จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 40 เตรียมกราบไหว้บรรพบุรุษ
“ลุงหนาน” หลู่เส่าโหย่วมองกลับไปที่ด้านหลัง แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น รอบข้างของเขาไม่ได้มีร่างของลุงหนานอยู่
“เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?” หลู่หวู๋ซวงถามหลู่เส่าโหย่วด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” หลู่เส่าโหย่วกล่าวตอบ “พี่หวู๋ซวง การประลองภายในตระกูลที่จะมีในวันนี้ มันเป็นอย่างไร?”
“ทำไม หรือเจ้าเปลี่ยนความคิดแล้ว” หลู่หวู๋ซวงยิ้มเล็กน้อย “วันนี้จะมีการตรวจสอบก่อน หากมีพลังบ่มเพาะระดับนักรบหรือสูงกว่าก็จะสามารถเข้าร่วมการประลองได้ สองคนสุดท้ายที่ชนะจะได้เป็นตัวแทนของตระกูลไปแข่งขันที่เมืองชิงอวิ๋นกับตระกูลอื่น ส่วนรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ที่พรสวรรค์ค่อนข้างดีจะได้อยู่ในตระกูลเพื่อรับการฝึกฝนต่อ
“อ้อ” หลู่เส่าโหย่วตอบรับเบาๆ ในตอนนี้ทั้งสองคนได้มาถึงด้านหน้าลานที่กว้างขวางแล้ว ตลอดทั้งทางที่พวกเขาเดินมา เมื่อมีคนรับใช้เจอหลู่เส่าโหย่วก็จะรีบก้มหัวทันที และภายในแววตาของคนรับใช้เหล่านั้นก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
“พวกเรามาถึงแล้ว” หลู่หวู๋ซวงกล่าวกับหลู่เส่าโหย่ว
‘โถงบรรพบุรุษตระกูลหลู่’ หลู่เส่าโหย่วมองไปยังตัวอักษรสีฟ้าสี่ตัวที่อยู่ตรงด้านหน้าของลาน ตัวอักษรเหล่านั้นดูหนักแน่นและทรงพลัง ไม่เหมือนถูกเขียนโดยคนทั่วไป มันดูน่าสนใจเล็กน้อย
“คุณหนูหวู๋ซวง” ที่ด้านนอกลาน คนรับใช้สองคนได้ทำความเคารพพวกเขา จากนั้นก็มองหลู่เส่าโหย่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เส่าโหย่ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
หลู่เส่าโหย่วเดินตามหลู่หวู๋ซวงเข้าไปในโถงบรรพบุรุษ แต่ที่ด้านหน้าโถงบรรพบุรุษนั้นกลับมีลานที่กว้างขวาง ซึ่งในตอนนี้ก็มีคนหลายร้อยคนมาอยู่ในนั้นแล้ว เพียงหลู่เส่าโหย่วมองเข้าไปเขาก็สามารถจดจำได้ทันที คนพวกนี้เป็นลูกหลานรุ่นเยาว์ทั้งสายตรงและสายรองของตระกูลหลู่
หลู่เส่าโหย่วสังเกตเห็นหลู่เส่าหู่กับโจวไห่หมิงที่ถูกกลุ่มคนรายล้อมอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ท่าทีของพวกนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปนัก หลู่เส่าโหย่วจึงเลิกสนใจ
เมื่อเห็นหลู่หวู๋ซวงกับหลู่เส่าโหย่ว แทบจะทุกคนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกลูกหลานที่อยู่ตรงนี้รู้จักหลู่เส่าโหย่วเป็นอย่างดี เพราะตัวตนของหลู่เส่าโหย่วนั้นถือเป็นเรื่องตลกของพวกคนในตระกูลหลู่มาโดยตลอด
“มันมาได้อย่างไร”
“มันไม่ใช่คนของตระกูลหลู่ ไม่ใช่ว่ามันไม่สามารถเข้ามาที่โถงบรรพบุรุษได้หรอกหรือ”
