จอมใจจอมทัพ - ตอนที่ 56 พี่จะเอาเจ้าตรงนี้
ส่วนเรื่องการทัพการศึกนั้น เหิงซื่อหลุนเองก็ยังฝึกฝนให้แข็งแกร่งมิได้ขาด หลังจากศึกวันนั้นเขาคืนทหารเจี้ยนจิงให้กลับสู่มาตุภูมิและเป็นผู้ไปส่งร่างอันไร้วิญญาณขององค์ชายจิ้งฝูด้วยตนเอง เขามิได้เรียกร้องอะไรจากเมืองเจี้ยนจิงเลยนอกเสียจากการเล่าความจริงให้ท่านเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาของจิ้งฝูได้รับรู้ แม้ท่านจะเศร้าโศกแต่ก็ยอมรับความจริงได้ ทั้งยังขอบอกขอบใจทางหงโจวเป็นการใหญ่ที่มิได้เรียกร้องบรรณาการหรือเอาเปรียบใด ๆ ในฐานะที่เป็นเมืองแพ้ศึกเช่นที่ผู้อื่นกระทำกัน
“ ขออย่างเดียวอย่าได้ไประรานหงโจวอีก หากมีครั้งหน้าข้าสาบานว่า เจี้ยนจิงจะไม่ปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินให้ผู้ใดได้กล่าวขานจดจำ ” คำกล่าวเรียบ ๆ ก่อนกลับพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ นั้นกลับทำให้ทุกคนที่ได้ยินเสียวสันหลังวาบ ผู้ใดเลยจะกล้าต่อกรกับชายผู้กล้าแกร่งห้าวหาญเช่นเขา
ความกล้าหาญฉลาดล้ำเหนือบุรุษใด ทำให้ทุกคนยอมรับและเทิดทูนเขาได้ในที่สุด แม้แต่ผู้ที่เคยเกลียดชังก็หันกลับมารักและแซ่ซ้องสรรเสริญ เช่นเดียวกับที่เขาทุ่มเทกายใจเพื่อผืนแผ่นดินหงโจวไม่น้อยไปกว่ากัน
และเหนือสิ่งอื่นใดมีเพียงนางเท่านั้น… เหรินซูเม่ย
วันหนึ่งที่ตะวันแผดแสงเจิดจ้า ทัพหงโจวที่ออกลาดตระเวนไปปราบกองโจรที่ดักซุ่มปล้นชาวบ้านที่ขนสินค้าประเภทเสื้อผ้าอาภรณ์ไปขายที่ต่างเมือง ท่านเจ้าเมืองผู้รั้งตำแหน่งแม่ทัพด้วยนั้นก็ไปจัดการด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าไม่มีโจรหน้าไหนได้รอดชีวิตกลับไปแม้แต่ผู้เดียว…
เขาควบอาชาสีดำนำทัพมาสู่ประตูเมืองที่เปิดรออยู่แล้ว ชาวเมืองยืนรอรับพร้อมร่ำร้องแซ่ซ้องสรรเสริญ หากใจของซื่อหลุนมันลอยไปไกลกว่านั้น
ทันทีที่ควบม้าเข้าไปในเมือง ริมฝีปากที่เหยียดตรงอยู่เสมอก็คลี่แย้มออกมาอย่างสุขใจ เมื่อเห็นร่างของชายาผู้งดงามยืนรออยู่ตรงนั้นพร้อมอุ้มโอรสตัวน้อยวัยสองเดือนไว้ในอ้อมแขน
“ ลูกจ๋า เสด็จพ่อกลับมาแล้ว ” นางก้มบอกบุตรชายที่ขาวอ้วนจ้ำม่ำน่ารักในวงแขนเหิงซื่อหลุนกระโดดลงจากหลังม้าแล้วรีบเดินเข้าไปสวมกอดทั้งคู่ทันที
“ พ่อคิดถึงเจ้าเหลือเกิน หมั่นโถวน้อย ๆ ของพ่อ ”
เขาว่าพลางทำทีจะหอมแก้มบุตรชาย ทว่ากลับชะงักไว้
“ ข้าคงต้องอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน มิอยากให้คาวเลือดและเหงื่อไคลเปรอะเปื้อน แล้วนี่เสด็จพ่อไปไหนเสียเล่า เห็นทุกคราวท่านต้องออกมารอรับ ”
