จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 39 โถงบรรพบุรุษตระกูลหลู่
“ฮูว”
เรื่องราวได้ดำเนินไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น หลู่เส่าโหย่วถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นแสงสว่างรอบตัวของเขาก็ได้หายไป
“ทักษะวิญญาณหยินหยางนั้นแข็งแกร่งและดุดันเสียจริง โอสถเจิ้งหยวนหนึ่งเม็ด กลับทำให้ข้าทะลวงมาถึงระดับนักรบขั้นสาม” หลู่เส่าโหย่วลืมตาขึ้นมา และมีความยินดีปรากฏขึ้นในดวงตา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ขอเพียงแค่เขามีเงินพอซื้อสมุนไพร เขาก็จะสามารถยกระดับการบ่มเพาะไปได้เรื่อยๆ
หลังจากหลอมโอสถเจิ้งหยวนเม็ดที่สองเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็กินโอสถเม็ดแรกลงไปทันที ตอนนี้เขายังมีโอสถเจิ้งหยวนเหลืออีกเม็ด แต่หลู่เส่าโหย่วยังไม่กล้าที่จะปรับแต่งมันอีก หลังการปรับแต่งต้องใช้เวลาดูดซับอีกระยะหนึ่ง ไม่อย่างนั้นแล้ว หากกินลงไปผลของมันอาจจะลดลงอย่างมาก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่านัก
โอสถเจิ้งหยวนที่เหลืออีกเม็ด ตัวเขาสามารถนำไปขายได้ หลังจากนั้นก็แลกโอสถกลับมาหลอมอีก หลู่เส่าโหย่วคิดว่าหากทำแบบนี้ต่อไป เขาจะสามารถชดใช้หนี้ได้ภายในสามเดือน
“เหมือนวันนี้จะเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว” หลู่เส่าโหย่วนับวันที่เขามาอยู่ในห้องลับนี้ เขาได้เข้ามาอยู่ในนี้เจ็ดวันเต็มๆ ซึ่งพอดีกับที่วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ของโลกนี้
ประเพณีบนโลกนี้กับชาติก่อนของเขานั้นมีความใกล้เคียงกันมาก หลู่เส่าโหย่วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชาติก่อนขึ้นมา แต่ว่าในชาติก่อนตัวเขานั้นไม่มีใคร วันปีใหม่สำหรับเขานั้น ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น
“ท่านแม่คงเป็นห่วงแย่” หลู่เส่าโหย่วแอบคิดในใจ หลังจากที่เขาเก็บกวาดและนำเตามังกรเพลิงเก็บเข้าไปในแหวนมิติ เขาก็ได้ไปจากห้องลับทันที
“เจ้าเด็กนี่ คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก” ในลานบ้านนั้น ลั่วหลานซือกำลังรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก นี่ก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว แต่หลู่เส่าโหย่วยังไม่กลับมาเลย
“ป้าสาม เส่าโหย่วต้องไม่เป็นไร เกรงว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงทำให้ล่าช้า” หลู่หวู๋ซวงกล่าว แต่ในใจนางก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย
“คุณชายกลับมาแล้ว” หลู่เสี่ยวไป๋จ้องมองไปที่ด้านนอกลานบ้าน เขาเห็นหลู่เส่าโหย่วค่อยๆ เข้ามาใกล้จากระยะไกล
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงพึ่งกลับมา วันนี้เป็นถึงวันแรกของวันขึ้นปีใหม่” เมื่อเห็นหลู่เส่าโหย่ว ลั่วหลานซือก็คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นลูกชายสักสองสามคำ
“ล่าช้าไปเล็กน้อย เลยทำให้กลับมาช้า” เมื่อหลู่เส่าโหย่วเห็นสีหน้าของมารดา เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น นี่สินะ ความรู้สึกของการมีครอบครัว
“เส่าโหย่วกินข้าวเถอะ ป้าสามรอเจ้ามาตลอด หลังกินข้าวเสร็จ ท่านพ่อให้ข้าพาเจ้าไปที่โถงบรรพบุรุษ” หลู่หวู๋ซวงกล่าวกับหลู่เส่าโหย่ว
“ไปโถงบรรพบุรุษทำไมหรือ?” หลู่เส่าโหย่วถาม