“ได้ยินมาว่ามันได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ทั้งยังมีพลังบ่มเพาะระดับนักรบอีกด้วย ที่มันสามารถเข้ามายังโถงบรรพบุรุษได้ ก็คงเป็นเพราะหัวหน้าตระกูลคงอยากให้มันมากราบไหว้บรรพบุรุษ”
“พลังบ่มเพาะระดับนักรบ พรสวรรค์ไม่เลวเลย เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูหวู๋ซวงอายุสิบหกปีก็มีพลังบ่มเพาะระดับนักรบเท่านั้น แต่ตอนนี้นางก็ได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายอวิ๋นหยางแล้ว”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ตอนนี้หลู่เส่าหู่กับโจวไห่หมิงก็มีพลังบ่มเพาะระดับนักรบแล้วเช่นกัน หลู่เม่ยกับหลู่เส่าหย่งก็ใกล้จะทะลวงระดับนักรบแล้วด้วย”
“เป็นลูกหลานสายตรงช่างดีเสียจริง พวกเราลูกหลานสายรองยังไม่ทันเริ่มก็แพ้แล้ว”
คนบางส่วนเริ่มพูดคุยซุบซิบกัน เรื่องที่หลู่เส่าโหย่วเป็นผู้ฝึกยุทธ์เมื่อเร็วๆ นี้ คาดว่าทุกคนในตระกูลหลู่คงจะรู้กันหมดแล้ว
“ในโถงบรรพบุรุษแห่งนี้ คนที่ไม่ใช่คนของตระกูลหลู่รีบจากไปเสียจะเป็นการดีที่สุด ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่หมาแมวที่ไหนก็สามารถเข้ามาได้เช่นนั้นหรือ?” ทันใดนั้นก็มีคำพูดเยาะเย้ยดังขึ้นมา ผู้ที่กล่าวก็คือหลู่เส่าหู่นั่นเอง
สีหน้าของหลู่เส่าโหย่วมืดลง หลู่เส่าหู่ผู้นี้กำลังพูดถึงตัวเขาอยู่ แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น ตามความทรงจำของเขา หลู่เส่าหู่ผู้นี้รังแกหลู่เส่าโหย่วคนก่อนเอาไว้ไม่น้อย
“หลู่เส่าโหย่ว พูดถึงเจ้านั่นแหละ เจ้ามาที่โถงบรรพบุรุษทำไม” โจวไห่หมิงเอ่ยอย่างเย้ยหยัน หลังจากที่เขาถูกหลู่เส่าโหย่วแย่งความสนใจไปตั้งแต่คราวก่อนที่สวนด้านหลัง โจวไห่หมิงก็จดจำความแค้นนั้นมาตลอด
“เช่นนั้นเจ้ามาทำไม ตระกูลโจวนั้นเป็นชื่อของตระกูลหลู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” หลู่เส่าโหย่วยิ้มเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ให้เขามาที่โถงบรรพบุรุษ เขาก็ไม่ได้อยากจะมาที่นี่เท่าไรนัก ส่วนโจวไห่หมิงนั้น ตามความทรงจำของเขา เจ้านี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ทั้งป้าสองกับอาสองก็ไม่ต่างกัน เขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้า
“เจ้า…” โจวไห่หมิงโกรธขึ้นมาทันที “ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะไปทะเลาะกับลูกผสมเช่นเจ้า”
“โจวไห่หมิง เจ้าพอได้แล้ว ท่านพ่อของข้าเป็นคนให้เส่าโหย่วเข้ามาที่นี่เอง เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมากล่าววาจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้” หลู่หวู๋ซวงกล่าวตำหนิ
