จากตาลุงบ้านนอกไปเป็นจอมดาบ: ข้าก็แค่ครูฝึกดาบบ้านนอกธรรมดาคนนึง แต่ลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายไม่ได้คิดแบบนั้นนี่สิ ! - ตอนที่ 15
กลางถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน กลับมีความเงียบแปลกๆอึนๆล้อมรอบข้า คลูนี่ และแม่สาวผมดำในชุดคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“อ๊ะ ฟิซนี่เอง!”
คลูนี่ร้องเรียกชื่อเธอคนนั้น ทำลายความเงียบที่อึมครึมออกไป
“คลูนี่” สาวคนที่ชื่อฟิซก็ตอบกลับ แล้วหันไปมองทางเธอ “เจ้าก็อยู่ด้วย”
“อยู่มาแต่แรกเลยจ้าา!” คลูนี่ตอบรับทันทีเลย
แม่สาวผมดำก็ทำหน้านิ่ง ไม่แสดงอารมณ์อะไร เธอทำอย่างกับว่าเพิ่งจะสังเกตเห็นคลูนี่ยังไงยังงั้น
“คลูนี่ เจ้ารู้จักแม่หนูนี่เหรอ?”
ดูเหมือนสาวผมดำคนนี้จะรู้จักข้าและยังรู้จักคลูนี่ด้วย
แต่ข้านึกไม่ออกว่านางคือใคร เลยถามคลูนี่ เผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง
“…ท่านอาจารย์ นี่ท่านจำไม่ได้เหรอคะ?” คลูนี่ถามกลับข้าซะอย่างนั้น
“หือ..?” ข้าได้แต่สงสัย ก็แล้วใครล่ะนั่น?
หายากนะเนี่ย ที่คลูนี่จะทำหน้าประหลาดใจ แถมเธอยังมองข้าด้วยสายตาตำหนิอีก
“ท่านอาจารย์เบริล โหดร้าย” แม่สาวผมดำทำเสียงสะอื้น “เสียใจนะเนี่ย ฮึก ฮึก”
“ถะ -ถึงเจ้าจะพูดอย่างนั้น…..” ข้าถึงกับตะกุกตะกัก รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
สังเกตได้ว่าเธอแกล้งทำเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้น แหม ก็หน้านิ่งซะขนาดนั้น
โอ้ย ไม่รู้จริงๆว่าใคร
คราวก่อนก็ทีนึงแล้ว ตอนที่ได้เจอเซลเลน่าอีกครั้ง
แต่ตอนนั้นข้าปะติดปะต่อเชื่อมโยงไม่ถูก เพราะเท่าที่จำได้ ครั้งสุดท้ายที่เจอนั้น เธอยังเป็นแค่เด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย
ตรงข้ามกับแม่หนูที่ชื่อ “ฟิซ” ที่ดูจะมีอายุไม่ต่างจากคลูนี่ และถ้าเธอรู้จักคลูนี่ แล้วยังถามกลับข้าว่า “จำไม่ได้จริงเหรอ?” นั่นจึงเป็นไปได้ว่าเธอเข้ามาฝึกดาบที่โรงฝึกในเวลาไล่เลี่ยกัน
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็น่าจะนึกอะไรออกบ้างสิว่าเธอเป็นใครกันแน่
แล้วตอนเจอกัน เธอก็จำคลูนี่ได้ตั้งแต่แรกเห็นอีก
“ฮึ” แม่หนูฟิซทำเสียงไม่พอใจ แล้วทำแก้มป่อง “ไม่ไหวเลย แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ”
ว่าแล้วเธอก็เอื้อมไปหยิบดาบที่ด้านหลังเสื้อคลุม
“หืมมม….?” ข้าได้แต่ออกเสียงในลำคอ
เออ ไอ้ดาบเล่มนี้มันคุ้นๆ นี่มันดาบที่ข้าให้เป็นที่ระลึกเมื่อเรียนจบนี่นา
เอ๋ หมายความว่าแม่หนูนี่ได้ฝึกฝนวิชาดาบที่โรงฝึกจนเชี่ยวชาญทุกอย่างที่ข้าสอนแล้วนี่
เดี๋ยวนะ ถ้าจำดาบได้ มันก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลที่ข้าจะจำเธอไม่ได้สิ งานเข้าตาแก่อย่างข้าแล้วทีนี้
พิจารณาจากรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว….อย่าหวังว่ารูปลักษณ์ของเธอในตอนนี้จะช่วยให้จำอะไรได้มากขึ้นเลย
เพราะเด็กสาววัยกำลังโตจะมีพัฒนาการทางร่างกายเปลี่ยนไปอย่างมาก ยิ่งทรงผมนี่เลิกคุย
ในทางกลับกัน สีผมของคนเรานั้นจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมีผมสีดำขลับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
สาวผมดำที่มีเอกลักษณ์ในการพูดจาเนิบๆ ตอบคำถามสั้นๆ ห้วนๆ และเป็นลูกศิษย์ที่ข้ามอบดาบให้เป็นที่ระลึก
ฟิซ…. ฟิซ….
