จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 35 วิจารณ์ภาพวาด
“ท่านพ่อ พวกเราควรทำอย่างไร” หลู่ตงกล่าว
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตระกูลจ้าวกำลังวางแผนอะไรไว้ แต่สำหรับจ้าวฮุ่ยก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพื่อตระกูลหลู่ ตอนนี้พวกเราทำได้แค่รอดูไปก่อนเท่านั้น เราติดค้างแม่ลูกคู่นี้ไม่น้อย ครั้งนี้ พวกเราต้องปกป้องพวกเขาทั้งสองให้ได้” เสียงที่แก่ชราในห้องหินได้กล่าวต่อ
“ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร” หลู่ตงกล่าว
“ไปเถอะ พยายามช่วยเหลือสองแม่ลูกนั้นให้ได้”
ยามเช้า ในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างหลู่เส่าโหย่วก็หยุดการบ่มเพาะและลืมตาขึ้น เขาได้ปล่อยลมหายใจขุ่นมัวออกมาจากทะเลลมปราณในตันเถียน แสงสว่างสีเหลืองที่อยู่ทั่วร่างของเขาได้ถูกเก็บกลับลงไป
สำหรับหลู่เส่าโหย่วในตอนนี้ การบ่มเพาะตลอดทั้งคืนไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้มากมายนัก แต่มันก็ทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่งมากขึ้น
“ควรไปเทียนเป่าเหมินสักหน่อย” หลู่เส่าโหย่วคิดในใจ เมื่อวานตัวเขาได้ไปติดเงินกับเทียนเป่าเหมินเอาไว้ถึงแปดพันหกร้อยเหรียญทอง ดังนั้นเขาก็ควรไปอธิบายอะไรบ้าง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็หาข้ออ้างมาบอกกับแม่ของเขาเพื่อที่จะออกไปเทียนเป่าเหมิน จากนั้นเขาก็ออกมาจากลานบ้านไป ตลอดทางนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะระมัดระวังตัว
“นายน้อยหลู่ วันนี้ท่านมาเช้าเสียจริง” เมื่อเห็นหลู่เส่าโหย่ว ชายร่างใหญ่สองคนที่อยู่หน้าประตูของเทียนเป่าเหมินก็กล่าวทักทายในทันที
“หวู่จื่อซือล่ะ” หลู่เส่าโหย่วถาม
“นายน้อยหลู่เชิญตามข้ามา หวู่จื่อซืออยู่ที่ชั้นสอง” ชายร่างใหญ่ด้านซ้ายกล่าวออกมา จากนั้นก็นำหลู่เส่าโหย่วขึ้นไปที่ชั้นสอง
หลู่เส่าโหย่วพึ่งเคยขึ้นมาที่ชั้นสองของเทียนเป่าเหมินเป็นครั้งแรก ในยามปกตินั้นเขาเพียงรับสมุนไพรที่ชั้นล่างแล้วก็จากไปในทันที
หลู่เส่าโหย่วลอบสังเกตการตกแต่งที่หรูหราบนชั้นสอง แม้แต่พื้นของชั้นนี้ก็ถูกปูด้วยแผ่นหินที่มีค่า หลังจากเดินเข้าไปภายในห้องโถงเล็กห้องหนึ่ง การตกแต่งภายในห้องนี้ก็ยิ่งทำให้หลู่เส่าโหย่วประหลาดใจมากกว่าเดิม
ห้องโถงขนาดเล็กห้องนี้ได้ถูกตกแต่งไปด้วยสมบัติล้ำค่า มีภาพวาดตัวอักษร ของโบราณ และม้านั่งสองสามตัว เมื่อเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของมีราคา
“นายน้อยหลู่ ท่านรอสักครู่ หวู่จื่อซือใกล้จะถึงแล้ว” หลังกล่าวจบ ชายร่างใหญ่ก็ได้จากไป
