จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 454 ศัตรู
บทที่ 454 ศัตรู
ครืน!
พลังลมปราณที่พุ่งออกมารุนแรงมากพอที่จะแหลกสลายศิลาหินให้กลายเป็นผุยผง
มนุษย์หมาป่าหลางมู่ถูกฉู่ชวิ๋นเตะลอยกระเด็นไปกระแทกใส่ต้นไม้โบราณโค่นล้มหลายต้นในพริบตาเดียว
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข โครงกระดูกและอวัยวะในร่างกายเขาส่งแสงเป็นประกาย มวลพลังงานไหลเวียนอย่างสะดวกลื่นไหล หัวใจเต้นเป็นจังหวะแข็งแรง รู้สึกสบายตัวอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อใช้การต่อสู้กับผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสามคนนี้ เป็นการลับฝีมือของตัวเอง เส้นเลือดทุกเส้น เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ต่างก็ผสานเป็นหนึ่งเดียว
หวงไห่ เฮยจง และหลางมู่มีสีหน้าหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกมนุษย์มีคนที่แข็งแกร่งอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
กลุ่มสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ก็ตกใจกลัวตัวสั่นเทาแล้ว ตัวแทนของผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสามมาจากต่างเผ่าพันธุ์ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมนุษย์คนนี้เลย นับได้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความน่ากลัวเกินไปแล้ว
กลุ่มมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้นส่งเสียงโห่ร้องด้วยความสะใจ นำขบวนโดยพวกของจิ่วโยว
บนยอดเขาลูกหนึ่ง ชายวัยกลางคนสองคนยืนอยู่เคียงข้างกันบนหน้าผาสูง พวกมันรับชมการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่ด้านหลัง มีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับสูงยืนก้มศีรษะ สีหน้าของพวกมันแสดงออกถึงความเคารพระดับสูงสุด ซึ่งหมายความว่าชายชราทั้งสองคนนี้ย่อมมีสถานะสูงส่งอย่างยิ่ง
“ในกลุ่มมนุษย์แล้ว นอกจากจอมมารฉู่ชวิ๋น ไม่นึกเลยว่ายังมีคนๆ นี้อยู่ด้วย” ผู้ที่พูดประโยคนี้ออกมามีนามว่าหลิวจิวหยวน ซึ่งมาจากตระกูลที่สืบทอดอำนาจกันมายาวนานหลายพันปี และตัวมันเองก็เพิ่งฟื้นคืนตื่นจากการจำศีลมาเมื่อไม่นานนี้
“จอมมารฉู่ชวิ๋นมีพลังแค่ขั้นจักรพรรดิเท่านั้น เมื่อเทียบกับคนผู้นี้ เรียกได้ว่ายังห่างชั้นกันอีกหลายขุม” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูด “แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นโชคดีของมวลมนุษยชาติแล้ว”
“พี่เกาคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?” หลิวจิวหยวนหัวเราะในลำคอ ดวงตาเป็นประกายแวววาวแปลกประหลาด “คนผู้นี้มีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา แถมยังเดินทางมาที่ซากโบราณสถาน เขาต้องเป็นศัตรูกับเราแน่นอน”
เกาโม่หานหันหน้ากลับมาชำเลืองมองและตอบว่า “โอกาสในครั้งนี้จะพึ่งพาโชคอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีฝีมือด้วยในระดับหนึ่ง ถ้าเขามีความสามารถที่จะหยิบจับอะไรกลับไปได้ ก็ถือว่าเขาสมควรได้รับสิ่งนั้นแล้ว”
หลิวจิวหยวนมีดวงตาเป็นประกายวาววับเหมือนไม่พอใจ แต่ก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการพูดว่า “ฉันกลัวแต่ว่าเจ้าหมอนี่มันจะโลภมากเกินไป จนแม้แต่ส่วนแบ่งของพี่ก็ไม่มีเหลือน่ะสิ”
เกาโม่หานหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่านายกับฉันยังฝึกวิชามาไม่มากพอ ไม่อาจกล่าวโทษผู้อื่นได้หรอก”
“พี่เกาช่างมีจิตใจกว้างใหญ่ราวมหาสมุทรยิ่งนัก” หลิวจิวหยวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดและเหน็บแนมเล็กน้อย
“น้องหลิว นายคิดจริงๆ หรือว่าหลุนหุยคนนี้เป็นศัตรูของเรา? หรือว่านายเคยมีเรื่องกับเขามาก่อน?” เกาโม่หานถามด้วยความสงสัย
“แค่ไม่ถูกชะตาก็เท่านั้นเอง” หลิวจิวหยวนตอบเพียงเท่านั้นและไม่พูดอะไรอีก
เกาโม่หานก็ไม่สอบถามอะไรต่อ หลังจากนั้น พวกมันทั้งสองคนก็หันมาจ้องมองฉู่ชวิ๋นในความเงียบ
ฉู่ชวิ๋นกำลังถลึงตามองพวกของเฮยจง หลางมู่ และหวงไห่ พลังต่อสู้ของเขายังเหลือเฟือ และมั่นใจว่าผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสามคนนี้ คงไม่ได้มีฝีมือเพียงแค่นี้หรอกกระมัง?