“อ๊ะ…เจ้าคือฟิซเซลล่าคนนั้นเองเหรอ?” ข้าถามเธอเพื่อความแน่ใจ
“ถูกค่ะ” ฟิซเซลล่าตอบ “แต่นึกออกช้าจัง เสียใจเลยค่ะ”
ชัดเลยทีนี้ สาวผมดำที่เพิ่งได้มาเจอกันอีกครั้ง คือ ฟิซเซลล่า
ฟิซเซลล่ายังแสดงท่าทีน้อยใจอยู่บ้าง พอข้าจำเธอได้เท่านั้นแหละ ภาพความทรงจำก็ผุดขึ้นมายังกับน้ำพุร้อน
ฟิซเซลล่า ฮาเวลเลอร์ เธอคือหนึ่งในลูกศิษย์ที่ข้ามอบดาบให้เป็นของที่ระลึกหลังสำเร็จวิชาดาบ
คุ้นๆว่าเธอเข้ามาเรียนวิชาดาบที่โรงฝึกในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับคลูนี่ แต่จะต่างกันบ้างตรงที่คลูนี่เรียนกับข้าอยู่ 2 ปีก่อนออกจากโรงฝึกไป ในขณะที่ฟิซเซลล่านั้นยังอยู่ฝึกดาบกับข้าราวๆ 5 ปี ดังนั้นเธอจึงเรียนจบโดยเชี่ยวชาญทุกอย่างที่ข้าได้สอนเธอไป
อย่างไรก็ตาม ฟิซเซลล่าในความทรงจำวันนั้น มีรูปลักษณ์ค่อนข้างคล้ายเด็กผู้ชาย และไม่ได้มีอะไรที่คล้ายคลึงกับเธอในวันนี้เลย
ในตอนนั้นเธอตัดผมสั้นและตัวผอมเพรียว เธอเป็นเด็กประเภทที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จึงมักจะเห็นเธอแกว่งดาบอยู่เงียบๆ และพูดคุยเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
เท่าที่ข้าจำได้ เธอมักจะใส่เสื้อผ้าปอนๆดูธรรมดา ไม่ใช่แบบที่สวมเสื้อคลุมชั้นดียาวถึงเข่าแบบตอนนี้
ครั้งสุดท้ายที่เจอ คือ ตอนที่ข้ามอบดาบให้เป็นที่ระลึกของการเรียนจบ สำเร็จวิชาดาบ
ในตอนนั้น สีหน้าของเธอผ่อนคลายลงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วันที่เธอออกจากโรงฝึกไป ก็คล้ายกับว่าเธอรู้แล้วว่าจะทำอะไรต่อไปดี โดยเอ่ยไว้เพียงแค่ “ข้ามีบางอย่างที่ต้องไปทำต่อค่ะ”
นั่นก็ผ่านมานานแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแบบนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือข้ากำลังจะบอกว่าทุกครั้งที่ข้าได้มาเจอกับศิษย์เก่าเนี่ย….เจ้าก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่รึไง?”
