จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 52 โอสถเสริมพลังหนึ่งร้อยแปดเม็ด
เมื่อจ้าวฮุ่ยมาถึงห้องโถง นางก็ได้เก็บท่าทีที่สงสัยและนั่งลงตรงที่ว่างด้านบน จากนั้นก็เอ่ยถามหลู่ตง “พี่ใหญ่ ท่านเรียกประชุมผู้อาวุโสดึกขนาดนี้ มีเรื่องสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว เนื่องจากเจ้าตกลงให้เส่าโหย่วจดจำบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูล เมื่อครู่ข้าจึงได้พูดคุยกับผู้อาวุโสว่าลั่วหลานก็สมควรได้รับสถานะเช่นกัน ในอนาคตจะให้ลั่วหลานเป็นนายหญิงสอง ระหว่างพวกเจ้าไม่แบ่งใครหลวงใครน้อย เจ้าคงไม่มีความเห็นใดๆ ใช่หรือไม่” หลู่ตงเหลือบมองจ้าวฮุ่ยแล้วกล่าวตอบ
“อะไรกัน เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ สาวใช้ต่ำต้อยเช่นนั้นจะมีสถานะเทียบเท่าข้าได้อย่างไร และนางยังจะได้เป็นนายหญิงของตระกูลหลู่ ข้าไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด” จ้าวฮุ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยวในทันที นางไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ลั่วหลานได้รับความไม่เป็นธรรมมามากแล้ว ตอนนี้เส่าโหย่วเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ หลังจดจำบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูล ลั่วหลานก็สมควรจะมีสถานะเช่นกัน” ผู้อาวุโสที่ใส่ชุดคลุมสีเขียวกล่าวออกมา เมื่อดูจากออร่ารอบกาย ดูเหมือนผู้อาวุโสผู้นี้จะอยู่ในระดับยอดยุทธ์
“นี่เป็นเงื่อนไขของเส่าโหย่วซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุและมีพรสวรรค์ระดับสูงสุด ตระกูลหลู่ของพวกเราไม่สามารถมองข้ามได้” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวกล่าวออกมา
“อย่ากล่าววาจาไร้สาระ ท่านอย่าลืมข้อตกลงที่ตระกูลหลู่ของพวกท่านตกลงกับข้าไว้ในตอนนั้น หรือว่าพวกท่านรังแกข้าเพราะเห็นว่าตระกูลจ้าวไม่มีใคร เรื่องนี้ข้าไม่ยอมอย่างเด็ดขาด” จ้าวฮุ่ยมองผู้อาวุโสสองคนนั้นอย่างขุ่นเคือง
“น้องสะใภ้สาม เรื่องนี้เจ้าไม่อยากเห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย ตระกูลหลู่ของข้าเคยรับปากกับเจ้า แต่ว่าเรื่องนี้ท่านปู่ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง หากเจ้ามีปัญหา เจ้าสามารถไปคุยกับท่านปู่ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น พวกเราได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าตระกูลหลู่กับตระกูลจ้าวจะต้องเผชิญหน้ากัน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” หลู่ตงกล่าว
“ตระกูลหลู่ของเจ้าช่างดีนัก” จ้าวฮุ่ยโกรธอย่างมาก แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้ ตาแก่นั่นได้จับจุดอ่อนของนางไว้ เมื่อตอนนั้นนางได้ทำเรื่องไม่ดีบนตัวหลู่เส่าโหย่ว ทำให้ตอนนี้นางไม่สามารถพูดอะไรได้
“น้องสะใภ้ ช่างมันเถอะ ถึงแม้ลั่วหลานจะมีสถานะเทียบกับเจ้าได้แล้วอย่างไร อย่างไรนางก็เป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น” หลู่หนานกล่าวเบาๆ
“เหอะ” จ้าวฮุ่ยแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา “หลู่จงล่ะ พูดเช่นไรบ้าง ทำไมออกจากด่านมาแล้วถึงไม่มาหาข้า”
“น้องสามได้ปิดด่านอีกครั้งแล้ว” หลู่ตงกล่าว
