จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 53 นักรบขั้นสี่
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าอยากกินโอสถเสริมพลังอย่างนั้นหรือ” หลู่เส่าโหย่วถาม การที่เขามีความสัมพันธ์กับเสี่ยวหลง ดูเหมือนจะทำให้เขารู้ว่าเสี่ยวหลงคิดอะไรอยู่
“ฟ่อฟ่อ” เสี่ยวหลงพยักหน้าเบาๆ และขยับหาง เมื่อมันได้กลิ่นของโอสถ ก็เหมือนว่ามันจะทนไม่ไหวอีกต่อไป สายตาของเสี่ยวหลงยังคงจับจ้องไปที่โอสถเสริมพลัง
“ดูเหมือนเจ้าจะหิวแล้ว หากเจ้ากินได้ก็กินเถอะ” สำหรับหลู่เส่าโหย่วแล้ว เสี่ยวหลงก็เหมือนกับคนในครอบครัว เพียงโอสถเสริมพลังหนึ่งเม็ด เขาไม่ได้เสียดายอะไรอยู่แล้ว
“ฟ่อ!” เสี่ยวหลงส่งเสียงและเปิดปากกินโอสถเสริมพลังเข้าไปในทันที หัวเล็กๆ ของมันมีขนาดเท่ากับโอสถ แต่เมื่ออ้าปากขึ้นมากลับกลืนกินโอสถเสริมพลังเข้าไปอย่างง่ายดาย จากนั้นเสี่ยวหลงก็เลื้อยกลับเข้าไปในแขนเสื้อของหลู่เส่าโหย่วดังเดิม
หลู่เส่าโหย่วรู้สึกสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมา ในฐานะที่เสี่ยวหลงเป็นสัตว์จักรพรรดิวิญญาณ บางทีเมื่อกินโอสถเสริมพลังลงไปแล้วอาจได้รับประโยชน์บางอย่างก็เป็นได้ เพราะตอนนี้โอสถเสริมพลังไม่มีผลอะไรกับเขาแล้ว
“ยังมีโอสถเจิ้งหยวนอีกสิบเม็ด” หลู่เส่าโหย่วนำโอสถเสริมพลังเก็บไว้ในขวดหยกที่เตรียมเอาไว้ เดิมทีมันมีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเม็ด แต่ถูกเสี่ยวหลงกินเข้าไปหนึ่งเม็ด จึงเหลือหนึ่งร้อยเจ็ดเม็ด จากนั้นเขาก็เริ่มหลอมโอสถเจิ้งหยวนต่อ
หลังจากถูกลอบโจมตีที่หุบเขาด้านหลังในคราวก่อน หลู่เส่าโหย่วจึงต้องการที่จะเพิ่มพลังของตัวเองโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น เขาก็จะไม่รู้สึกว่าปลอดภัยจริงๆ คราวก่อนนั้น อีกนิดเดียวเขาก็จะตายแล้ว
ต้องมีพลังและกำลังที่แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้ เพื่อการยกระดับพลัง เขาจึงต้องกลืนโอสถไปเรื่อยๆ
หลังจากปรับลมหายใจของตัวเอง หลู่เส่าโหย่วก็ลงมือหลอมโอสถต่อทันที เขาใช้ท่าประทับและปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปในเตามังกรเพลิง ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็ลุกโหมภายในเตาทันที
สมุนไพรถูกใส่ลงไปทีละอย่างด้วยการควบคุมของหลู่เส่าโหย่ว โอสถที่จะหลอมรอบนี้เป็นโอสถขั้นสอง หลู่เส่าโหย่วยิ่งไม่กล้าประมาทและทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการหลอมมัน
เขาเคยหลอมโอสถเจิ้งหยวนสำเร็จมาแล้วสองครั้ง ทำให้พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับตอนที่หลอมโอสถเสริมพลังครั้งแรกแล้ว นี่มันกดดันกว่ามาก
เวลาได้ล่วงเลยไปอีกครั้ง หลู่เส่าโหย่วไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย เขาจดจ่ออยู่กับการหลอมโอสถเพียงอย่างเดียว
เมื่อเร็วๆ นี้ ในตระกูลหลู่ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น ลั่วหลานซือได้รับการยอมรับจากตระกูล และกลายเป็นนายหญิงสองที่ไม่แบ่งเล็กใหญ่กับนายหญิงใหญ่ เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้อื่นประหลาดใจไม่น้อยที่นายหญิงใหญ่กลับไม่ออกมาคัดค้าน ซึ่งมันไม่ใช่ลักษณะนิสัยของนางเลย
ในหมู่คนรับใช้ได้คาดเดากันว่า นายน้อยเส่าโหย่วเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ จึงทำให้แม่ของเขาได้รับเกียรติของลูกชาย เพราะเหตุผลข้อนี้ ถึงแม้นายหญิงใหญ่อยากจะคัดค้านแต่ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ลั่วหลานซือก็ได้กลายเป็นบุคคลที่เหล่าคนรับใช้อิจฉา ในที่สุด ความทุกข์ยากทั้งหมดของนางก็ได้จบลง หลายปีที่ผ่านมานางได้เจอความลำบากและได้รับความไม่เป็นธรรมมามากมาย ในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ยากเหล่านั้นเสียที ไม่เหมือนกับพวกมัน ที่ไม่สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ยากได้ตลอดชีวิต
