จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 470 ดอกซานเซิง
บทที่ 470 ดอกซานเซิง
ยังมีเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ดอกซานเซิงจะเบ่งบาน
ฉู่ชวิ๋นรู้แล้วว่าหญิงสาวในชุดแดงมีนามว่าฉือเม่ย พวกเธอมีพี่น้องเจ็ดคน ประกอบไปด้วยฉือเม่ย เฉิงหลิง หวงซิน ลวี่เมิ่ง ชิงฉาน หลานหยิงและจื่อหยวน
สถานที่แห่งนี้เป็นค่ายอาคมภาพลวงตา ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ที่ชื่อจื่อหยาง นอกจากพวกเธอเจ็ดพี่น้องแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตาหมดทั้งสิ้น
ฉู่ชวิ๋นอดทึ่งในฝีมือของจื่อหยางไม่ได้จริง ๆ
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือฉือเม่ยจะไม่ขัดขวางเขาจากการเก็บดอกซานเซิง ซ้ำเธอยังสัญญาว่าจะช่วยฉู่ชวิ๋นเจรจาเรื่องดอกซานเซิงกับกิเลนไฟอีกด้วย
น้องสาวคนอื่น ๆ ของฉือเม่ยมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเธอทั้งเจ็ดคนมีหน้าตางดงามชนิดที่ว่า หากออกไปสู่โลกภายนอก คงทำให้ผู้ชายจำนวนมากคลั่งไคล้แทบตาย
“น้องเจ็ด ไปปล่อยทุกคนออกมาจากค่ายอาคมได้แล้ว” ฉือเม่ยออกคำสั่ง
จื่อหยวนพยักหน้า กำลังจะเดินออกไป แต่แล้วฉู่ชวิ๋นก็ห้ามเอาไว้
เจ็ดสาวพี่น้องไม่เข้าใจ ฉู่ชวิ๋นก็ไม่ยอมอธิบายเหตุผลอะไรเพิ่มเติม
นอกจากพวกของเกาโม่หานสามคนแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นศัตรูของเขาทั้งสิ้น ฉู่ชวิ๋นไม่คิดจะให้พวกมันรอดชีวิตกลับออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว
7 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ถึงกำหนดที่ดอกซานเซิงจะเบ่งบาน มันจะเป็นวันที่ลำแสงสามสีระเบิดประกายเจิดจ้าไปทั่วยอดเขา
ค่ายอาคมถูกเปิดออก พวกเกาโม่หานและบรรดาสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในร่างมนุษย์ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลแล้ว
เมื่อพบว่าหญิงงามรอบกายร่างค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนภูตผี คฤหาสน์ที่แสนหรูหราก็เปลี่ยนไปกลายเป็นซากปรักหักพัง ดอกไม้และผลไม้วิเศษกลายเป็นผลไม้ป่าธรรมดา สุราปรุงรสหวานก็กลับกลายเป็นเพียงน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง
ผู้มีพลังขั้นเซียนทั้ง 11 คนรู้ตัวแล้วว่า ประสบการณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวงหลอกตา ตนเองลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์ จึงไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเลยสักนิด
“เป็นยังไงบ้างครับทุกคน?” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามาพร้อมกับพวกของฉือเม่ยเจ็ดพี่น้อง ชายหนุ่มหรี่ตามองกลุ่มของเกาโม่หานเป็นพิเศษ
เมื่อทบทวนความทรงจำที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง ใบหน้าของชายชราก็แดงซ่านขึ้นมาแล้ว พวกเขาเป็นถึงผู้มีพลังขั้นเซียน แต่กลับมีพฤติกรรมออกนอกลู่นอกทางพึ่งพาไม่ได้ ทำให้ไม่มีหน้ากล้าสบตามองผู้ใดอีกแล้ว
“พี่เกา พี่เกอ พี่เตียว ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกพี่โหมศึกหนักขนาดนี้ สงสัยผมจะได้อุ้มหลานแล้วมั้งเนี่ย?” ฉู่ชวิ๋นหยอกเย้า