โจวไห่หมิงรู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลู่หวู๋ซวงเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้แต่มองหลู่เส่าโหย่วด้วยความโกรธแค้น
“พี่หวู๋ซวง ลุงใหญ่ก็ไม่มีอำนาจที่จะให้มันเข้ามา มันไม่ใช่คนของตระกูลหลู่” หลู่เส่าหู่เหลือบมองหลู่เส่าโหย่วและกล่าวขึ้น
“หลู่เส่าหู่ นี่เป็นความคิดของท่านปู่ หากเจ้ามีอะไรขัดข้อง เจ้าสามารถไปคุยกับท่านปู่ได้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลู่หวู๋ซวงกล่าว หลู่เส่าหู่ก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที จากนั้นก็ไม่กล่าวอะไรต่ออีก ไม่มีใครกล้าจะไปกล่าวว่าอะไรกับหัวหน้าคนก่อนของตระกูลหลู่ เขาเป็นคนที่มีสถานะสูงที่สุดของตระกูล
“พี่หวู๋ซวง ทำไมท่านถึงพึ่งมา” ท่ามกลางฝูงชน หลู่เม่ยที่สวมเสื้อคลุมจีนได้เดินเข้ามาอยู่ด้านข้างของหลู่หวู๋ซวง แม้ว่านางจะยังเด็ก แต่ร่างกายของนางกลับมีเสน่ห์ รูปร่างมีส่วนโค้งส่วนเว้าที่น่าดึงดูด และหน้าอกของหญิงสาวที่ยื่นออกมาเล็กน้อยก็ทำให้ดูมีออร่าของสาวที่ดูบริสุทธิ์และยังไม่บรรลุนิติภาวะ
แม้หลู่เม่ยจะมาอยู่ที่ด้านข้างของหลู่หวู๋ซวง แต่สายตาของนางกลับมองไปยังหลู่เส่าโหย่ว ในสายตาของนางนั้นมีความดูถูกหลู่เส่าโหย่วน้อยลงจากปกติ แต่มีบางอย่างเพิ่มขึ้นมา
หลู่เส่าโหย่วเหลือบมองไปที่หลู่เม่ยเล็กน้อย เมื่อมองจากสายตาของนาง หลู่เม่ยผู้นี้ดูจะเป็นผู้หญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยมนัก ตั้งแต่อายุยังน้อยก็เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนโต เขาควรอยู่ห่างๆ นางไว้จะดีกว่า
“อืม มาตอนนี้ก็ยังไม่สาย” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“นายใหญ่มาแล้ว นายสี่มาแล้ว รีบดูเร็ว”
เพียงเสียงที่ดังขึ้นมา ก็ทำให้ฝูงชนเกิดความโกลาหล ในเวลานี้ที่ด้านนอกลานบ้านก็มีร่างหลายร่างทยอยเดินเข้ามา คนแรกที่เดินเข้ามานั้นมีท่าทีที่ดูกล้าหาญ สวมใส่ชุดคลุมยาว เขาเป็นคนที่หลู่เส่าโหย่วรู้จัก คนผู้นี้ก็คือหลู่ตง นายใหญ่ตระกูลหลู่
ที่ด้านข้างของหลู่ตง มีหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดธรรมดา มีรูปลักษณ์และกลิ่นอายที่สง่างาม นางคือภรรยาของหลู่ตงนามว่าฮวงซื่อ และยังเป็นแม่บุญธรรมของหลู่หวู๋ซวงด้วย
นอกจากนี้ ทางด้านซ้ายของหลู่ตง ก็มีชายวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดที่ดูแข็งแกร่ง รูปร่างของเขาคล้ายกับหลู่ตงสามส่วน เขามีร่างกายที่บึกบึน และมีดวงตาที่เฉียบคม คนผู้นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรสำหรับหลู่เส่าโหย่ว เขาคือลุงสี่ของหลู่เส่าโหย่วคนก่อน มีนามว่าหลู่ซี และถัดจากลุงสี่ก็เป็นภรรยาของเขา นามว่าเฉินซื่อ
