จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 47 เด็กที่โชคร้าย
“หวู๋ซวง เจ้าพาเส่าโหย่วไปพักผ่อนก่อน นี่คือโอสถคืนสภาพ ให้เส่าโหย่วเอาไปใช้รักษาบาดแผล” พูดจบ หลู่ตงก็ยื่นโอสถคืนสภาพให้แก่หลู่หวู๋ซวง
“เส่าโหย่ว พวกเราไปกันเถอะ” หลู่หวู๋ซวงพูดกับหลู่เส่าโหย่ว จากนั้นก็ประคองหลู่เส่าโหย่วลงไปจากลานประลอง
ที่จริงแล้วอาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่ได้หนักขนาดต้องให้คนช่วยประคอง แต่หลู่หวู๋ซวงประคองเขาไปแล้ว จะปฏิเสธก็คงไม่ดีนัก
“พี่เส่าโหย่ว ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ อาการบาดเจ็บร้ายแรงมากไหม” หลู่เม่ยรีบคว้าแขนอีกข้างของหลู่เส่าโหย่วอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงซ้ายคนขวาคนกำลังประคองหลู่เส่าโหย่วเอาไว้ตรงกลาง กลิ่นหอมสองกลิ่นที่แตกต่างกันก็ได้ลอยมาแตะจมูกของเขา กลิ่นหอมนั้นล่องลอยอยู่ข้างกายหลู่เส่าโหย่ว
เรือนร่างของหญิงสาวทั้งสองแนบชิดกับร่างของหลู่เส่าโหย่ว ผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางดูสง่าและงดงามไร้ที่เปรียบ ส่วนอีกคนหนึ่งมีเสน่ห์เย้ายวนจนนับได้ว่าเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นท่ามกลางเหล่าหญิงสาวคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ หลู่เส่าโหย่วก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา อยู่ในวัยที่มีความต้องการสูง เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองกันทั้งนั้น นี่มันคือสิ่งล่อลวงคูณสองชัดๆ
“คุณชาย ท่านทำได้ดีมาก อาการบาดเจ็บร้ายแรงมากหรือไม่” เมื่อหลู่เส่าโหย่วลงมาจากแท่นหิน หลู่เสี่ยวไป๋ก็รีบวิ่งเข้ามาหาในทันที
“ไม่เป็นอะไรมาก” หลู่เส่าโหย่วตอบเบาๆ หากเขาบอกไปว่าบาดเจ็บเล็กน้อยแล้วหญิงสาวทั้งสองเลิกประคองเขาขึ้นมาจะทำเช่นไร ตัวเขายังอยากเสพสุขกับสิ่งนี้อยู่
หลู่เสี่ยวไป๋เริ่มกังวลและกล่าวกับหลู่หวู๋ซวง “คุณหนูหวู๋ซวง ให้ข้าแบกคุณชายกลับไปดีกว่า”
“ได้สิ เจ้าระวังหน่อยล่ะ” หลู่หวู๋ซวงกับหลู่เม่ยส่งหลู่เส่าโหย่วให้กับหลู่เสี่ยวไป๋
“คุณชาย ข้าจะแบกท่านกลับไปเอง” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าวด้วยความสมัครใจ
“ช่างเถอะ ข้าเดินไปเองได้” หลู่เส่าโหย่วถลึงตาใส่หลู่เสี่ยวไป๋ไปหนึ่งครา เรื่องดีๆ ดันมาถูกเจ้าเด็กเฮงซวยนี่ทำเสียเรื่องหมด เขารอไม่ไหวที่จะเตะมันสักสองสามครั้ง
“เส่าโหย่ว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหนักหรือไม่?” ลั่วหลานซือมาถึงข้างกายหลู่เส่าโหย่วด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เมื่อเห็นหลู่เส่าโหย่วแล้ว นางก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” หลู่เส่าโหย่วกล่าว อาการบาดเจ็บแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรเลย
หลังจากกลุ่มของเขากลับมาถึงลานบ้านที่ลานด้านหลัง หลู่เม่ยที่พึ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก เมื่อนางเห็นลานด้านหลังก็ยังคงรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง
“เส่าโหย่ว นี่คือโอสถคืนสภาพ เจ้าใช้มันเพื่อรักษาบาดแผลเถอะ ยังมีเงินอีกสองพันเหรียญกับโอสถเพิ่มลมปราณด้วย เป็นรางวัลที่เจ้าได้ชนะมา เจ้ามาเอาไปเถอะ” หลู่หวู๋ซวงยื่นโอสถสีขาวกับสีเขียวมาให้เขา โอสถสีขาวคือโอสถที่หลู่ตงให้หลู่หวู๋ซวงมา
นอกจากนี้ยังมีบัตรหยกสีเหลืองด้วย มันคือบัตรหยกชนิดหนึ่งที่ใช้กันโดยทั่วไปบนทวีปหลิงหวู่ มีเหรียญทองเท่าไรก็สามารถเก็บไว้ในบัตรได้ เมื่อออกไปด้านนอก ก็ไม่ต้องพกเหรียญทองเป็นจำนวนมากแล้ว
