จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 59 ความแข็งแกร่งของหลู่หวู๋ซวง
หลังจากกลืนกินโอสถลงไป มันก็ถูกเปลี่ยนเป็นกระแสพลังงานและกระจัดกระจายไปทั่วร่างในทันที หลู่เส่าโหย่วได้โคจรทักษะวิญญาณหยินหยางที่คุ้นเคย และเริ่มขัดเกลาพลังงานเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังลมปราณ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงแวววาว
รุ่งเช้าวันที่สอง แสงแวววาวรอบกายของหลู่เส่าโหย่วได้หายไป เขาลืมตาขึ้นแล้วปล่อยลมหายใจที่ขุ่นมัวออกมา “ตามที่คาดไว้ โอสถเจิ้งหยวนเพียงหนึ่งเม็ดไม่สามารถทำให้ทะลวงระดับนักรบขั้นห้าได้ ยิ่งระดับขั้นสูงขึ้น ก็ยิ่งต้องใช้พลังที่มากขึ้น
หลังออกมาจากห้องและกินข้าวเช้าเสร็จ หลู่หวู๋ซวงกับหลู่เม่ยก็มาที่เรือนของเขา
“เส่าโหย่ว เหลืออีกสองวันก็จะถึงวันประลองแล้ว เตรียมตัวเป็นอย่างไรบ้าง” หลู่หวู๋ซวงถามขึ้น
“ข้าไม่ได้เตรียมตัวอะไร เอาไว้เมื่อถึงตอนนั้นค่อยจัดการตามสถานการณ์”
“เจ้าช่างผ่อนคลายยิ่ง เช่นนั้นวันนี้ข้าลองซ้อมมือกับเจ้าเป็นอย่างไร” หลู่หวู๋ซวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นคงต้องลำบากพี่หวู๋ซวงแล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ
หลู่เส่าโหย่วย่อมไม่ปฏิเสธหากจะมีใครสักคนเป็นคู่ซ้อมของเขา หมัดเพลิงคลั่งของเขายังต้องได้รับการฝึกฝนขัดเกลาถึงจะได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียเปรียบตอนปะทะกับคู่ต่อสู้
หลู่เส่าโหย่ว หลู่หวู๋ซวง หลู่เม่ย และหลู่เสี่ยวไป๋ ทั้งสี่คนได้ปรากฏตัวที่สนามประลองของตระกูลหลู่ หากจะซ้อมมือกัน สนามประลองของตระกูลย่อมเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด
“พี่เส่าโหย่ว ท่านต้องระวังไว้ให้ดี พี่หวู๋ซวงนั้นแข็งแกร่งมาก” หลู่เม่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางเห็นหลู่เส่าโหย่ว นางก็ตามติดหลู่เส่าโหย่วมาตลอด
“เส่าโหย่ว เจ้าใช้พละกำลังให้หมดก็พอ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด แบบนั้นเจ้าถึงจะสามารถใช้พลังและอยู่ในสภาวะที่ควรจะเป็น” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“พี่หวู๋ซวง เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ ระดับบ่มเพาะของหลู่หวู๋ซวงได้ไปถึงระดับปรมาจารย์แล้ว ถึงตัวเขาจะใช้พลังทั้งหมด เกรงว่าก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
หลู่เส่าโหย่วกระตุ้นลมปราณ ทันใดนั้นร่างของเขาก็ได้พุ่งออกไปในพริบตา ฝ่ามือของเขาทำให้เกิดเสียงที่รุนแรงจากการทะลวงอากาศ ทันใดนั้นอากาศรอบๆ ก็ถูกผลักออกไปในทันที
สีหน้าของหลู่หวู๋ซวงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางบิดร่างที่บอบบางของตนและเอียงคอเล็กน้อย แต่กลับสามารถหลบฝ่ามือของหลู่เส่าโหย่วได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลู่หวู๋ซวงสัมผัสได้ถึงลมของฝ่ามือที่ได้พัดผ่านจมูกไป
ในเวลานั้นเอง หลู่หวู๋ซวงก็ได้ใช้ท่าประทับและขยับเบาๆ ทันใดนั้นมือที่ขาวเนียนและทั่วร่างของนางก็ได้กระตุ้นลมปราณสีฟ้าครามขึ้นมา จากนั้นนิ้วทั้งสิบของหลู่หวู๋ซวงก็พุ่งเข้าหาหลู่เส่าโหย่วด้วยพลังที่เฉียบแหลม