ส่วนหญิงวัยกลางคนคนสุดท้ายที่สวมใส่ชุดคลุมผ้าไหมดูหรูหรา นางมัดผมเป็นมวย ใบหน้าถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอาง นางคือป้าสองของหลู่เส่าโหย่วคนก่อน และเป็นนายหญิงสองของตระกูลหลู่ นามว่าหลู่หนาน
บุตรของตระกูลหลู่รวมกับบุตรบุญธรรมอีกหนึ่ง ทำให้มีทั้งหมดห้าคน ได้แก่ หลู่ตง หลู่จง หลู่ซี หลู่เป่ย และพ่อของหลู่เส่าโหย่วซึ่งเป็นบุตรคนที่สาม นามว่าหลู่จง
ที่ด้านข้างของหลู่หนานคือชายวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดคลุมผ้าไหม เขามีนามว่าโจวลี่ซิง เป็นสามีของหลู่หนาน เมื่อมองไปที่คนเหล่านั้น หลู่เส่าโหย่วก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย จ้าวฮุ่ยก็ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาเช่นกัน นางแต่งกายด้วยชุดจีนและมีกลิ่นอายของความเย่อหยิ่ง ในตอนนี้ จ้าวฮุ่ยกำลังมองมาทางหลู่เส่าโหย่วอย่างดุร้าย
หลู่เส่าโหย่วแอบคิดในใจ จ้าวฮุ่ยผู้นี้ต้องไม่ยอมให้เขาได้เข้าไปในโถงบรรพบุรุษแน่ แต่ที่ตอนนี้นางไม่ได้กล่าวอะไรคงเป็นเพราะสิ่งที่ลุงใหญ่กล่าวออกมาก่อนหน้านี้ นางถึงไม่สามารถคัดค้านได้ง่ายๆ
แต่ในบรรดาสมาชิกของตระกูลหลู่นั้น หลู่เส่าโหย่วกลับไม่เห็นเงาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขา ยังมีลุงสี่ พ่อของหลู่เม่ย และหลู่เป่ย นอกจากคนพวกนี้แล้ว หลู่เส่าโหย่วก็รู้จักผู้อาวุโสอีกแค่ไม่กี่คน บุคคลเหล่านี้มีสถานะสูงในตระกูลที่ นับได้ว่าเป็นบุคคลระดับอาวุโสใหญ่ พวกเรื่องราวต่างๆ ภายในตระกูลหลู่ก็ต้องผ่านผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลก่อนทั้งสิ้น
เมื่อหลู่ตงกับกลุ่มคนมาถึง คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าส่งเสียงดังอีกต่อไป ทุกคนต่างก็ยืนอยู่กับที่นิ่งๆ
หลู่ตงกวาดตามองไปยังรุ่นเยาว์ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ และสายตาของเขาก็ได้มาหยุดอยู่ที่หลู่เส่าโหย่วชั่วครู่ จากนั้นเขาก็เอ่ยกับรุ่นเยาว์ทั้งหมด “ทุกคนเข้ามาเถอะ”
จากนั้น ทุกคนก็เดินตามหลู่ตงและคนอื่นๆ เข้าไปในโถงบรรพบุรุษ หลู่เส่าโหย่วเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปข้างในนั้น
โถงบรรพบุรุษนี้ใหญ่โตกว่าที่หลู่เส่าโหย่วคิดเอาไว้ สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับกลุ่มคนทั้งหมด ตรงกลางของโถงบรรพบุรุษมีป้ายวิญญาณอยู่หนึ่งแถว ด้านบนป้ายได้จารึกชื่อบรรพบุรุษของตระกูลหลู่เอาไว้
หลู่เส่าโหย่วทำเพียงสังเกตแค่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก ในโถงบรรพบุรุษมีเบาะรองอยู่หลายร้อยเบาะ จากนั้นทุกคนต่างก็ไปยืมตามลำดับของตัวเอง ลูกหลานสายตรงจะอยู่ด้านหน้า ส่วนลูกหลานสายรองจะอยู่ด้านหลัง