เมื่อเห็นเงินสองพันเหรียญทอง หลู่เส่าโหย่วไม่ได้เกรงใจใดๆ ตอนนี้สิ่งที่ตัวเขายังขาดอยู่ก็คือเงิน เขายังติดหนี้อยู่อีกจำนวนหนึ่ง เงินเพียงสองพันเหรียญทองยังไม่ถึงหนึ่งในสี่เลย แต่ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว
“โอสถคืนสภาพ โอสถขั้นสอง ราคาประมาณสามร้อยเหรียญทอง” หลู่เส่าโหย่วพิจารณาโอสถคืนสภาพที่ลุงใหญ่หลู่ตงให้มา ก็ถือว่าไม่เลวนัก และยังมีโอสถเพิ่มลมปราณที่เป็นโอสถขั้นสองเช่นกัน โอสถเพิ่มลมปราณนี้มีผลช่วยเพิ่มพลังลมปราณ แต่หากเทียบกับโอสถเจิ้งหยวนที่เขาหลอมขึ้นมาเองแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะยังด้อยกว่าเล็กน้อย โอสถเจิ้งหยวนที่เขาหลอมนั้น นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังปราณแล้ว ยังเพิ่มพลังวิญญาณด้วย แต่โอสถเพิ่มลมปราณไม่มีผลเช่นนั้น
เนื่องจากเขามีอาการบาดเจ็บ หลังจากกลับมาถึงลานบ้านหลู่เส่าโหย่วก็กลับเข้าห้องเพื่อเตรียมตัวรักษาอาการบาดเจ็บในทันที เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงและจากนั้นก็หยิบโอสถคืนสภาพออกมาแล้วกลืนมันลงไป
หลังจากที่กลืนโอสถลงไป มันก็ได้เปลี่ยนเป็นพลังงานและกระจายไปตามแขนขาและกระดูกนับร้อยของเขาทันที หลู่เส่าโหย่วใช้ทักษะวิญญาณหยินหยางและเริ่มปรับลมหายใจ
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างของเขาก็อยู่ในแสงสว่างที่ดูลึกลับยากจะคาดเดา อาการบาดเจ็บบนร่างของหลู่เส่าโหย่วเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น เดิมทีที่เขาใช้ทักษะวิญญาณหยินหยาง หลู่เส่าโหย่วก็สัมผัสได้ว่าการจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทักษะวิญญาณหยินหยางนั้นแม้จะมีความเร็วในการบ่มเพาะที่ช้า แต่มันสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและพลังลมปราณกลับมาได้อย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ
อีกทั้งตอนนี้เขายังได้กินโอสถคืนสภาพเข้าไป ทำให้หลู่เส่าโหย่วสัมผัสได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงของเขานั้นฟื้นตัวเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก ทั่วร่างของเขาให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ตกดึก หลู่ตงก็มายืนอยู่ที่ด้านหน้าห้องหินแห่งหนึ่งในตระกูลหลู่ด้วยความเคารพ
“การทดสอบรอบนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีผู้มีพรสวรรค์ไม่เลวในรุ่นบ้างหรือไม่?” เสียงที่ทุ้มลึกและดูแก่ชราดังออกมาจากห้องหินนั้น
“ในรอบนี้มีผู้มีพรสวรรค์ระดับยอดเยี่ยมไม่น้อย เด็กน้อยหลู่เม่ยได้มาถึงระดับสาวกธาตุน้ำขั้นแปด โจวไห่หมิงเป็นนักรบธาตุดินขั้นเจ็ด เด็กน้อยหลู่อวิ๋นก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจเช่นกัน นางเป็นนักรบธาตุน้ำขั้นสอง ส่วนคนที่ทำให้ผู้อื่นประหลาดใจที่สุดคือเส่าหู่ เป็นถึงนักรบธาตุไม้และดินขั้นสาม พรสวรรค์ระดับล้ำเลิศ”
“ผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุอย่างนั้นหรือ ตระกูลหลู่ของข้าได้ปรากฏผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุแล้ว เราต้องขัดเกลาเขาให้ดี” ชายชราในห้องหินกล่าวออกมา เมื่อฟังดูจะรู้ว่าในน้ำเสียงของเขามีความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
“ลูกรู้ดี แต่ครั้งนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าเกิดขึ้น” หลู่ตงกล่าว
“เป็นเรื่องของเจ้าหนูเส่าโหย่วอย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มลึกของชายชราดังออกมา
“ใช่แล้วขอรับ ผลทดสอบของเส่าโหย่วคือนักรบขั้นสาม” หลู่ตงกล่าว