“ไปไหว้บรรพบุรุษ อีกสักพักทุกคนในตระกูลหลู่จะไปไหว้บรรพบุรุษกัน” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“ไหว้บรรพบุรุษ ดูเหมือนว่าปกติแล้วข้าจะไม่เคยไปที่นั่น เพราะฉะนั้น ข้าไม่ไป” หลู่เส่าโหย่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ตามความทรงจำของเขา ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยได้เข้าไปที่โถงบรรพบุรุษเลย พอตอนนี้จะมาอยากให้เขาไป หลู่เส่าโหย่วก็ไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้าไปแม้แต่น้อย
“เส่าโหย่ว เจ้าจำเป็นต้องไป” ลั่วหลานซือกล่าวขึ้นมาทันที
“ท่านแม่ พวกเขาอยากให้ข้าไปข้าก็ต้องไปหรือ นี่มันเรื่องอะไร ข้าไม่ไป ตระกูลหลู่กับข้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากนัก”
“เส่าโหย่ว เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร ถึงอย่างไรในตัวเจ้าก็มีสายเลือดของตระกูลหลู่ เจ้าเติบโตขึ้นมาในตระกูลหลู่ เจ้าต้องเชื่อฟังแม่ การที่เจ้าสามารถเข้าไปในโถงบรรพบุรุษได้ เป็นความปรารถนาของแม่มาตลอด” ลั่วหลานซือกล่าว
“ท่านแม่ เช่นนั้นท่านไปหรือไม่?” หลู่เส่าโหย่วถาม
“ป้าสามไม่ไป เส่าโหย่ว เรื่องบางเรื่องเจ้าน่าจะเข้าใจ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“เช่นนั้นข้ายิ่งไม่อยากไป” หลู่เส่าโหย่วกล่าวด้วยแววตาที่เย็นชา เดาว่าตระกูลหลู่คงเห็นว่าเขาได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว จึงยอมให้เขาเข้าไปที่โถงบรรพบุรุษ แต่ตัวเขานั้นไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักนิด
“เส่าโหย่ว เจ้าจะฟังแม่หรือไม่ หรืออยากจะให้แม่ขอร้องเจ้า เจ้าต้องไป” ลั่วหลานซือกล่าว ใบหน้าของนางแสดงความโกรธออกมาเล็กน้อย แต่ในเวลาเดียวกันนั้นนางก็ใช้สายตาอ้อนวอนมองไปยังหลู่เส่าโหย่ว
“ท่านแม่…” หลู่เส่าโหย่วรู้สึกสั่นไหว ท่านแม่คงอยากจะให้เขาได้เข้าไปยังโถงบรรพบุรุษ และหวังจะให้เขาได้กราบไหว้บรรพบุรุษสักครั้งหนึ่ง ทว่าหลู่เส่าโหย่วนั้นไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อตระกูลหลู่มากนัก
“เข้าใจแล้วท่านแม่ ข้าจะไป” เมื่อได้เห็นท่าทีของท่านแม่ หลู่เส่าโหย่วก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“เช่นนั้นก็ดี รีบกินข้าวเถอะ หลังกินเสร็จแล้วก็ไปที่โถงบรรพบุรุษ” เมื่อเห็นว่าหลู่เส่าโหย่วตอบตกลง ลั่วหลานซือก็พลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที ใบหน้าของนางถูกประดับไปด้วยรอยยิ้มยินดี
จากนั้นทุกคนก็นั่งลงตรงโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยของกินอันน่าเอร็ดอร่อยและดูอุดมสมบูรณ์ อย่างน้อยในความทรงจำของเขา นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับอาหารที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้
ระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้น ลั่วหลานซืออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก นางคอยคีบกับข้าวให้หลู่เส่าโหย่วและหลู่หวู๋ซวงอยู่ตลอด กระทั่งหลู่เสี่ยวไป๋ที่นั่งอยู่ด้วยก็ได้รับเช่นกัน
“เส่าโหย่ว หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษก็จะมีการประลองระหว่างสมาชิกรุ่นเยาว์ เจ้าจะไปลองดูหรือไม่” เมื่อกินข้าวเสร็จ หลู่หวู๋ซวงก็พาหลู่เส่าโหย่วไปยังโถงบรรพบุรุษของตระกูลหลู่
“ไม่ล่ะ” หลู่เส่าโหย่วเอ่ยตอบ ตัวเขานั้นไม่มีความสนใจการประลองในตระกูลเลยแม้แต่น้อย
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีความรู้สึกห่างเหินกับตระกูล แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือ หากเจ้ามีโอกาสได้เข้านิกายอวิ๋นหยาง พวกคนที่ต้องการจัดการเจ้าก็จะไม่สามารถก่อเรื่องได้ง่ายๆ แล้ว พวกมันต้องคิดคำนึงให้ดี” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“พี่หวู๋ซวง เหมือนข้าจะจำได้ว่าท่านเองก็อยู่นิกายอวิ๋นหยางใช่หรือไม่?”