ชายชราทั้งสามคนใบหน้าร้อนผ่าว
“สหายน้อยหลุนหุย อย่าพูดอะไรอีกเลย พวกเราอับอายแล้ว!” เกาโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงอับอายจริง ๆ
เกอจ้านกับเตียวซิงอี้ก้มหน้าต่ำ ใบหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตามองผู้คน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ของแบบนี้มันเรื่องปกติอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ ยังไงก็ขาดการกิน การขับถ่ายและการร่วมรักไม่ได้”
ชายชราทั้งสามคนก้มหน้าก้มตา อยากจะมุดดินหนีด้วยความอับอายเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพูด สำหรับอายุอานามระดับพวกเขา ถูกผู้อื่นค้นพบว่ายังเสพติดในราคะ เพียงแค่คิดก็อับอายขายหน้าแล้ว
บรรดาสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในร่างมนุษย์ก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
“สหายหลุนหุย นายรู้ใช่ไหมว่าพวกเราตกอยู่ในค่ายอาคม?” หลิวจิวหยวนใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา มันจะกรำศึกหนักมาไม่ใช่น้อย
“รู้สิ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ “ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังเห็นสภาพของทุกคนอย่างชัดเจน ขอบอกเลยว่าแกกับมนุษย์พังพอนน่ะ บ้าตัณหาพอ ๆ กันเลย”
ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าของหวงไห่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
“ถ้าอย่างนั้นค่ายอาคมพวกนี้ ก็เป็นนางจิ้งจอกเหล่านี้ทำขึ้นมาสินะ?” หลิวจิวหยวนหันหน้าไปจ้องมองพวกของฉือเม่ยด้วยแววตาอำมหิต
ก่อนหน้านี้พวกมันติดอยู่ในค่ายอาคม แต่ตอนนี้ทุกคนได้สติกลับคืนมาแล้ว ถึงจะตกตะลึงในความสวยงามของฉือเม่ยสักเพียงไร แต่พวกมันก็สาบานอยู่ในใจว่าจะไม่หลงเสน่ห์นางจิ้งจอกเหล่านี้อีกแล้ว
“ถูกต้อง และพวกเจ้าควรขอบคุณหลุนหุยนะ เขาเป็นคนสั่งให้เราปล่อยพวกเจ้าออกมา” ฉือเม่ยกล่าว
“นางจิ้งจอก แกทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเราเสียหาย จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?” หลิวจิวหยวนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป มีหวังรู้ถึงไหนได้อายไปถึงนั่น
“นี่เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ? พวกข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เป็นพวกเจ้าเองนั่นแหละที่ลุ่มหลงในราคะอย่างหน้ามืดตามัว” จื่อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงขยะแขยง
“บัดซบ พวกนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ กล้าดีอย่างไรมาพูดดูหมิ่นพวกข้าอย่างนี้?” หวงไห่คำรามสุดเสียง พร้อมกันนั้นก็ซัดลมปราณใส่จื่อหยวนอย่างรุนแรง
จื่อหยวนมีพลังอยู่แค่เพียงขั้นจักรพรรดิ เมื่อเห็นว่าหวงไห่ซัดพลังใส่ตนเอง ใบหน้าของเธอก็ขาวซีดแล้ว จื่อหยวนไม่อาจต้านทานผู้มีพลังยุทธ์ขั้นเซียนได้เลย ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัส ก็ต้องตายในสภาพที่ซากศพเสียหายยับเยินเป็นแน่แท้