นอกจากอิจฉาลั่วหลานซือแล้ว มีคนรับใช้ไม่น้อยที่รู้สึกอิจฉาหลู่เสี่ยวไป๋ เพราะเขาได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์โดยไม่มีเหตุผล และยังได้ใกล้ชิดกับนายน้อยเส่าโหย่วอีก เห็นได้ชัดว่าอนาคตของหลู่เสี่ยวไป๋เป็นอนาคตที่ไร้ขอบเขต
“ปัง!” หลังจากนั้นสามวัน เตามังกรก็ได้เปิดออก กลิ่นเข้มข้นของโอสถลอยคละคลุ้ง โอสถเม็ดหนึ่งได้ทะลวงออกมา มันคือโอสถเจิ้งหยวนที่หลู่เส่าโหย่วเป็นผู้หลอมนั่นเอง
บนโอสถเจิ้งหยวนมีแสงสว่างจางๆ และมีกลิ่นหอมที่น่าดึงดูด หลู่เส่าโหย่วใช้ท่าประทับ จากนั้นแสงสว่างสีกากีก็ได้ห่อหุ้มโอสถเจิ้งหยวนที่อยู่ในมือของเขาเอาไว้ แล้วแสงสว่างที่อยู่บนโอสถก็ค่อยๆ หายไป
“ในที่สุดก็สำเร็จเสียที” ในตอนนี้หลู่เส่าโหย่วมีสีหน้าที่ซีดขาว พลังวิญญาณในร่างของเขาถูกใช้จนหมด ผ่านไปสามวัน ในที่สุดเขาก็สามารถหลอมโอสถเจิ้งหยวนออกมาจนครบสิบเม็ด
เมื่อมองโอสถเจิ้งหยวนสิบเม็ดที่อยู่ในมือ หลู่เส่าโหย่วก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาไม่รู้ว่าโอสถเจิ้งหยวนที่มีอยู่จะสามารถช่วยให้เขาทะลวงไปถึงระดับใด ตอนนี้ตัวเขาต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างเร่งด่วน
“กินลงไปก่อนหนึ่งเม็ดค่อยออกจากด่านดีกว่า” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ จากนั้นก็โยนโอสถเจิ้งหยวนเข้าปากหนึ่งเม็ด เมื่อโอสถตกลงไปถึงท้อง ทันใดนั้นมันก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานที่น่าอัศจรรย์ในทันที
หลู่เส่าโหย่วสัมผัสได้ว่าพลังงานมหาศาลที่น่าอัศจรรย์ใจเหล่านี้กำลังพลุกพล่านอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้หลู่เส่าโหย่วรีบโคจรทักษะวิญญาณหยินหยางเพื่อขัดเกลาพลังทันที
พลังงานเหล่านี้ได้ถูกขัดเกลาอยู่ภายในร่างของหลู่เส่าโหย่ว จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณที่บริสุทธิ์ ในเวลาเดียวกันนั้น พลังวิญญาณในจิตใจของเขาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทว่าถึงแม้โอสถเจิ้งหยวนจะสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้ แต่เมื่อเทียบกับพลังลมปราณแล้วก็อ่อนด้อยกว่ามาก โอสถเจิ้งหยวนเพียงแค่ช่วยเพิ่มพลังวิญญาณด้วยเท่านั้น
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างกายของหลู่เส่าโหย่วก็อยู่ภายใต้แสงเงาสีเหลืองอ่อน รอบกายล้อมรอบไปด้วยอากาศที่ส่องแสงสว่างซึ่งให้ความรู้สึกที่ดูลึกลับ
พลังของโอสถเจิ้งหยวนนั้นมีไม่น้อย หลู่เส่าโหย่วกำลังขัดเกลามันอย่างช้าๆ และเป็นระเบียบ กระบวนการขัดเกลานั้นไม่สามารถเร่งรัดได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขัดเกลาเสร็จภายในระยะเวลาสั้นๆ
และในขั้นตอนการขัดเกลาโอสถก็มีเรื่องที่ควรระวัง ประการแรกจะต้องขัดเกลาโอสถให้เป็นพลังงาน จากนั้นก็ขัดเกลาพลังงานให้เป็นพลังลมปราณกับพลังวิญญาณ นอกจากนี้ภายในร่างก็ยังมีอีกขั้นตอนหนึ่ง
คราวที่แล้วเขาเคยขัดเกลาโอสถเจิ้งหยวนไปแล้วหนึ่งเม็ด เมื่อได้ขัดเกลามันอีกครั้ง พลังงานเหล่านี้ก็ได้เอ่อล้นเส้นชีพจรทั่วร่างกาย แต่ครั้งนี้เส้นชีพจรของหลู่เส่าโหย่วไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแบบคราวที่แล้ว ทว่าเมื่อเส้นชีพจรได้ถูกเติมเต็มจนเอ่อล้นอีกครั้ง พลังงานเหล่านั้นก็ทำให้เส้นชีพจรของเขาขยายตัว