สีหน้าของจ้าวฮุ่ยในตอนนี้ดูน่าเกลียดอย่างมาก นางมองทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถง เพื่อแผนการของตระกูล นางจึงทำได้แค่ทน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาแตกหักกับตระกูลหลู่
“เหอะ” จ้าวฮุ่ยแค่นเสียงออกมาอีกครั้ง “ในเมื่อพวกท่านได้ตัดสินใจกันไปแล้วจะให้ข้ามาอีกทำไม ตระกูลของพวกท่านตัดสินใจกันเองก็พอแล้ว” หลังกล่าวจบ จ้าวฮุ่ยก็ออกจากห้องโถงไป
กาลเวลาได้ผ่านไปช้าๆ ราวกับกระแสน้ำ เพียงกะพริบตา หลู่เส่าโหย่วก็ได้ปิดด่านหลอมโอสถมาห้าวันแล้ว
ในเวลานั้นเอง ที่เมืองชิงอวิ๋นกำลังมีชีวิตชีวาอย่างมาก ผู้ฝึกยุทธ์และตระกูลอื่นๆ จากเมืองใกล้เคียงต่างเดินทางมาที่เมืองชิงอวิ๋น ทำให้เมืองชิงอวิ๋นคึกคักเป็นพิเศษ บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มากกว่าปกติ
ไม่ว่าจะบนท้องถนน ในโรงเตี๊ยม หรือร้านค้า ผู้คนต่างก็พากันพูดถึงสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือการรับศิษย์ของนิกายอวิ๋นหยางที่สามปีจะมีสักครั้ง เมื่อกล่าวถึงนิกายอวิ๋นหยาง ก็แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดในเมืองชิงอวิ๋นที่ไม่รู้จัก หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณก็ยิ่งต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของนิกายอวิ๋นหยางกันทั้งนั้น
นิกายอวิ๋นหยาง เป็นหนึ่งในสามนิกายสี่สำนัก ในนิกายมีศิษย์นับพันและมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เมืองชิงอวิ๋นนั้นอยู่ในเขตของนิกายอวิ๋นหยาง และนิกายอวิ๋นหยางก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด
สามปีนิกายอวิ๋นหยางถึงจะรับศิษย์สักครั้ง และยังไม่รับผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ระดับยอดเยี่ยม ทุกครั้งที่มีการรับศิษย์ใหม่ เมืองชิงอวิ๋นก็จะส่งไปได้เพียงห้ารายชื่อ เพื่อเป็นหนึ่งในรายชื่อทั้งห้า คนทั้งเมืองชิงอวิ๋นจึงได้เข้าร่วมการช่วงชิงมัน โดยเฉพาะห้าตระกูลใหญ่ที่มีการแย่งชิงกันอย่างดุเดือด
ผู้ที่มีรายชื่อได้เป็นศิษย์ใหม่ของนิกายอวิ๋นหยางที่เกิดขึ้นทุกๆ สามปี โดยพื้นฐานแล้วจะตกเป็นของตระกูลใหญ่ทั้งห้า ตระกูลเล็กๆ อื่นๆ นั้นแทบไม่สามารถแย่งชิงรายชื่อได้ เพราะการดูแลและทรัพยากรของตระกูลเล็กกับห้าตระกูลใหญ่นั้นแตกต่างกันอยู่พอสมควร
ห้าตระกูลใหญ่ในเมืองชิงอวิ๋นนั้นก็ได้แก่ ตระกูลหยาง ตระกูลฉิน ตระกูลหลู่ ตระกูลหลัว และตระกูลหวัง พลังอำนาจของทั้งห้าตระกูลในเมืองชิงอวิ๋นนั้นไม่แตกต่างกันนัก พวกเขาสามารถตรวจสอบและสร้างสมดุลให้แก่กันและกัน แต่พวกเขาก็แอบพยายามที่จะหาทางทำให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่าอีกสี่ตระกูลที่เหลือ
“ไม่รู้ว่าคราวนี้จะเป็นคนของตระกูลใดบ้างที่ได้รายชื่อเข้านิกายอวิ๋นหยาง”
“เรื่องนี้ยังจะต้องพูดอีกหรือ ต้องเป็นหนึ่งในห้าตระกูลแน่ หากผู้อื่นต้องการ ข้าเกรงว่ามันจะไม่ง่ายนัก”
“มันก็ไม่แน่ ขอเพียงแค่พรสวรรค์ไม่เลว ก็สามารถเข้าไปที่นั่นได้ เพราะเมื่อถึงเวลา ผู้แข็งแกร่งในนิกายอวิ๋นหยางจะมาคัดเลือกศิษย์ด้วยตัวเอง”
“แต่รุ่นเยาว์ในห้าตระกูลใหญ่ได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็ก ผู้อื่นจะเทียบได้อย่างไร นอกเสียจากจะเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ”
“ใช่แล้ว หากดูจากปีก่อนๆ ห้ารายชื่อก็ตกเป็นของห้าตระกูลใหญ่ทั้งหมด”