“ที่นี่เป็นถิ่นของเรา ไม่ใช่ที่ ๆ พวกเจ้าจะมาทำตัวอวดดีเช่นนี้” ฉือเม่ยคำรามเสียงดัง ก่อนที่จะซัดลมปราณต้านทานพลังจากหวงไห่
หวงไห่ตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่าฉือเม่ยก็มีพลังขั้นเซียนเช่นกัน
“ทุกคนมาช่วยกันกำจัดนางจิ้งจอกพวกนี้เร็วเข้า ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” หวงไห่หันไปพูดคุยกับพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในร่างมนุษย์
ดวงตาของพวกมันเป็นประกายแวววาว เกือบทุกคนต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกับหวงไห่ ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป พวกมันคงอับอายขายหน้าชนิดแสนสาหัส ดังนั้นจะต้องไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้เด็ดขาด
“พี่หวงไห่พูดถูกต้อง เราจะปล่อยให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปไม่ได้ ฉันจะช่วยพี่เอง” หลิวจิวหยวนหัวเราะเยาะ ใบหน้าแสดงความอำมหิต พูดพร้อมกับกระโดดเข้าหาฉือเม่ย
ฉือเม่ยมีใบหน้าซีดขาวแล้ว ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งเลื่อนขึ้นมาอยู่ขั้นเซียนได้ไม่นาน หวงไห่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บดีนัก เธอสามารถรับมือมันได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นการต่อสู้แบบสองรุมหนึ่ง ฉือเม่ยไม่มีทางรับมือได้เลย
“พี่ใหญ่ ระวังตัว!”
น้องสาวทั้งหกคนอุทานออกมาพร้อมกัน พลังลมปราณที่ระเบิดออกมาจากตัวของหลิวจิวหยวนแผ่ความกดดันทำให้เลือดในกายของพวกเธอเย็นเฉียบ ใบหน้าของทุกคนขาวซีดไปหมดแล้ว
“พอแค่นั้นแหละ!” ฉู่ชวิ๋นคำรามออกมาด้วยความเย็นชา พลังความกดดันแผ่ออกไปจากกายของเขาเหมือนเกลียวคลื่น สาดซัดตรงเข้าใส่หวงไห่กับหลิวจิวหยวนอย่างเฉพาะเจาะจง
ใบหน้าของหลิวจิวหยวนรู้สึกร้อนวูบวาบ ฉู่ชวิ๋นชกกำปั้นออกมาอย่างรุนแรงยิ่ง
หลิวจิวหยวนโคจรพลังลมปราณออกมายิงตอบโต้กลับไปด้วยความตกตะลึง
เปรี้ยง!
แต่หมัดของฉู่ชวิ๋นรุนแรงเกินไป มันสลายพลังลมปราณของหลิวจิวหยวนได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังกระแทกเข้าใส่ตัวคนลอยกระเด็นไปไกลอีกด้วย
“พวกแกมันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจริง ๆ”
ฉู่ชวิ๋นเดือดดาลขึ้นมาจริง ๆ แล้ว เขายืนอยู่เบื้องหน้าของเจ็ดพี่น้องจิ้งจอกสาว เมื่อมีคนกล้าทำร้ายพวกเธอ เขาจึงอยู่นิ่งเฉยได้ยังไง
วิชาดัชนีสังหาร – กระบวนท่าดัชนีสามอุสรา
มวลอากาศปั่นป่วน แล้วนิ้วมือขนาดใหญ่ยักษ์ก็ร่วงหล่นลงมาทับหวงไห่
ครืน!
คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจาย หวงไห่สามารถยิงพลังสลายนิ้วมือขนาดใหญ่ไปได้ก็จริง แต่ก็ทำให้ตัวมันกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นฉายแววอำมหิต ไอสังหารแผ่ออกมาจากร่างกาย ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามอย่างน่าหวาดกลัว
วูบ!
หวงไห่หันหลังกลับกระโดดเผ่นหนี ฉู่ชวิ๋นกระโดดตามติดไปไม่ห่าง ในขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังออกจากกำปั้นไปด้วย
เปรี้ยง!