ชายชราได้กล่าวต่อ “ตัวคนเดียวแต่กลับสามารถบ่มเพาะมาถึงระดับนี้ พรสวรรค์ถือว่าไม่เลวแล้ว อายุเพียงสิบหกยังไม่ถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้นเอง”
“ท่านพ่อ ปัญหาคือ เจ้าเด็กเส่าโหย่วนี่…” หลู่ตงถอนหายใจและกล่าวต่อ “ผลการทดสอบของเส่าโหย่ว นั่นคือผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ ธาตุดิน ไฟ และมีธาตุลมที่หาได้ยาก พรสวรรค์ระดับสูงสุด แม้แต่โจวไห่หมิงก็โดนเขาโจมตีจนบาดเจ็บเพียงหนึ่งกระบวนท่า และบนตัวของเขายังมีวิชาป้องกันที่ข้ามองไม่ออก”
ทันใดนั้น เสียงภายในห้องหินก็ได้เงียบลง ไม่มีคำพูดใดๆ เอ่ยออกมาเป็นเวลานาน
“ท่านพ่อ…” หลู่ตงกล่าวเบาๆ ด้วยความสับสน
“ให้หลู่เส่าโหย่วจดจำบรรพบุรุษแล้วกลับเข้าตระกูลทันที ผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ เป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุของตระกูลหลู่ของข้า พวกเราต้องปกป้องและดูแลอย่างดี ต้องไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ” ชายชราพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้นจนตัวสั่น
“แต่เราจะอธิบายกับน้องสะใภ้สามอย่างไร ตอนนั้นพวกเราสัญญากับนางไปแล้ว” หลู่ตงกล่าวเบาๆ
“ไม่ใช่ว่านางก็เคยสัญญากับตระกูลหลู่ไว้หรือ มีเรื่องบางเรื่องที่พวกเจ้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ หากนางไม่ยอม เช่นนั้นก็ให้นางมาหาข้า ข้าจะดูว่านางจะกล่าวอย่างไร เมื่อก่อนนั้น เพื่อตระกูลหลู่ข้าจึงไม่เปิดเผยนาง แต่ตอนนี้หลู่เส่าโหย่วเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ เพื่อให้ตระกูลหลู่คงอยู่ต่อไป กระดูกแก่เช่นข้าจะอย่างไรก็ต้องลองยืนหยัดสักครา”
“แต่ว่า ข้ากลัวว่าเส่าโหย่วจะเกิดอันตราย” หลู่ตงกล่าว
“ให้เส่าโหย่วย้ายเข้ามาอยู่ที่ลานด้านหน้าทันที” ชายชราออกคำสั่ง
“เจ้าหนูเส่าโหย่วดูเหมือนจะไม่ชอบตระกูลของเรา และยังมีความคิดที่จะไปจากตระกูล ข้าเกรงว่าแค่ให้เขาจดจำบรรพบุรุษและกลับเข้าตระกูล ในใจของเด็กคนนั้นก็ไม่อยากจะทำแล้ว” หลู่ตงที่เคยคุยกับหลู่เส่าโหย่วย่อมรู้อย่างแน่นอนว่าหลู่เส่าโหย่วมีนิสัยเช่นไร
“เป็นพวกเราตระกูลหลู่ที่ติดค้างพวกเขาสองแม่ลูก ขอเพียงแค่หลู่เส่าโหย่วยอมจดจำบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูล อะไรที่สามารถยอมรับได้ก็ยอมรับไป หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้ลั่วหลานซือไปคุย จากนิสัยของนาง นางจะต้องเกลี้ยกล่อมเส่าโหย่วได้อย่างแน่นอน เพียงแค่นี้ ตระกูลหลู่ของพวกเราก็ติดค้างนางมามากแล้ว” ชายชราในห้องหินกล่าวขึ้น
“ท่านพ่อ ข้ารู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร” หลู่ตงกล่าว
“ยังมีอีกเรื่อง ข้าเดาว่าคงจะมีบุคคลระดับสูงอยู่เบื้องหลังเส่าโหย่ว เรื่องอื่นของเส่าโหย่ว เจ้าก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”
“ที่ว่ามีบุคคลระดับสูงอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ เส่าโหย่วไม่เคยออกไปจากตระกูลหลู่เลยมิใช่หรือ?” หลู่ตงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องที่เส่าโหย่วสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ อย่างน้อยตัวข้าก็ทำไม่ได้ บุคคลระดับสูงที่อยู่เบื้องหลังนั้นคงจะไม่ง่ายดาย หรืออาจจะมีชะตาร่วมกับเส่าโหย่ว ฝ่ายนู้นก็ดูท่าจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับตระกูลของเรา พวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจ” ชายชรากล่าว
“ขอรับ” หลู่ตงกล่าวเบาๆ แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