“ว่ากันว่าครั้งนี้ตระกูลหลู่ช่างโชคดีนัก เพราะมีทั้งผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุและสามธาตุปรากฏตัวขึ้น ซึ่งทั้งคู่ล้วนอยู่ระดับนักรบ พรสวรรค์ระดับนี้ช่างน่ากลัวนัก”
“โดยสรุปแล้ว ครั้งนี้ตระกูลหลู่โชคดีไม่น้อย ทั้งผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุและผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ หลังจากนี้อีกไม่นาน ตระกูลหลู่คงจะมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
ตามท้องถนนและตรอกซอกซอยต่างก็มีการพูดถึงเรื่องการรับศิษย์ใหม่ของนิกายอวิ๋นหยาง และเรื่องที่หลู่เส่าโหย่วเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุก็ได้แพร่กระจายไปเช่นกัน มีคนไม่น้อยที่รู้ว่าตระกูลหลู่มีผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
ภายในห้องลับ หลู่เส่าโหย่วได้หลอมโอสถโดยไม่หยุดพัก พลังวิญญาณของเขาถูกปล่อยเข้าใส่เตามังกรเพลิงและกลายเป็นเปลวเพลิง ทำให้ในตอนนี้ภายในห้องลับมีอุณหภูมิที่ร้อนอย่างมาก
ผ่านมาแปดวันแล้ว เมื่อพลังวิญญาณของหลู่เส่าโหย่วหมดลง เขาก็จะพักปรับลมหายใจและหลอมโอสถต่อ เมื่อผ่านมาแปดวัน ในที่สุดหลู่เส่าโหย่วก็หลอมโอสถเสริมพลังใกล้จะครบแล้ว
“ปัง..” เตามังกรเพลิงถูกเปิดออก กลิ่นหอมของโอสถที่เข้มข้นได้ลอยมาแตะจมูก และโอสถที่ส่องแสงแวววาวก็ได้ปรากฏขึ้นในห้องลับ
“เก็บ” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ จากนั้นโอสถก็ได้ปรากฏอยู่ในมือของเขา
“เม็ดที่หนึ่งร้อยแปด” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ และเผยรอยยิ้มออกมา ในครั้งนี้ เขามีสมุนไพรหนึ่งร้อยชุด แต่เขากลับหลอมออกมาได้หนึ่งร้อยแปดเม็ด การปรับแต่งสมุนไพรของเขาได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้หลู่เส่าโหย่วสามารถประหยัดสมุนไพรได้ไม่น้อย อีกทั้งคุณภาพของโอสถก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย
แต่หลู่เส่าโหย่วไม่ได้รู้เลยว่า การที่เขาใช้สมุนไพรสำหรับหลอมโอสถเสริมพลังหนึ่งร้อยชุดแล้วสามารถหลอมโอสถเสริมพลังออกมาได้หนึ่งร้อยแปดเม็ดนั้น หากให้ผู้ฝึกวิญญาณคนอื่นรับรู้ จะต้องประหลาดใจจนอ้าปากค้างแน่นอน เพราะนั่นถือว่าทักษะการหลอมและการควบคุมได้มาถึงระดับที่น่าทึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยทั่วไปแล้ว ถึงแม้ผู้ฝึกวิญญาณระดับยอดยุทธ์จะมาหลอมโอสถขั้นสอง ก็ยังยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้ และหลู่เส่าโหย่วก็เป็นเพียงผู้ฝึกวิญญาณระดับยอดยุทธ์เช่นกัน แต่กลับบรรลุมาถึงขั้นนี้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งไม่เพียงต้องมีพรสวรรค์ที่สูงส่งเท่านั้น ยังต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษอีกด้วย
“ฟ่อฟ่อ”
เสี่ยวหลงได้เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อของหลู่เส่าโหย่ว มันมองโอสถเสริมพลังที่อยู่ในมือของหลู่เส่าโหย่วและแลบลิ้นออกมา ดวงตาจ้องเขม็งไปที่โอสถเสริมพลังเม็ดนั้น
“เสี่ยวหลง ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าคงหิวแล้ว แต่ว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้เจ้ากินเลย” เมื่อเห็นเสี่ยวหลง หลู่เส่าโหย่วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเสี่ยวหลงยังไม่ได้กินอะไรมาแปดวันแล้ว
“ฟ่อฟ่อ” เสี่ยวหลงบิดตัวไปมา และมองโอสถเสริมพลังบนมือของหลู่เส่าโหย่วด้วยความโลภ ราวกับว่ามันกำลังบอกอะไรบางอย่าง