“แข็งแกร่งมาก” หลู่เส่าโหย่วถอยร่างของตัวเองกลับทันทีโดยไม่ลังเล พลังลมปราณได้ปะทุออกมาทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นหลายส่วน เขารู้สึกว่าหากปะทะพลังที่แข็งแกร่งของนางตรงๆ เขาจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน
“มีความรวดเร็วสูง แต่เจ้าก็ต้องระวังไว้ให้ดี เผื่อคู่ต่อสู้สามารถคำนวณถึงทิศทางที่เจ้าจะหลบหลีกได้” เสียงของหลู่หวู๋ซวงได้ลอยเข้าสู่หูของเขา ขณะเดียวกันร่างที่สง่างามของนางก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของหลู่เส่าโหย่วในพริบตา ดูเหมือนนางจะคาดเดาทิศทางการหลบหนีของหลู่เส่าโหย่วได้
หลู่หวู๋ซวงมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของหลู่เส่าโหย่วพอดี แล้วจากนั้นก็กระโดดตัวขึ้นเตะไปทางหลู่เส่าโหย่วอย่างรุนแรง
ปฏิกิริยานั้นของหลู่หวู๋ซวงทำให้ความประหลาดใจปรากฏผ่านแววตาของหลู่เส่าโหย่วอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าประสบการณ์การต่อสู้ของนางจะสูงกว่าเขาไม่น้อย หลู่เส่าโหย่วย่อร่างกายและพลิกข้อมือในพริบตา ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นที่กำปั้นของเขาในทันที
“หมัดเพลิงคลั่ง” หลู่เส่าโหย่วได้กระชับหมัดและต่อยไปที่เท้าของหลู่หวู๋ซวง หลังจากนั้นหนึ่งหมัดกับหนึ่งเท้าก็ได้กระแทกกันอย่างรุนแรง
“ปัง!”
พลังงานที่ดุร้ายได้ปะทะกัน ในช่วงเวลานั้น ตรงใจกลางที่เกิดการปะทะ อากาศและเปลวเพลิงก็ได้ถูกบีบอัดและกระจายออกไป ร่างของหลู่เส่าโหย่วถอยโซเซกลับหลังไปสองสามก้าว เขารู้สึกเจ็บที่กำปั้น เห็นได้ชัดว่าหลู่หวู๋ซวงไม่ได้ใช้พลังออกมาทั้งหมด แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถต้านทานได้
“ไม่เลวเลย เพียงแค่ไม่กี่สิบวันก็สามารถฝึกฝนหมัดเพลิงคลั่งได้ถึงขนาดนี้แล้ว” หลู่หวู๋ซวงดูเหมือนจะคุ้นเคยกับหมัดเพลิงคลั่ง ใช้เวลาเพียงสิบวัน แต่หลู่เส่าโหย่วกลับสามารถฝึกฝนหมัดเพลิงคลั่งได้จนอยู่ในสภาวะปัจจุบันเช่นนี้ มันเกินความคาดหมายของนางอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากหลู่เส่าโหย่วที่โซเซกลับหลังนั้นสามารถกลับมายืนได้อย่างมั่นคง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือกระโดดขึ้นไปข้างหน้าและกระตุ้นพลังลมปราณในร่างทันที พลังลมปราณที่ปะทุขึ้นมาได้กลายเป็นเกราะวิญญาณฟ้าคราม จากนั้นเกราะวิญญาณฟ้าครามสีเหลืองอ่อนก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนร่างของหลู่เส่าโหย่ว
เกราะวิญญาณฟ้าครามของหลู่เส่าโหย่วนั้น หลู่หวู๋ซวงเคยเห็นมันในตอนที่เขาปะทะกับโจวไห่หมิง นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
หลังจากเรียกเกราะวิญญาณฟ้าครามออกมา หลู่เส่าโหย่วก็ได้กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นแล้วพุ่งตัวออกไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว เขาสับฝ่ามือออกไป ที่ใต้เท้าขวา พื้นประลองได้เกิดรอยร้าวเล็กๆ และทำให้เกิดเสียงคำรามของสายลม วิชาธาตุดินนั้นเดิมทีก็เน้นที่พละกำลังอยู่แล้ว
“เข้ามาได้ดี” หลู่หวู๋ซวงกล่าวด้วยเสียงที่ไพเราะ นางเปลี่ยนท่าประทับและยื่นข้อมือออกไปทันที ในเวลาเดียวกันบนฝ่ามือก็ได้มีลมปราณถูกบีบอัดขึ้นมา บนฝ่ามือของนางมีหนามปรากฏออกมาเป็นจำนวนมากราวกับต้นกระบองเพชร
“ปัง!”