“ เสด็จพ่อไปสวดมนต์ที่วัดวิหารฟ้าเพคะ เพื่อให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ” คำตอบของชายาทำให้เขายิ้มอย่างปลาบปลื้ม
“ เสด็จพ่อช่างเป็นห่วงเป็นใยพี่ยิ่งนัก ”
“ ถ้าเช่นนั้นเสด็จพี่ไปพักก่อนเถอะเพคะ กว่าเสด็จพ่อจะเสด็จกลับก็คงเย็นย่ำ ข้าจะไปดูแลเสด็จพี่เอง ” องค์หญิงกล่าวพลางหันไปส่งร่างปุ้มปุ้ยที่หลับสนิทของบุตรชายให้กับนางกำนัลผู้มีหน้าที่ดูแล
“ พี่เจียหลัน ดูแลลูกข้าด้วย ”
“ องค์หญิงไม่ต้องห่วงนะเพคะ ใช้เวลาปรนนิบัติท่านเจ้าเมืองให้เต็มที่ กระหม่อมจะดูแลพระโอรสเป็นอย่างดี ”
เจียหลันกล่าวอย่างรู้เท่าทัน ก็ท่านเจ้าเมืองนั้นรักพระชายาเสียเหลือเกิน ยิ่งหากได้ห่างกันไปถึงสองคืนสามวันเช่นนี้ เห็นทีจะต้องแสดงความรักกันอย่างถึงอกถึงใจ
“ ถ้าเช่นนั้นข้าฝากด้วยนะเจียหลัน ข้ามีหน้าที่สำคัญต้องไปทำ ”
“ หน้าที่อะไรหรือเพคะ เสด็จพี่จะเข้าห้องทรงงานก่อนหรือ ” องค์หญิงซูเม่ยถามอีกฝ่ายส่ายศีรษะ
“ พี่จะทรงงาน แต่สถานที่คือห้องบรรทม ”
“ งานอะไรหรือเพคะ เหตุใดจึงทำในห้องบรรทม ” พระชายาถามอย่างพาซื่อ
“ ก็งานทำลูกไงล่ะ ” ท่านเจ้าเมืองตอบฉะฉาน เล่นเอาทั้งชายาและเหล่าข้าราชบริพารบริเวณนั้นหน้าแดงก่ำไปตาม ๆ กัน ก่อนจะเขาจะเดินเข้าไปช้อนอุ้มนางไว้ในวงแขนแล้วพาออกในทันที
“ เสด็จพี่ พูดอะไรก็ไม่รู้ต่อหน้าคนอื่นมากมาย ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ น่าอายนี่เพคะ ”
“ อายทำไม ทุกคนในเมืองนี้รู้ว่าพี่รักเจ้าแค่ไหน พี่จะแสดงความรักให้เจ้ามันผิดหรือ หากเป็นไปได้พี่อยากจะขย้ำกินเจ้าทันทีที่กระโดดลงจากหลังม้าด้วยซ้ำ ”
“ พูดอะไรก็ไม่รู้ ” นางงึมงำอยู่ที่แผงอกด้วยความเขินอาย กิริยานั้นยิ่งปลุกปั่นให้เขาคลั่ง
“ สามวันแล้วที่พี่ไม่ได้รักเจ้า เมียรัก พี่ทนไม่ไหวแล้ว ” เขากระซิบอยู่แนบริมฝีปากนาง ดวงตารุ่มร้อนแผดเผาให้ในกายนางเต้นเร่าเช่นเดียวกัน
“ ข้าก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ” นางตอบกลับ นั่นทำให้ความอดทนของท่านเจ้าเมืองขาดสะบั้น เขาเลี้ยวแวะที่อุทยานที่เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับสวยงามก่อนจะถึงห้องบรรทม เลือกวางนางลงบนพื้นใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ล้อมรอบมีพุ่มไม้บดบัง
“ เสด็จพี่จะทำอะไรเพคะ ” นางถามเมื่อเขาสาละวน ปลดเปลื้องอาภรณ์ของทั้งคู่ด้วยความรีบเร่ง
“ พี่หิวเจ้าเหลือเกิน พี่จะเอาเจ้าตรงนี้ ” ว่าก่อนจะกระชากอาภรณ์ของนางออกจนเปลือยเปล่าท้าทายแสงตะวันยามบ่าย ตามด้วยของตนเอง