“เข้ามาเลย” ฉู่ชวิ๋นพยายามกระตุ้นอีกฝ่าย
ความจริงแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการเล่นงานอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว ปัญหาก็คือ ทำไมผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสามคนนี้ ถึงยังไม่ใช้ท่าไม้ตายออกมาอีก?
พวกหวงไห่ทั้งสามคนมีสีหน้าย่ำแย่ที่สุด ดวงตาของพวกมันขมขื่น ท่าไม้ตายหรือไพ่เด็ดประจำตัวเป็นสิ่งที่พวกมันอยากจะเอาออกมาใช้ในยามจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนคงไม่เปิดเผยออกมาโดยง่าย แต่ในยามที่ถูกฉู่ชวิ๋นเหยียดหยามต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ พวกมันก็ทนไม่ไหวแล้ว
“สหายท่านนี้ ซากโบราณสถานยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ บาดเจ็บกันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เอาไว้มาต่อสู้กันใหม่หลังจากได้ของวิเศษบนยอดเขากันหมดแล้วไม่ดีกว่าหรือ?” ค่งหลี่ฉุน ผู้มีพลังขั้นเซียนจากเผ่าพันธุ์นกยูงปีศาจพูดเสียงดัง
ฉู่ชวิ๋นสังเกตเห็นมันผู้นี้อยู่แล้วตั้งแต่ที่เริ่มการต่อสู้ เนื่องจากพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวค่งหลี่ฉุนนั้นรุนแรงมาก
“ถ้าเช่นนั้น ฉันจะขอกลับมารับคำแนะนำใหม่ก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็หันหลังเดินกลับมาง่ายๆ
ทุกคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่พากันตกตะลึงอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าเมื่อมีคนห้ามปราม ฉู่ชวิ๋นกลับเชื่อฟังโดยง่าย
ฉู่ชวิ๋นรู้ดีอยู่เต็มหัวใจว่าพวกหวงไห่ยังมีท่าไม้ตายอยู่ในมือ เขาอาจเอาชนะพวกมันได้ก็จริง แต่ก็คงแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส เมื่อต่อสู้มาถึงตอนนี้แล้ว ฉู่ชวิ๋นก็พอจะประเมินได้ว่าการสังหารผู้มีพลังขั้นเซียนไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
อีกอย่าง ฉู่ชวิ๋นจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บไม่ได้ จุดประสงค์ที่เขาเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อตามหาดอกซานเซิง เขาไม่อาจหยุดนึกถึงภาพวินาทีแห่งความสุข เมื่อฮัวฉิงวูฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
นอกจากนั้น พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ที่มีพลังขั้นเซียนไม่ได้มีแต่พวกหวงไห่ แต่ยังมีค่งหลี่ฉุนที่ยังไม่เคยแสดงฝีมือมาก่อน รวมถึงผู้มีพลังขั้นเซียนของเผ่าพันธุ์ผีดิบและเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวเช่นกัน
ถ้าสู้กันต่อไป ไม่มีอะไรรับประกันว่าตัววายร้ายเหล่านี้จะไม่เข้ามาแทรกแซง เขามาที่นี่ในฐานะของมนุษย์ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าพวกมันคงไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเขาแน่นอน
หวงไห่ หลางมู่ และคนอื่นๆ มีสีหน้าโกรธแค้นสุดขีด แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฉู่ชวิ๋นพาจิ่วโยวและบริวารมาเลือกพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ที่พัก เดิมทีพื้นที่นี้เคยมีคนจับจองอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อคนกลุ่มนั้นเห็นฝีมือของฉู่ชวิ๋น พวกมันก็รีบถอนกำลังออกไปโดยไม่โต้แย้งเลยสักคำ