หลู่หวู๋ซวงตัดสินใจปะทะกับหลู่เส่าโหย่วตรงๆ ในช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ามือได้ปะทะกัน พลังของทั้งสองก็ได้พัดผ่านอากาศโดยรอบ และอากาศโดยรอบนั้นก็ปั่นป่วนราวกับถูกลมกระโชกแรงพัดผ่านอย่างไรอย่างนั้น
หลู่เส่าโหย่วได้ถอยโซเซกลับหลังอีกครั้ง เขารู้สึกปวดที่ฝ่ามืออย่างรุนแรงราวกับโดนเข็มแทง บนฝ่ามือของหลู่หวู๋ซวงกลับมีอุบายเช่นนี้อยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บใช่หรือไม่” หลู่หวู๋ซวงกล่าวและยิ้มเล็กน้อย “ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้ กลอุบายแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ในอนาคตหากเจ้าพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้ เจ้าต้องระวังไว้ให้ดี”
“อีกครั้ง” หลู่เส่าโหย่วกล่าว ดูเหมือนเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก หลังจากกระตุ้นพลังลมปราณ ร่างของเขาก็ได้พุ่งเข้าหาหลู่หวู๋ซวงอีกครั้ง
“เข้ามา ใช้พลังทั้งหมดของเจ้า” หลู่หวู๋ซวงกล่าว และร่างของนางก็ได้หายไปจากที่เดิมราวกับสายฟ้า เมื่อเทียบกับหลู่เส่าโหย่วแล้ว เห็นได้ชัดว่านางมีความรวดเร็วกว่าไม่น้อย
ทันใดนั้น หลู่หวู๋ซวงก็มาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของหลู่เส่าโหย่วอีกครั้ง มือที่ขาวเนียนสะบัดเบาๆ ทันใดนั้น กระแสลมสีฟ้าครามห้าสายก็ปรากฏบนนิ้วมือทั้งห้า และจากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่หลู่เส่าโหย่วอย่างรุนแรง
กระแสลมสีฟ้าครามทั้งห้าได้ทะลวงอากาศ ราวกับอากาศได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มีเสียงสายลมที่แหลมคมห้าเสียงดังขึ้นมา
“หมัดเพลิงคลั่ง”
หลู่เส่าโหย่วตะโกนเบาๆ ฝ่ามือได้เปลี่ยนเป็นกำปั้น และกำปั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่มีอุณหภูมิร้อนแรง กำปั้นนั้นได้ทำให้เกิดกระแสลมที่ร้อนแรงและปะทะเข้ากับกระแสลมสีฟ้าครามห้าสาย
“ตูม!”
หลังจากมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น เปลวเพลิงบนหมัดของหลู่เส่าโหย่วก็ได้กระจัดกระจายไปและร่างกายของเขาก็ถอยโซเซกลับหลังอีกครา ทุกย่างก้าวได้ทิ้งรอยลึกไว้บนแท่นหิน และภายใต้การโจมตีของกระแสลมทั้งห้า หลังมือของหลู่เส่าโหย่วก็แดงและบวมขึ้นมาทันที
“แข็งแกร่งยิ่งนัก” หลู่เส่าโหย่วกล่าวกับตัวเอง ตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แม้แต่ความเร็วของเขาก็เทียบนางไม่ได้
“เมื่อครู่ข้าได้ใช้วิชาความเร็ว เมื่อรวมกับพลังโจมตีแล้วจึงทำให้มันมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น หลังจากนี้สองวัน เจ้าก็ต้องระวังเรื่องนี้ให้ดี ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่มีวิชาความเร็ว แต่มันก็อาจเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดได้” ทุกครั้งหลังจากหลู่หวู๋ซวงลงมือ นางก็จะอธิบายสิ่งต่างๆ ให้หลู่เส่าโหย่วฟัง