ลำแสงจากกำปั้นของเขาพุ่งกระแทกหน้าอกของหวงไห่ เลือดเนื้อสาดกระจาย หวงไห่ส่งเสียงร้องโหยหวน กระดูกหน้าอกแตกหัก
ฉู่ชวิ๋นแข็งแกร่งมากเกินไป หวงไห่ไม่สามารถต้านทานได้เลยสักนิดเดียว มันรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของฉู่ชวิ๋น เมื่อนั้น สีหน้าของชายชราก็ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวโดยสมบูรณ์
ตอนนั้นเอง หลังจากถูกลมปราณซัดลอยกระเด็นมาไกล หลิวจิวหยวนก็ลุกยืนกลับขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วก็มีแส้สีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามาหาและฟาดมันอย่างรุนแรง
ม่านพลังที่ห่อหุ้มร่างกายของหลิวจิวหยวนสลายตัวหายไป แส้สีม่วงโบยตีลงบนแผ่นหลังของมัน เลือดสาดกระจาย ผิวหนังเปิดออก เห็นเนื้อสด ๆ ที่อยู่ด้านใน
“พวกแกสองคนรนหาที่ตายนักใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกายเย็นเยียบ สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ลมปราณสีม่วงหมุนวนเวียนอยู่รอบกายตลอดเวลา
“สหายน้อยหลุนหุยได้โปรดไว้ไมตรีด้วย” ค่งหลี่ฉุนและคนอื่น ๆ รู้สึกได้ว่าฉู่ชวิ๋นมีเจตนาฆ่าคน จึงต้องรีบส่งเสียงออกไป
ฉู่ชวิ๋นหันขวับกลับมาพร้อมกับสะบัดฝ่ามืออย่างแรง แล้วพลังลมปราณก็พุ่งแหวกอากาศกระแทกเข้าหาค่งหลี่ฉุน
ค่งหลี่ฉุนต้องรีบโคจรลมปราณขึ้นมาต้านทานการโจมตีของฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึง
เปรี้ยง!
พื้นดินสั่นสะเทือน แรงกระแทกจากพลังลมปราณทำให้ค่งหลี่ฉุนไถลถอยหลังไปไกลถึงร้อยเมตร
“สหายหลุนหุยทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?” ค่งหลี่ฉุนใบหน้าบิดเบี้ยว หลุนหุยมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่มันจินตนาการเอาไว้หลายเท่าทีเดียว
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ฉันพาพวกนายผ่านม่านพลังเข้าสู่ยอดเขาและยังช่วยชีวิตพวกนายเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากไม่สำนึกบุญคุณ ไอ้พังพอนตัวนี้กลับหาเรื่องฉันไม่หยุดหย่อน แล้วนายจะให้ฉันปล่อยมันลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้ต่อไปหรือไง?”