“นายท่านครับ เมื่อกี้นี้สุดยอดไปเลยนะครับ” เสือใหญ่ยังคงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่หาย
“เมื่อสักครู่นี้ข้ายิ่งกว่าตื่นเต้นอีกครับ ข้าน้อยรู้สึกได้เลยว่าถ้าสู้กันต่อไป นายท่านจะสามารถเอาชนะหวงไห่ได้แน่นอน และเมื่อเป็นเช่นนั้น นายท่านก็จะเป็นคนแรกที่สามารถสังหารผู้มีพลังยุทธ์ขั้นเซียนได้สำเร็จ” สิงโตทองคำก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
“การฆ่าพวกขั้นเซียนน่ะ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ฉู่ชวิ๋นยิ้มกว้าง
“นายท่านครับ ยังมีพวกมนุษย์ที่เป็นขั้นเซียนอยู่ด้วยใช่ไหมครับ?” ช้างเผือกถาม
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าช้างเผือกด้วยความแปลกใจ ช้างเผือกเป็นคนมีนิสัยเยือกเย็น และสามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นๆ มองข้าม
“ถูกต้อง” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า เขารู้สึกได้ถึงพลังที่รุนแรงก่อนหน้านี้และมันเป็นพลังที่พุ่งออกมาจากกลุ่มของมนุษย์
“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องระวังตัวกันหน่อยแล้ว” ช้างเผือกกล่าวต่อ “พวกเรารู้ดีว่าสัตว์ร้ายกลายพันธุ์พวกนี้เป็นปฏิปักษ์ แต่ที่เราไม่อาจรู้ว่ามิตรหรือศัตรูจากพวกมนุษย์คือใครกันแน่”
สิงโตทองคำหันหน้ามาจะพูดอะไรบางอย่าง ฉู่ชวิ๋นก็ยกมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
ทุกคนเห็นเงาร่างของใครบางคนลอยตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
คนผู้นี้มีลักษณะผอมสูงหน้าตาหล่อเหลา มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 แต่สีหน้าแฝงความอวดดีอยู่หลายส่วน
“หลุนหุย เจ้านายของข้าอยากให้เจ้าไปเข้าพบ”
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วและหันไปมองอย่างไม่ค่อยสนใจ เหมือนกับว่ายิ่งมองหน้าอาคันตุกะผู้มาเยือนนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมดความสนใจมากขึ้นเท่านั้น
ผู้มาเยือนแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรออกมา ช้างเผือกก็ขยับเดินออกไปถามว่า “เจ้านายของเจ้าเป็นใคร?”
“เจ้าจะถามอะไรมากมาย? ข้าบอกให้ไปก็ต้องไปสิ” ผู้มาเยือนพูดแข็งกร้าว น้ำเสียงข่มขู่ผู้คน
“พูดจาแบบนี้ เจ้ามาทางไหน ไสหัวกลับไปทางนั้นเลยนะ” เสือใหญ่เกลียดท่าทางอวดดีของผู้มาเยือนเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ไป ข้าจะฆ่าเจ้า ถ้าอยากจะให้นายท่านหลุนหุยไปหา ก็ให้เจ้านายของเจ้ามาเชิญเขาด้วยตัวเอง” สิงโตทองคำพูดด้วยความเดือดดาล
“เจ้าเคยเห็นขอทานมาเชิญบัญฑิตให้ไปหาไหมล่ะ” อินทรีเงินพูดถ้อยคำเฉียบแหลมขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครคาดคิด
ใบหน้าของผู้มาเยือนแสดงออกถึงความไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น มันจ้องมองพวกของฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนพูดว่า “พวกเจ้าเป็นตัวอะไรกัน ถือดีอย่างไรจะให้เจ้านายของข้ามาเชิญเป็นการส่วนตัว?”
พวกของสิงโตทองคำได้ยินดังนั้นก็โกรธจัดแล้ว
วูบ!
