จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 57 เคล็ดสี่จตุรเทพ
ในเวลานั้น ทั่วทั้งห้องก็ได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างไสว ภายในแสงสว่างนั้นได้ปรากฏสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างราวกับสัตว์ร้ายหลายตัวกำลังเคลื่อนไหวและคำราม ทั้งหมดนั้นช่างดูน่าอัศจรรย์ใจ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แสงสว่างก็ได้ดับลงและทุกอย่างในห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
หลู่เส่าโหย่วลืมตาขึ้นมาและในดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ข้อมูลในแผ่นหยกสีเขียวนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของหลู่เส่าโหย่วไปอย่างสิ้นเชิง
“ที่แท้ นี่ก็คือเคล็ดสี่จตุรเทพ” หลู่เส่าโหย่วพึมพำเบาๆ จากข้อมูลภายในจิตใจของเขา วิชานี้เรียกว่าสี่จตุรเทพ เป็นชุดวิชาที่ลึกซึ้งหาที่เปรียบไม่ได้ และแผ่นหยกสีเขียวของเขานั้นก็เป็นเพียงวิชาที่ไม่สมบูรณ์ มันเป็นเพียงหนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น มีชื่อเรียกว่า เคล็ดหงส์แดง
เคล็ดสี่จตุรเทพเทพมีทั้งหมดสี่เคล็ด แบ่งออกเป็น เคล็ดมังกรฟ้า เคล็ดเสือขาว เคล็ดเต่าดำ และเคล็ดหงส์แดง หากทั้งสี่เคล็ดได้มารวมตัวกัน มันจะสามารถเทียบได้กับวิชาระดับนภา
“คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะสามารถเทียบได้กับวิชาระดับนภาในตำนาน” หลู่เส่าโหย่วรู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น สิ่งของในตัวของลุงหนานนั้นเป็นสมบัติอย่างแท้จริง
แต่หลังจากนั้นหลู่เส่าโหย่วก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา จากข้อมูลที่เขาได้จากแผ่นหยกสีเขียว หากเป็นเคล็ดวิชาหงส์แดงเพียงเคล็ดเดียว มันก็เทียบได้กับวิชาระดับเหลืองเท่านั้น มีเพียงการรวมเคล็ดทั้งสี่เข้าด้วยกันถึงจะสามารถเทียบได้กับวิชาระดับนภา แต่วิชาอีกสามเคล็ด ตัวเขาจะไปหามาจากที่ไหน หากบอกว่าเขาอาจจะหาไม่เจอไปตลอดชีวิตก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง
“อย่างไรวิชานี้ก็เทียบได้กับวิชาระดับเหลือง มันแข็งแกร่งกว่าวิชาระดับขาวมากนัก” หลู่เส่าโหย่วยิ้มออกมา เคล็ดหงส์แดงก็ถือว่าไม่เลว อย่างน้อยเมื่อเทียบกับหมัดเพลิงคลั่งหรือว่าฝ่ามือแยกภูผาของเขา นี่ก็ดีกว่าถึงหนึ่งระดับ
“ต้องฝึกฝนเคล็ดหงส์แดง” หลู่เส่าโหย่วคิดในใจ เคล็ดหงส์แดงนั้นไม่ธรรมดา หากเขาสามารถฝึกฝนเคล็ดหงส์แดงได้สำเร็จ การประลองในอีกสิบวันนี้เขาก็จะรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น และในอนาคตเขาก็จะมีที่พึ่งและพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้น
หลู่เส่าโหย่วเริ่มฝึกเคล็ดหงส์แดงโดยไม่ลังเล หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่าประทับของเขาก็เปลี่ยนไป รอบกายของหลู่เส่าโหย่วได้ส่องแสงจางๆ ออกมา และพลังลมปราณที่อยู่ด้านหน้าก็สั่นไหวไม่หยุด
วันเวลาล่วงเลยไปอย่างช้าๆ วันที่จะรับศิษย์ใหม่ของนิกายอวิ๋นหยางได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเมืองชิงอวิ๋นก็ครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คน ที่โรงเตี๊ยม ร้านค้าของตระกูล และสถานที่ที่ใช้รออื่นๆ ต่างก็ได้รับทรัพย์กันถ้วนหน้า
ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ครึกครื้นขึ้นมาอย่างมาก สถานที่หลายแห่งบนท้องถนนได้มีการเปิดรับเดิมพัน การแข่งขันกำลังใกล้เข้ามา ตระกูลใหญ่ต่างๆ ในเมืองชิงอวิ๋นต่างก็ลงทะเบียนให้ลูกหลานของตนเอง และเมื่อนำมารวมกับตระกูลอื่นในเมือง ก็มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดห้าสิบสองคน