หลู่เส่าโหย่วสังเกตเห็นจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ภายในห้อง ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ค่อนข้างคล้ายกับภาพภูมิทัศน์ในโลกก่อนของเขา ในโลกนี้ก็มีองค์ประกอบหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับโลกก่อนของเขาเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนนายน้อยหลู่จะมีความเข้าใจภาพวาดนี้ ทำไมท่านไม่ลองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพนี้สักหน่อยล่ะ?” ในตอนนั้นเอง เสียงของกูตู๋ปิงหลันก็ดังขึ้นมา จากนั้นร่างสามร่างก็ได้ปรากฏขึ้น นั่นคือกูตู๋ปิงหลัน สาวใช้ชุยอวี่ และหวู่จื่อซือ
“ไม่กล้า ข้าน้อยมีความรู้เพียงผิวเผิน จะกล้ากล่าวคำโตโดยไม่กระดากอายได้อย่างไร” หลู่เส่าโหย่วยิ้มเล็กน้อย ตัวเขาในชาติก่อนเคยศึกษาภาพวาดสมัยใหม่อยู่บ้าง แต่กับภาพวาดแม่น้ำภูเขาพวกนี้นั้น เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จะกล้าพูดเหลวไหลได้อย่างไร
“นายน้อยหลู่ไม่ต้องเกรงใจ ขอท่านโปรดชี้แนะ” กูตู๋ปิงหลันยิ้มเล็กน้อย เหมือนว่านางอยากจะให้หลู่เส่าโหย่วพูดสักคำสองคำให้ได้
“นี่…” หลู่เส่าโหย่วลังเล ตัวเขาไม่เข้าใจภาพวาดภาพนี้จริงๆ
“อะไรกัน หรือว่านายน้อยหลู่ดูถูกข้ากัน” กูตู๋ปิงหลันมองหลู่เส่าโหย่วด้วยดวงตาอันงดงามและเผยยิ้มน้อยๆ แต่ท่าท่างของนางดูจริงจังมาก เหมือนมีความหมายว่าจะทำให้หลู่เส่าโหย่วพูดออกมาให้ได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เข้าก็จะพูดสักสองสามคำ คุณหนูกูตู๋อย่าหัวเราะล่ะ” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ เมื่อมองไปที่สายตาของกูตู๋ปิงหลัน ก็ราวกับว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้เพียงกล่าวสักสองสามคำ ภาพวาดนี้แค่เข้าใจก็คงคาดเดาได้ไม่ยาก ตัวเขาก็คงไม่ถึงขนาดกล่าวได้ไม่สอดคล้องกันหรือไร้เหตุผลจนเกินไป
“นายน้อยหลู่โปรดชี้แนะ” กูตู๋ปิงหลันกล่าว ในเวลานี้สาวรับใช้ชุยอวี่ก็ได้จ้องมองหลู่เส่าโหย่วอย่างจริงจัง และในสายตาของนางก็มีความคาดหวังบางอย่าง
หลู่เส่าโหย่วพิจารณาจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ด้านหน้า ภาพนี้เป็นภาพหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าสระบัวและกำลังเหม่อมองไปยังที่ไกลๆ หลังจากใช้เวลาพิจารณาครู่หนึ่ง หลู่เส่าโหย่วก็กล่าวออกมา “ภาพนี้เป็นภาพที่มีกลวิธีในการวาดอย่างยอดเยี่ยม ลายเส้นคาดการณ์ไม่ได้และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะเห็นได้ว่าภาพนี้ถูกวาดโดยที่ไม่มีการร่าง ทำให้สามารถถ่ายทอดความต้องการของผู้วาดได้ง่ายกว่า ต้องมีการใช้ท่าทางการเคลื่อนไหวเป็นโครงร่างแล้ววาดลายเส้นลงกับกระดาษโดยตรง ถึงจะสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้ ในทางกายภาพ แน่นอนว่าภาพนี้จะต้องเป็นผลงานชิ้นเอก”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่หลู่เส่าโหย่วกล่าว สาวใช้ชุยอวี่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวถามด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านพูดเช่นนั้น แสดงว่ายังมีต่อใช่หรือไม่”