ที่ทะเลลมปราณภายในตันเถียนของหลู่เส่าโหย่วกำลังมีพลังลมปราณเดินทางเข้าสู่ทะเลลมปราณเรื่อยๆ ทำให้หลู่เส่าโหย่วรู้สึกว่าทะเลลมปราณของตัวเองกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ ความเร็วระดับนี้ การบ่มเพาะพลังแบบปกติไม่สามารถเทียบได้แม้แต่น้อย
เวลาได้ล่วงเลยไปอย่างช้าๆ แสงที่ส่องรอบกายของหลู่เส่าโหย่วก็ค่อยๆ กลายเป็นม่านแสงจางๆ ขณะเดียวกันความเจ็บปวดของเส้นชีพจรทั่วร่างก็เบาลงอย่างมาก ความเจ็บปวดในเส้นชีพจรได้มาถึงจุดที่เขายอมรับได้แล้ว
เนื่องจากการดูดซับผลของโอสถไปมหาศาล เส้นชีพจรของเขาจึงได้ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เส้นชีพจรของเขาสามารถดูดซับลมปราณได้แกร่งขึ้นไม่น้อย
หากเทียบกับเส้นชีพจรของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่ในหนึ่งวินาทีสามารถส่งผ่านพลังลมปราณขนาดเท่านิ้วของเด็กทารกได้ เช่นนั้นเส้นชีพจรลมปราณของหลู่เส่าโหย่วก็ส่งผ่านพลังได้มากกว่าเท่าตัว ความเร็วในการเดินลมปราณที่รวดเร็วนั้น ในบางสถานการณ์ก็จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และในการสู้รบก็ถือว่าได้เปรียบไม่น้อย
หลู่เส่าโหย่วนั้นไม่กล้าประมาทระหว่างการขัดเกลาผลของโอสถ ลุงหนานเคยกล่าวไว้ว่า หากขัดเกลาพลังมากเกินไป เส้นชีพจรทั่วร่างอาจจะไม่สามารถทนได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็มีโอกาสที่เส้นชีพจรจะถูกทำลาย และในเวลาเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของตัวเอง ซึ่งนั่นย่อมทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
เรื่องที่อันตรายเหล่านี้ หลู่เส่าโหย่วจดจำเอาไว้จนขึ้นใจเสมอ เขาจึงไม่กล้าทำให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ
ในตอนนี้ พลังลมปราณก็ได้หมุนวนไปที่เส้นชีพจรทั่วร่างของหลู่เส่าโหย่วหนึ่งรอบ และท้ายที่สุดก็เข้าสู่ทะเลปราณภายในของตันเถียนของเขาไม่ขาดสาย
เมื่อเวลาผ่านไป พลังลมปราณภายในตันเถียนของหลู่เส่าโหย่วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้ หลู่เส่าโหย่วสัมผัสได้ว่าทะเลลมปราณภายในตันเถียนของเขาเหมือนมหาสมุทรลมกรดที่แยกออกมาอย่างโดดเดี่ยว ยิ่งพลังลมปราณถูกเติมเต็ม ความเร็วในการหมุนของมันก็รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และออร่ารอบตัวของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างช้าๆ
เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปจนถึงเช้าของวันที่สาม เมื่อพลังหยดสุดท้ายได้ถูกขัดเกลาเข้าไปในตันเถียน ม่านพลังในร่างของหลู่เส่าโหย่วก็สั่นขึ้นมาทันที สุดท้ายมันก็อ้อยอิ่งที่ด้านหน้าของหลู่เส่าโหย่วและหมุนอีกครั้ง
ทันใดนั้น หลู่เส่าโหย่วก็รู้สึกถึงพลังงานที่ระดมตัวกันบริเวณทะเลลมปราณภายในตันเถียนตรงท้องน้อยเขาในทันที คลื่นลูกใหญ่ได้ปรากฏขึ้น และในตอนท้ายมันก็ส่งเสียงคำรามอย่างดุเดือด
จากนั้น หลู่เส่าโหย่วที่หลับตาแน่นอยู่ภายในห้องลับก็ลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งสองของเขามีแสงที่สว่างไสวพุ่งออกมาจากตา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แสงสว่างก็ได้หายไป ดวงตาสีดำของหลู่เส่าโหย่วก็ดูเหมือนจะเข้มและลึกมากขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันกลิ่นอายของเขาก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นักรบขั้นสี่” หลู่เส่าโหย่วสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณภายในร่างกาย เมื่อเทียบกับนักรบขั้นสามแล้ว ในตอนนี้พลังของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวไห่หมิงเมื่อปะทะกันตรงๆ โจวไห่หมิงเป็นถึงนักรบขั้นเจ็ด ส่วนตัวเขาเป็นเพียงนักรบขั้นสาม ระดับขั้นมันแตกต่างมากเกินไป