หลังจากมีการเปิดเผยรายชื่อ การเดิมพันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ในบรรดาผู้เข้าแข่งขัน มีเพียงสี่คนที่มีอัตราเดิมพันต่ำที่สุด นั่นคือหลู่เส่าโหย่วกับหลู่เส่าหู่จากตระกูลหลู่ ฉินเทียนห่าวจากตระกูลฉิน และหยางเมี่ยวจากตระกูลหยาง โอกาสที่ทั้งสี่คนจะเข้าสู่ห้าอันดับแรกคือสิบต่อหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นตัวเต็งแต่ก็ไม่มีเจ้ามือคนไหนยอมรับการเดิมพันของทั้งสี่คนนี้
เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะพวกเจ้ามือได้ไปตรวจสอบรายละเอียดของทั้งสี่มาอย่างละเอียดแล้ว หลู่เส่าโหย่วกับหลู่เส่าหู่แห่งตระกูลหลู่ คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ อีกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ ส่วนหยางเมี่ยวแห่งตระกูลหยางก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ และฉินเทียนห่าวจากตระกูลฉินก็เป็นถึงผู้ฝึกวิญญาณ พรสวรรค์ของทั้งสี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว และถึงแม้ทั้งสี่จะไม่เข้าร่วมการประลอง เกรงว่าสุดท้ายนิกายอวิ๋นหยางก็จะมารับทั้งสี่เข้าสู่นิกายอยู่ดี
แม้อัตราการเดิมพันของทั้งสี่คนนี้จะต่ำ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่เดิมพันกับพวกเขา เพราะทั้งสี่นั้นเป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ และในบรรดาพวกเขา หลู่เส่าโหย่วกับฉินเทียนห่าวก็ได้รับความนิยมสูงที่สุด
หนึ่งคนเป็นผู้ฝึกวิญญาณ อีกหนึ่งคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ พรสวรรค์ระดับนี้หาไม่ได้ง่ายๆ หากเทียบกับหลู่เส่าหู่และหยางเมี่ยวแล้วก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่ามาก เมื่อเข้าสู่นิกายอวิ๋นหยาง โดยพื้นฐานก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แน่นอนว่ายังมีคนบางส่วนที่ไม่เชื่อ พรสวรรค์ดีหรือชั่วท้ายที่สุดก็ต้องไปตรวจสอบที่นิกายอวิ๋นหยางอีกครั้ง ไม่ว่าตระกูลใหญ่จะพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ มีบางคนถึงกับกังวลว่าตระกูลใหญ่เหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลังการเดิมพันอาจจงใจปล่อยข่าวว่ามีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นในตระกูล
มีอัจฉริยะมากมายปรากฏตัวขึ้นที่เมืองชิงอวิ๋นในคราวเดียว นั่นจึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกกันแน่
เวลาได้ล่วงเลยไป หลู่เส่าโหย่วก็ยังคงฝึกฝนเคล็ดหงส์แดงอยู่ เคล็ดหงส์แดงนั้นยากกว่าวิชาหมัดเพลิงคลั่งมาก หลังจากล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หลู่เส่าโหย่วก็สรุปประสบการณ์ของทุกครั้งและยังคงตั้งใจฝึกฝนต่อไป
หลู่เส่าโหย่วใช้เวลาอยู่ในห้องไปสิบวัน แต่ก็ยังไม่สามารถฝึกเคล็ดหงส์แดงสำเร็จ ทว่าในตอนนี้เขาเหลือเวลาก่อนจะถึงวันแข่งขันของนิกายอวิ๋นหยางในเมืองชิงอวิ๋นอีกเพียงสามวันเท่านั้น
“ช่างฝึกฝนได้ยากเสียจริง รีบร้อนไปแต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้” หลู่เส่าโหย่วยิ้มอย่างขมขื่น หลังเก็บกวาดเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็ตัดสินใจให้ตัวเองได้พักหายใจบ้าง ถึงแม้จะยังไม่สามารถฝึกเคล็ดหงส์แดงได้สำเร็จ แต่ในเวลานี้เขาก็ได้ประสบการณ์ใหม่มาไม่น้อย บางทีเมื่อโอกาสมาถึง เพียงพริบตาเขาก็คงจะสามารถฝึกฝนได้ในทันที