หลู่เส่าโหย่วยิ้มเบาๆ และกล่าวต่อไป “หากเป็นทางกายภาพ ภาพวาดนี้ก็ถือเป็นผลงานชิ้นเอก แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง ช่างน่าเสียดาย”
“โอ้ นายน้อยหลู่โปรดชี้แนะ” กูตู๋ปิงหลันตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่ชุยอวี่ที่อยู่ด้านข้างก่อนจะกล่าวออกมา
“ใบหน้าของหญิงสาวในภาพผิดธรรมชาติ ว่างเปล่าไร้ซึ่งจิตวิญญาณ และสระบัวนี้ก็วาดออกมาแหลมจนเกินไป ไม่กลมหนา ทำให้ลายเส้นไม่มีชีวิตชีวา ความหนาแน่นยังไม่ดีและจัดองค์ประกอบยังไม่ค่อยเหมาะสมนัก อีกทั้งในเรื่องของความหนักเบาก็เหมือนว่าจะยังเก็บได้ไม่ละเอียดอ่อนพอ ทำให้รู้ว่าในตอนที่กำลังวาดภาพนี้ ผู้วาดคงกำลังคิดมากอยู่ และจากสีหน้าของหญิงสาวในภาพ ข้าคิดว่าผู้วาดภาพนี้จะต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ “ข้าเพียงกล่าวไปเรื่อยเปื่อย ขอคุณหนูกูตู๋โปรดอย่าใส่ใจ”
“นายน้อยหลู่มีสายตาที่แหลมคมนัก เปิดโลกใหม่ให้ข้าอย่างแท้จริง” สาวใช้ชุยอวี่กล่าวเบาๆ สีหน้ายังมีความประหลาดใจเมื่อมองมายังหลู่เส่าโหย่ว
“ให้เห็นเรื่องตลกแล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ ทันใดนั้น เขาก็เห็นตัวอักษรเล็กๆ สองสามตัวถูกประทับอยู่ที่มุมหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนัง เมื่อมองอย่างละเอียด ก็พบว่าด้านบนนั้นได้เขียนเป็นอักษรตัวเล็กๆ เอาไว้ว่า กูตู๋ปิงหลัน
“ที่แท้ภาพนี้ก็ถูกวาดโดยคุณหนูกูตู๋ ข้าน้อยไม่รอบคอบเอง” หลู่เส่าโหย่วรู้สึกตกใจ กลายเป็นว่าภาพนี้คือภาพที่ถูกวาดโดยฝีมือของกูตู๋ปิงหลัน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ
“นายน้อยหลู่เกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่ง” กูตู๋ปิงหลันกล่าว
“นายน้อยหลู่มาเทียนเป่าเหมินเช้าขนาดนี้ ท่านมีเรื่องอะไรหรือไม่” หลังจากที่ทุกคนนั่งลง หวู่จื่อซือก็กล่าวขึ้นมา
“ข้าติดหนี้เทียนเป่าเหมินเป็นเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าข้าก็ต้องมาคืนเงินอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าข้าไม่สามารถคืนทั้งหมดได้ในทีเดียว คงต้องค่อยๆ ทยอยคืนอย่างช้าๆ ไปก่อน” หลู่เส่าโหย่วกล่าวอย่างขมขื่น
“เหรียญทองหลายพันเหรียญไม่มีค่าให้พูดถึง นายน้อยหลู่ไม่จำเป็นต้องกังวลนัก” หวู่จื่อซือกล่าว
“แต่ว่าการที่ข้าติดหนี้อยู่เช่นนี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจนักน่ะสิ”
