต่ถ้าใช้หลักและเหตุผล เธอจะรู้ว่าเขาพูดถูก แต่ความรู้สึกมันบอกเธอว่าอย่าไปฟังเนี่ยสิ
ให้ตายสิ
โนอาเกาท้ายทอยของตน แม้ว่าจะโน้มน้าวถึงขนาดนี้แล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี บางครั้งมนุษย์ก็เลือกที่จะทำตามอารมณ์มากกว่าเหตุผลอยู่แล้ว
และตอนนี้ตรรกะและเหตุผลของโรนากำลังตีกับอารมณ์ของเธออยู่
เขาจะต้องหาทางสงบอารมณ์นั่นลง ถ้าการโน้มน้าวด้วยตรรกะใช้ไม่ได้ บางครั้งก็ต้องโน้มน้าวด้วยวิธีอื่น
“ปกติแล้วการไปทำงานยังที่ต่างๆ จะต้องใช้ใบสมัครงานกับเอกสารนู่นนั่นนี่ เดี๋ยวผมจะทำเอกสารส่งเรื่องไปสมัครงานให้ แต่คุณต้องไปนอน”
โรนาพยักหน้าหงึก แบบนี้ค่อยยอมรับได้หน่อย เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากตอนที่อีกฝ่ายบอกเธอว่าไม่ต้องไปสมัครงาน
ในฐานะของคนที่ทำงานหนักมาตลอด เธอมักจะรู้สึกไม่ดีเสมอๆ ยามที่ปล่อยเวลาว่างไปอย่างไร้ประโยชน์
แต่ถ้าโนอายืนยันว่าจะทำเรื่องหางานให้ เธอก็สบายใจ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะกลับไปนอน”
เธอเอ่ย นั่นทำให้โนอายิ้มออกมาอย่างสบายใจ
มันต้องแบบนี้สิ แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าไปทำงานจะดีกว่านะ แค่ทำงานที่โรงแรมบ้าๆ นี่ก็เหนื่อยมากแล้วไม่ใช่รึไง?
อืม เขาควรร้องเรียนกระทรวงแรงงานดีไหมนะ ใช้งานพนักงานหนักเกินไปแล้ว โรนาต้องนอนเช้าบ่อยๆ เพราะโรงแรมบ้านี่แท้ๆ
“ดีแล้ว ไว้เจอกันในอีกสองชั่วโมงนะ”