ขอข้าแก้ตัวไหลไปกับน้ำขุ่นก่อนล่ะ
“ก็ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ฟิซเซลล่าตอบกลับ “แต่ที่เสียใจคือท่านไม่เอะใจนึกถึงข้าเลย”
“ขะ-ข้าขอโทษจริงๆ….” เสียงอ่อย ไปไม่ถูกเลยทีนี้
ต่อให้ศิษย์จะเปลี่ยนไปแค่ไหน คนเป็นอาจารย์ก็ต้องไม่ลืมศิษย์เก่า
ยิ่งเป็นศิษย์ที่ได้รับมอบดาบที่ให้เพื่อแสดงถึงความสำเร็จในวิชาดาบยิ่งไม่ควรลืม
ข้าควรคำนึงถึงเรื่องนี้ให้ดี
“ไม่เห็นมีใครบอกว่าข้าเปลี่ยนไปเลยนี่คะ…” คลูนี่บ่น
“ขะ-ขอโทษ” ทำไมไปซ้ายก็โดน ไปขวาก็โดนวะเนี่ย
“แหม ช่างมันเถอะค่ะ” คลูนี่ตัดจบ “ฟิซเค้าสุดยอดมากเลยนะคะ! เธอทำหน้าที่อย่างดีที่สุดจนตอนนี้ได้เป็นเอส (เก่งระดับท็อป) ของกองพันเวทไปแล้วค่าาา!”
“ใช่แล้ว” ฟิซเซลล่าตอบรับ “ฉันพยายามอย่างหนักเลยล่ะ แบบสุดๆ”
“อะไรนะ?” ได้ยินดังนั้น ข้าถึงกับแปลกใจ “กองพันเวทนั่นน่ะเหรอ?”
ไปไงมาไงล่ะนั่น? หลังสำเร็จวิชาดาบที่โรงฝึกบ้านข้า แล้วไหงมาลงเอยที่เข้าร่วมกับกองพันเวท
ไม่สิ นี่มันช่างน่าทึ่งมากเลย เหล่านักเวทนั้นจัดเป็นกลุ่มคนที่มีค่ายิ่ง โดยผู้ที่ใช้พลังเวทได้บนโลกนี้นั้น มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น
สำหรับการใช้ดาบ ถึงไม่มีความถนัด แต่ถ้ามีแรงเหวี่ยงดาบไหว ก็ยังพอใช้ดาบสู้ได้
แต่เวทมนต์นั้นต่างกัน ถ้าไม่มีพรสวรรค์ ก็จะไม่สามารถใช้ได้เลย และหมดหนทางจะไปต่อหรือฝึกฝนได้
และข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่มีความสามารถทางการใช้เวทอยู่เลยเช่นกัน
เฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศเท่านั้นจึงจะมาเป็นนักเวทได้
“สำเร็จวิชาดาบที่โรงฝึกบ้านข้าแล้ว เจ้าก็ยังมุ่งมั่นเรียนรู้ด้านเวทมนตร์ต่อรึนี่?” ข้าได้แต่ทึ่งในความสามารถของเธอจริงๆ
“ค่ะ” ฟิซเซลล่ากล่าว “และมันก็เป็นหนึ่งในวิธีใช้เชิงดาบของท่านอาจารย์เบริลที่ดีที่สุดแล้ว”
“เห?” ข้าได้แต่สงสัย เฉพาะเชิงดาบของฟิซเซลล่านั้นก็ดีเกินพอ ข้าถึงได้มอบดาบให้เป็นที่ระลึกว่าเธอได้สำเร็จวิชาดาบจากบ้านข้าแล้ว
แล้วถ้าหากเธอสามารถผสานพลังเวทเข้ากับทักษะดาบชั้นสูงที่เธอมีได้อีก เธอคงได้กลายเป็นผู้เลิศล้ำอย่างหาตัวจับได้ยากแน่
“ดาบเวทย์” ฟิซเซลล่าเอ่ยต่อ “เป็นทักษะที่ข้าใช้ได้ดีที่สุดค่ะ”
“ดาบ…เวทย์….?” ข้าทวนคำแล้วได้แต่คิดว่ามันคืออะไรหว่า?