หลังออกมาจากห้อง หลู่เส่าโหย่วก็ตรงไปหาท่านแม่ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะไม่อยากให้ท่านแม่เป็นห่วงเขามากเกินไป จากนั้นหลู่เส่าโหย่วก็ต้องสั่งให้หลู่เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมผนังในห้องเขา หากวันนึงมันถล่มลงมาจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
หลังจากลังเลอยู่ครึ่งวัน หลู่เส่าโหย่วก็ตัดสินใจเดินทางไปที่เทียนเป่าเหมิน เขาควรนำโอสถบนตัวเขาไปขายเพื่อชำระหนี้ให้หมดก่อนคงจะดีกว่า
ถึงแม้จะกังวลว่าอาจมีคนแอบลอบลงมือกับตัวเองเหมือนครั้งก่อน แต่หลู่เส่าโหย่วก็คิดว่าคงไม่มีใครรอคอยให้เขาออกไปจากตระกูลหลู่โดยที่ไม่กินไม่ดื่มตลอดเวลา นอกจากนี้ ครั้งก่อนคนชุดดำที่มาลอบฆ่าเขาก็ทำไม่สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงเดาว่าจ้าวฮุ่ยก็อาจจะระมัดระวังในการลงมือมากขึ้น
หลู่เส่าโหย่วหาข้ออ้างเพื่อออกไปจากตระกูลหลู่ หากเขาบอกกับมารดาตรงๆ ว่าเขาจะออกไปข้างนอก ท่านแม่จะต้องเป็นห่วงเขาอย่างแน่นอน
ตลอดทางนั้นหลู่เส่าโหย่วก็คอยระมัดระวังตัวเองมากขึ้น เขารู้สึกว่าฝูงชนที่อยู่ในเมืองชิงอวิ๋นในตอนนี้มีระดับของความครึกครื้นต่างจากปกติจนเขาตกใจ
ที่เทียนเป่าเหมิน หลังจากมีผู้คนเข้าๆ ออกๆ มากมาย ธุรกิจก็เฟื่องฟูขึ้นไม่น้อย คนที่มาเลือกซื้อสิ่งของที่นี่ก็เพิ่มขึ้นมาก
เห็นดังนั้น หลู่เส่าโหย่วก็คิดในใจขึ้นมาว่า ถึงตัวเขาจะหลอมโอสถเองแต่ก็ทำเงินได้ไม่มากเท่าเทียนเป่าเหมิน ชนชั้นผู้ผลิตย่อมไม่มีวันสามารถเหนือกว่าชนชั้นนายทุนได้ ตัวเขาที่บ่มเพาะทักษะวิญญาณหยินหยางต้องใช้กำลังสนับสนุนทางการเงินที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าหากมีโอกาส ในอนาคตเขาคงต้องเดินบนเส้นทางนี้เช่นกัน ตัวเขาเพียงคนเดียว แม้ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็มีขีดจำกัด ไม่ว่าอยู่ที่ใด วีรบุรุษที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นก็ไม่มีอะไรง่ายดายนัก
“นายน้อยหลู่ ในที่สุดท่านก็มา เชิญท่านขึ้นไปบนชั้นสอง” ผู้คนของเทียนเป่าเหมินคุ้นเคยกับหลู่เส่าโหย่วจนไม่รู้จะคุ้นเคยกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว เมื่อเห็นว่าด้านล่างคนเยอะ พวกเขาจึงพาหลู่เส่าโหย่วขึ้นไปชั้นบน
ยังคงเป็นห้องโถงเล็กเช่นเดิม หลังจากหลู่เส่าโหย่วนั่งลงได้ไม่นาน ร่างของสาวงามสองคนก็ได้เดินเข้ามา เมื่อกลิ่นหอมจางๆ สองกลิ่นลอยมาแตะจมูก หลู่เส่าโหย่วก็แทบจะไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นกูตู๋ปิงหลันกับสาวใช้ที่ชื่อชุยอวี่นั่นเอง
“เส่าโหย่ว อีกสามวันก็จะถึงวันแข่งขันของนิกายอวิ๋นหยางแล้ว เจ้าไม่ใช้เวลาเตรียมตัวให้ดี กลับมีเวลาว่างมาเทียนเป่าเหมิน เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ” กูตู๋ปิงหลันเปิดปากเผยให้เห็นฟันขาวสวย รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของนาง
“ช่วยไม่ได้ ข้าเป็นคนที่เวลาติดหนี้แล้วจะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ จากนั้นก็หยิบขวดหยกที่เขาเตรียมไว้ออกมาหลายขวด ทั้งหมดนั้นคือโอสถเสริมพลัง “คำนวณให้ข้าที ข้ายังเป็นหนี้อีกเท่าไหร่”
“ไม่รีบ อีกสักพักหวู่จื่อซือก็มาแล้ว นายน้อยหลู่รอสักครู่เถอะ” กูตู๋ปิงหลันกล่าว
“ไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ยุ่งอยู่แล้ว”
“นายน้อยหลู่ ครั้งนี้คุณหนูของพวกเราก็จะเข้าร่วมการแข่งขันของนิกายอวิ๋นหยางเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นต้องขอให้นายหลู่โปรดดูแลด้วย” สาวใช้ชุยอวี่กล่าว