ใบหน้าของจิ่วโยวเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา เธอโคจรพลังใส่กระบองช่อหนามในมือ แล้วพลังลมปราณก็แผ่ออกมาจากร่างกาย เส้นผมบนศีรษะของเด็กหญิงเป็นประกายสว่างไสว ในขณะที่ซัดพลังสีทองคำพุ่งออกไปจากตัวกระบอง
“เจ้ากล้าหรือ” ผู้มาเยือนคำรามด้วยความโกรธแค้น ซัดพลังออกจากฝ่ามือพุ่งใส่จิ่วโยว
ตู้ม!
พลังลมปราณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ก่อนจะกระจายตัวหายไปอย่างรุนแรง
“ตายซะเถอะ!”
จิ่วโยวคำรามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พลังลมปราณสีทองคำห่อหุ้มกระบองช่อหนาม ก่อนที่เธอจะตวัดมันฟาดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยความดุดัน
เปรี้ยง…!
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนตื่นตกใจแล้ว
ยิ่งต่อสู้กันไปนานเท่าไหร่ ยิ่งมีกลุ่มคนดูเดินมาชุมนุมกันเยอะมากขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการต่อสู้ของผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 กับระดับ 9 แต่ว่าฝีมือการต่อสู้ของคนทั้งสองสูสีกันมาก
“นั่นมันองค์หญิงจิ่วโยวไม่ใช่หรือ?”
“จริงด้วย งั้นข่าวลือที่ว่าองค์หญิงจิ่วโยวสามารถสู้กับผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ได้อย่างสบายๆ ก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ”
“องค์หญิงจิ่วโยวเป็นคนสนิทของจอมมารฉู่ชวิ๋น ไม่แปลกเลยที่เธอจะมีฝีมือสูงส่งขนาดนี้”
กลุ่มคนดูเริ่มกระซิบกระซาบกันแล้ว
ทุกคนพากันเข้าใจว่าที่จิ่วโยวมีพลังฝีมือสูงส่งล้วนมีเหตุผลมาจากฉู่ชวิ๋น แต่ในความเป็นจริง จิ่วโยวเคยเป็นสัตว์ประหลาดมาก่อน ดังนั้น พลังการต่อสู้ของเธอจึงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์เป็นธรรมดา
เปรี้ยง!
แรงระเบิดทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน จิ่วโยวและคู่ต่อสู้ซัดพลังออกมาพร้อมกัน แต่ในพริบตานั้นเอง จิ่วโยวก็อ้าปากกว้าง แล้วพ่นละอองน้ำแข็งใส่หน้าแข้งของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
ชายหนุ่มผู้มาเยือนส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความตื่นกลัว แต่ขาของมันข้างนั้นบางส่วนเริ่มกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
นี่ไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดา แต่เป็นน้ำแข็งพิษ แม้แต่ทองคำวิเศษก็ยังสามารถถูกกัดกร่อนจนแตกสลายได้อย่างง่ายดาย นี่คือทักษะพิเศษของจิ่วโยว เนื่องจากพลังยุทธ์ในปัจจุบันของเธอยังอ่อนด้อยมากเกินไป ทำให้มันมีพลังแค่นี้ ถ้าเธอมีพลังระดับเดียวกับจักรพรรดิอ๋าวฮวงเมื่อไหร่ เธอจะสามารถพ่นละอองน้ำแข็งพิษได้ไกลหลายร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว
ผู้มาเยือนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เกล็ดน้ำแข็งลุกลามขึ้นมาถึงระดับหัวเข่า มันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากชักดาบออกมาและตวัดตัดขาตัวเองด้วยความฉับไว
น่าแปลกนัก ขาของมันตั้งแต่ช่วงหัวเข่าเมื่อถูกตัดออกมา ก็แหลกสลายกลายเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยไปทันที
ผู้มาเยือนมองหน้าจิ่วโยวด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วกระโดดหนีไปด้วยขาเพียงข้างเดียว การกระโดดหนึ่งครั้งของมัน ทำให้พื้นดินเกิดรอยแตกร้าว ในขณะที่ส่งให้ตัวคนลอยไปไกลหลายร้อยเมตร
“จะหนีไปไหน” จิ่วโยวสูดหายใจลึก ทำท่าจะไล่ตามไป