“ครั้งก่อนไม่ใช่ว่าบอกเจ้าไปแล้วหรือ หลังจากปีใหม่ ข้าก็ต้องกลับนิกายแล้ว และนี่ก็เป็นวันที่นิกายอวิ๋นหยางจะรับศิษย์สักครั้งในรอบสามปี หากเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลหลู่เพื่อไปเข้าร่วมการประลองล่ะก็ เจ้าก็จะมีโอกาสได้เข้านิกายอวิ๋นหยางด้วย เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะสามารถไปยังนิกายอวิ๋นหยางพร้อมกันกับข้าได้แล้ว” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“นิกายอวิ๋นหยางเป็นอย่างไรบ้าง?” หลู่เส่าโหย่วเอ่ยถาม เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับนิกายอวิ๋นหยางมาบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับนิกายนี้มากนัก
“นิกายอวิ๋นหยางเป็นหนึ่งในสามนิกายสี่สำนักที่อยู่ในจงถู่ ผู้แข็งแกร่งในนิกายมีเหมือนเมฆ หากเข้านิกายอวิ๋นหยางได้ ก็จะได้รับการฝึกฝนหรือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเข้าร่วมนิกายอวิ๋นหยางกันทั้งนั้น” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“เช่นนั้นการเข้าร่วมนิกายอวิ๋นหยางคงจะยากมากใช่ไหม”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์ธรรมดา นิกายอวิ๋นหยางจะไม่รับเป็นศิษย์ เอาแค่เมืองชิงอวิ๋นทั้งเมืองก็มีรายชื่อผู้ที่อยู่ในนิกายแค่ห้ารายชื่อเท่านั้น ทุกครั้งก็จะมีตระกูลหลู่ของพวกเรา ตระกูลหวัง ตระกูลหยาง ตระกูลฉิน และตระกูลหลัวที่ช่วงชิงกัน นอกจากนี้ ยังมีตระกูลอื่นที่อ่อนแอกว่าห้าตระกูลนี้เล็กน้อยเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกตระกูลสามารถเลือกตัวแทนมาได้สองคนเท่านั้น และในตอนท้าย รายชื่อของทั้งห้าคนที่จะได้เข้านิกายก็จะถูกคัดเลือกจากคนทั้งสามสิบสี่คนนั้น” หลู่หวู๋ซวงอธิบาย จากนั้นนางก็มองไปที่หลู่เส่าโหย่วด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อ “แน่นอนว่าหากเจ้าเป็นผู้ฝึกวิญญาณ เจ้าก็จะสามารถเข้าร่วมนิกายอวิ๋นหยางได้ทันที นอกจากนี้ เจ้าจะได้กลายเป็นศิษย์สายตรงด้วย”
“ดูแล้วการเป็นผู้ฝึกวิญญาณนั้นช่างแตกต่างเสียจริง” หลู่เส่าโหย่วยิ้มบาง
“เส่าโหย่ว เจ้าตัดสินใจจะลองดูแล้วหรือยัง?”
“ข้าไม่สนใจ ข้ายังอยากที่จะอยู่เคียงข้างท่านแม่ ไม่อยากไปนิกายอวิ๋นหยาง” หลู่เส่าโหย่วตอบ ในใจของเขาก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับนิกายอวิ๋นหยางขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าการได้รับการดูแลและการฝึกฝนที่ดีที่สุดนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกหัวใจสั่นไหวอยู่บ้าง แต่ตัวเขาที่บ่มเพาะด้วยทักษะวิญญาณหยินหยางนั้น หากจะให้ไปอยู่ที่นิกายอวิ๋นหยางเพื่อฝึกตนก็คงไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไร การได้อยู่อย่างอิสระคงจะดีกว่า หากเขาไปอยู่ที่นิกายอวิ๋นหยาง เขาก็จะต้องตกอยู่ภายใต้ข้อบังคับต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เจ้าหนู หากเจ้าสามารถไปที่นิกายอวิ๋นหยางได้ก็จะดี ในนิกายอวิ๋นหยางนั้นมีของดีอยู่ หากเจ้าได้มันมาก็น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย” ในตอนนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ข้างหูของหลู่เส่าโหย่ว