“สหายหลุนหุยใจเย็นก่อน พี่หวงแค่พูดไม่คิด ไม่ได้เจตนาหาเรื่องคุณเลย ได้โปรดเมตตาเขาด้วย” ค่งหลี่ฉุนสะกดความเดือดดาลในจิตใจ ถ้าฝ่ายสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ถูกฆ่าตาย ก็เท่ากับจำนวนคนจะเสียเปรียบฝ่ายมนุษย์ทันที และนั่นเป็นสิ่งที่พวกมันไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
“พี่หวง รีบขอโทษสหายหลุนหุยเร็วเข้า” เฮยจงตะโกนด้วยความร้อนรน
หวงไห่กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ใบหน้าขาวซีดเหมือนซากศพ มันเงยหน้าจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความอาฆาตแค้น
ฉู่ชวิ๋นชำเลืองมองตอบกลับไปด้วยสายตาเย็นชาปานน้ำแข็ง รังสีเย็นเยียบแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างรุนแรง
“สหายน้อยหลุนหุย ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจก่อกวนเจ้า” หวงไห่กัดฟันกรอด ข่มความแค้นเก็บไว้ในจิตใจ มันรู้ดีว่าถ้าตนเองไม่ทำตามคำแนะนำ หลุนหุยก็พร้อมที่จะฆ่ามันได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้น คงไม่มีทางที่สัตว์ร้ายกลายพันธุ์คนอื่น ๆ จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมันมากไปกว่านี้ เนื่องจากในภายภาคหน้ายังต้องพึ่งพาชายหนุ่มในการตามหาสมบัติโบราณ เพราะฉะนั้น หวงไห่จึงเลือกที่จะก้มหัวเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายวาวโรจน์ เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อหวงไห่ขึ้นมา แล้วจัดการตบซ้ายตบขวาไม่ยั้งมือ
หลังจากโดนตบปากไปหลายสิบรอบ ริมฝีปากของหวงไห่ก็บวมเจ่อ ใบหน้าบวมปูด ฟันหลุดออกมาหลายซี่ คราบเลือดเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“หวังว่านี่จะเป็นบทเรียนที่ทำให้แกไม่มายุ่งกับฉันอีกก็แล้วกัน ขืนแกมาหาเรื่องฉันอีกละก็ อย่าหวังเลยว่าแกจะรอดไปได้” ฉู่ชวิ๋นยกตัวของมนุษย์พังพอนขึ้นมา แล้วโยนทิ้งไปข้างทางเหมือนเป็นเศษขยะชิ้นหนึ่ง
พวกค่งหลี่ฉุนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะรีบพากันเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บของหวงไห่
ฉู่ชวิ๋นหันหน้ากลับมาจ้องมองหลิวจิวหยวน
หลิวจิวหยวนถามด้วยความหวาดหวั่น “แกจะทำอะไร?”
วูบ!
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปยืนตรงหน้าหลิวจิวหยวนและกระแทกกำปั้นเข้าใส่อย่างแรง
ผลั่ก…!
หลังจากถูกต่อยเข้าไปรัว ๆ หลายสิบหมัด หลิวจิวหยวนก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ กระดูกหน้าอกยุบตัว กระดูกแขนขาหักไม่เหลือชิ้นดี
ฉู่ชวิ๋นกระชากคอเสื้อดึงขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ก่อนที่จะจัดการตบปากชายชราไปอีกหลายสิบรอบ
หลังจากนั้น เขาก็โยนหลิวจิวหยวนใส่กำแพงหินอย่างแรง กำแพงหินถึงกับแตกร้าว ก้อนหินถล่มลงมา ร่างกายครึ่งหนึ่งของหลิวจิวหยวนจมหายเข้าไปในกำแพงหิน สภาพน่าอเนจอนาถใจเหลือเกิน
“เพราะเห็นว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉันถึงไว้ชีวิตแก แต่ถ้าแกกล้ามาหาเรื่องฉันอีกละก็ รับรองว่าตายสถานเดียว” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก
พวกเกาโม่หานทั้งสามหันมองหน้ากัน คิดในใจว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่ทราบตัวตนที่แท้จริงของฉู่ชวิ๋นแล้ว และก็อดไม่ได้ที่จะนึกสงสารหลิวจิวหยวนขึ้นมาทันที นับว่าหลิวจิวหยวนทำตัวเองโดยแท้
พวกเจ็ดพี่น้องจิ้งจอกสาวจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มแข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว ถึงกับจัดการผู้มีพลังยุทธ์ขั้นเซียนได้ถึงสองคนในพริบตาเดียวเลยหรือนี่
“พี่ใหญ่ เขาแข็งแกร่งจังเลย” จื่อหยวนอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ
ฉือเม่ยพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับ ไม่มีใครรู้เลยว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่?
ทันใดนั้นเอง แสงสามสีก็ระเบิดประกายเจิดจ้าเต็มท้องฟ้า
“ดอกซานเซิงบานสะพรั่งแล้ว!” ฉือเม่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้น