ทุกคนจ้องมองด้วยความตกตะลึง จิ่วโยวอำมหิตเหลือเกิน ไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายรอดชีวิตกลับไปได้
“ไม่ต้องตาม!” ฉู่ชวิ๋นพลันออกคำสั่ง
ร่างของเด็กหญิงหยุดชะงักทันที ได้แต่มองชายขาเดียวที่กระโดดหนีไปตาละห้อย ก่อนจะเดินหน้าบึ้งกลับมาหาชายหนุ่ม
“ทำไมถึงปล่อยมันกลับไปล่ะ?” จิ่วโยวพูดอย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวก็มีโอกาสฆ่ามัน รออีกนิดเถอะ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ยกมือลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเด็กหญิง
จิ่วโยวเงยหน้ามองฉู่ชวิ๋นแล้วปัดมือของเขาออกไปด้วยความแง่งอน
พวกช้างเผือกได้แต่หันมองหน้ากัน องค์หญิงจิ่วโยวของพวกมันชอบทำตัวเป็นเหมือนเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น และเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้กับใครมาก่อนเลยสักคนเดียว
……
……
ชายขาเดียวหนีกลับมายังภูเขาของตนเองพร้อมกับความอับอายขายหน้า
ที่นี่เป็นจุดกางเต็นท์บนยอดเขา
ชายขาเดียวกระโดดเข้าไปในเต็นท์หลังหนึ่ง ล้มลงเสียงดังโครม แล้วดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ภายในเต็นท์ นอกจากหลิวจิวหยวนกับเกาโม่หานแล้ว ก็ยังมีชายวัยกลางคนอีกสองคนที่มีพลังแกร่งกล้านั่งอยู่ด้วย
ผู้มีพลังขั้นเซียนของมนุษย์มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว
“นายท่านครับ ช่วยผมด้วย” ชายขาเดียวร้องครวญครางด้วยความทุกข์ทรมาน
หลิวจิวหยวนลุกขึ้นยืน ดวงตาเบิกโตด้วยความโกรธแค้น เดินเข้าไปหาบริวารขาขาด ยื่นมือออกไปปิดบาดแผลที่เลือดไหลทะลัก และเริ่มต้นรักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่นานนัก อาการบาดเจ็บของชายขาเดียวก็คงที่แล้ว
“ตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิวจิวหยวนถามสีหน้าเคร่งเครียด
“ฝีมือของให้หลุนหุยครับ ผมไปเชิญมันดีๆ ตามที่นายท่านสั่ง แต่ใครจะคิดเลยว่านอกจากมันไม่ยอมให้ความร่วมมือแล้ว ยังดูถูกนายท่านอีก ด้วยความโกรธแค้นผมก็เลยตอบโต้กับมันอยู่สองสามคำ หลังจากนั้น มันก็สั่งให้องค์หญิงจิ่วโยวฆ่าผมครับ” ชายขาเดียวรายงานขณะร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล
เกาโม่หานหันไปมองหน้าชายวัยกลางคนอีกสองคน
“แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว” หลิวจิวหยวนตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น ลุกขึ้นยืนหมายจะออกไปคิดบัญชีกับหลุนหุย
“น้องหลิว ใจเย็นก่อน” เกาโม่หานรีบห้ามปราม
“พี่จะมาห้ามฉันทำไม?” หลิวจิวหยวนมีดวงตาดุร้าย จ้องมองเกาโม่หานอย่างไม่สบอารมณ์
“น้องหลิว ก่อนจะทำอะไร แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง?” เกาโม่หานถาม
ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นมนุษย์ระดับอัจฉริยะ พวกมันไม่ใช่ตัวโง่งม
หลุนหุยมีพลังขั้นเซียน จะพูดจาเหยียดหยามคนที่ไปเชิญตัวมาด้วยความเคารพได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผู้มีพลังขั้นเซียนหากจะสังหารผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 จริง ๆ เพียงสะบัดฝ่ามือนิดเดียว ร่างกายของชายขาเดียวก็จะแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี แล้วนี่ชายขาเดียวหนีรอดกลับมาได้อย่างไร?
“เกิดอะไรขึ้นก็เห็นอยู่ตําตา หลุนหุย มันอวดดีเกินไปแล้ว แค่นี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?” หลิวจิวหยวนพูดด้วยความโกรธแค้น