“หากนายน้อยหลู่ตกลง เช่นนั้น ท่านก็เข้าร่วมเทียนเป่าเหมินเป็นอย่างไร” กูตู๋ปิงหลันกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มบางๆ
“นี่…” ท่าทีของหลู่เส่าโหย่วที่แสดงออกมานั้นไม่ได้ปรากฏพิรุธใดๆ จากนั้นเขาก็ยิ้มอีกครั้ง “หากข้าเข้าร่วมเทียนเป่าเหมิน ก็คงจะทำให้พวกท่านเสียอาหารไปเปล่าๆ เท่านั้น ข้าไม่ขอสร้างปัญหาให้เทียนเป่าเหมินดีกว่า”
“นายน้อยหลู่ต้องล้อข้าเล่นแน่ หากนายน้อยหลู่อยากเข้าร่วม พวกเราเทียนเป่าเหมินก็พร้อมต้อนรับเสมอ” กูตู๋ปิงหลันกล่าว
“ใช่แล้ว ข้ายังมีโอสถเสริมพลังเหลืออีกนิดหน่อย หวู่จื่อซือช่วยคิดราคาให้ข้าด้วย ข้าจะนำมาใช้ชำระหนี้ และช่วยหาสมุนไพรที่เขียนอยู่บนกระดาษนี้มาให้ข้าสองชุด รวมกับสมุนไพรแบบคราวก่อนอีกห้าสิบชุด” หลู่เส่าโหย่วนำโอสถเสริมพลังออกมาหลายสิบเม็ดแล้วยื่นให้หวู่จื่อซือ
“ไม่มีปัญหา นายน้อยหลู่รอสักครู่” หวู่จื่อซือเหลือบมองรายชื่อสมุนไพรหนึ่งครา จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องโถงเล็ก
“นายน้อยหลู่ ท่านหลอมโอสถพวกนี้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ” กูตู๋ปิงหลันมองหลู่เส่าโหย่วแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ท่านลองมองข้า ข้าเหมือนผู้ฝึกวิญญาณอย่างนั้นหรือ?” หลู่เส่าโหย่วกล่าวพร้อมกับเหลือบมองกูตู๋ปิงหลัน วันนี้กูตู๋ปิงหลันสวมชุดกระโปรงยาว รูปร่างของนางช่างสง่างาม อีกทั้งยังมีใบหน้าที่วิจิตร นางช่างเป็นสตรีที่งดงามจริงๆ
แต่หลู่เส่าโหย่วก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังสาวรับใช้ชุยอวี่ ใบหน้าของนางเหมือนกับหยกที่ถูกแกะสลัก ดวงตาใสๆ นั้นก็ราวกับสามารถมองทะลุได้ทุกอย่าง จมูกของนางสวยประณีต รวมกับปากที่เล็กและเหมือนกับผลเชอร์รี่ หากนำองค์ประกอบทั้งหมดนี้มารวมกัน ก็ควรจะเป็นใบหน้าที่แสนงดงาม ทว่ารอยปานสีแดงบนใบหน้าของชุยอวี่กลับทำให้ผู้ที่เฝ้ามองต้องทอดถอนใจ หากสตรีผู้นี้ไม่มีรอยปานนี่จะดีแค่ไหนกัน
“นายน้อยหลู่ทำให้ผู้อื่นมองไม่ออกนัก” กูตู๋ปิงหลันกล่าวเบาๆ
“นายน้อยหลู่ สิ่งที่ท่านต้องการได้เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หวู่จื่อซือก็ถือถุงสมุนไพรสองถุงเข้ามาภายในห้องโถงเล็ก
“ขอบคุณมาก เช่นนั้นข้าขอตัวลา ครั้งหน้าค่อยมาชำระหนี้อีก” หลังจากที่หลู่เส่าโหย่วกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
“นายน้อยหลู่ เดินทางปลอดภัย” หวู่จื่อซือกล่าว
“หวู่จื่อซือ เจ้าคิดอย่างไร” กูตู๋ปิงหลันได้พูดขึ้นหลังจากที่หลู่เส่าโหย่วจากไป
“ตามข่าวที่พวกเราได้มา เมื่อคืนนี้ หลู่เส่าโหย่วฆ่าคนรับใช้ระดับสาวกของตระกูลจ้าวไปหนึ่งคน และทำร้ายคนรับใช้ระดับนักรบอีกคนจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้ทุกคนตกใจอย่างมาก” หวู่จื่อซือเล่าข่าวที่ตัวเองรับรู้ให้คุณหนูของตนฟัง