“ก็ตามชื่อเลยค่ะ” เหมือนฟิซเซลล่าจะรู้ว่าข้ายังไม่ค่อยเข้าใจ
“เมื่อตวัดดาบออกไป เวทย์เพลิงที่ร่ายกำกับเอาไว้ก็จะทำให้เกิดเปลวเพลิงฟาดฟันออกไป หรือถ้าเป็นเวทย์น้ำแข็งก็จะเกิดคมน้ำแข็งพุ่งทะยานไปตามทิศทางที่ฟัน”
“โอะ-โอ้” ข้าถึงกับอึ้งไปเลย “นันมันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ”
ท่าทางฟิซเซลล่าได้ทำบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อเข้าแล้วสิ ข้าถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
“แล้วมีผู้ใช้ดาบเวทย์คนอื่นๆอีกมั้ย?” ข้าสงสัยบางอย่างจึงลองถามฟิซเซลล่าดู
“เยอะแยะ” ฟิซเซลล่าตอบกลับ “แต่ส่วนใหญ่พวกนั้นใช้ดาบไม่เป็นกันหรอก”
อ่าฮะ พอได้ฟังคำตอบแล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคาดเดาไว้
การควบคุมพลังเวทย์ให้ใช้งานได้ดีนั้น จำต้องมีพรสวรรค์และใช้ความพากเพียรฝึกฝนไปด้วยเฉกเช่นเดียวกับการฝึกฝนวิชาดาบ
การอาบดาบด้วยพลังเวทย์นั้นเป็นการต่อยอดมาจากวิชาดาบ ดังนั้นผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาดาบย่อมเข้าถึงและใช้งานได้ดีกว่า
ถ้าจะพูดให้ถูก ผู้ใช้ทักษะนี้ได้น่าจะเรียกว่า นักดาบเวท มากกว่านักเวท
ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยได้ยินใครเขาเรียกกันแบบนี้ก็เถอะนะ
“ว่าแต่ท่านอาจารย์เบริล มาทำอะไรที่เมืองหลวงกันคะ” ฟิซเซลล่าเปลี่ยนเรื่องถามมาทางข้า
“โอ้ เกี่ยวกับเรื่องนั้นน่ะ….” ตัดจบเรื่องของดาบเวทไว้เท่านี้ก่อน แล้วข้าก็เล่าให้เธอฟังเรื่องการเข้ามารับตำแหน่งครูฝึกอัศวิน และการแวะมาเที่ยวที่เขตตะวันตก โดยมีคลูนี่เป็นผู้นำเที่ยว
“ถ้างั้น ข้าไปด้วยดีกว่า” ฟิซเซลล่ากล่าวเสริม “คลูนีน่ะ ไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว”
“….งั้นเหรอ งั้นข้าขอฝากเจ้าช่วยเป็นผู้นำเที่ยวแทนเลยแล้วกัน”
“ฝากด้วยนะค้าาาาา” คลูนี่ร้องเย้วๆ
“ได้เลยค่ะ” ฟิซเซลล่ากล่าวตอบรับ
เอาเถอะ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว จู่ๆจะให้แยกย้าย ต่างคนต่างไปก็กระไรอยู่
จากนั้น ลูกศิษย์ทั้งสองก็พาข้าไปเที่ยวชมเมืองและเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์รายรอบสักพักใหญ่เลย
———————-
คุยท้ายตอนกับผู้แปล
คนที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแปลชื่อฟิซเซลล่าไว้ว่า “Thyssel”
แต่อย่างที่เคยเกริ่นไว้คือ คนที่ตามอ่านเรื่องนี้ ส่วนมากเคยอ่านมังงะมาก่อน ดังนั้นจึงขอใช้ชื่อเดียวกัน เพื่อจะได้ไม่เกิดความสับสนในชื่อตัวละคร
ช่วงที่เจอฟิซเซลล่าในเขตตะวันตกนั้น ในมังงะวาดไว้แค่ตอนเดียว ก่อนจะไปเจอกับโลลิโกงอายุ ในอีกตอน
แต่ในนิยาย มันไม่สั้นกระชับแบบนั้นหรอกครับ ผมบอกได้แค่นี้