จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 400 เสื้อคลุมหนังมนุษย์
หลี่มู่ตกใจเป็นอย่างมาก
วิชาที่หมิงเยวี่ยใช้คือวิชาเต๋า ไม่ใช่วิชาวรยุทธ์สังหารอย่างในโลกใบนี้ เมื่อครู่นางบอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของขอทานเฒ่าจั่วลู่อี้ หรือที่แท้จั่วลู่อี้จะเป็นคนจากนอกพิภพ?
มิฉะนั้นจะถ่ายทอดวิชาเต๋าให้นางได้อย่างไร
ส่วนคนพรรคกระยาจกคนอื่นๆ มองไม่ค่อยเข้าใจวิชาดอกบัวขาวกลางฟ้าครามที่ปรากฏเบื้องหลังหมิงเยวี่ย แต่กลับตกตะลึงที่คุณชายหน้าขาวเหลียงจื้อพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้
ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เหลียงจื้อผงาดขึ้นมารวดเร็วมาก นอกจากจะมีการอบรมฝึกฝนจากประมุขพรรค ‘ยาจกเทพ’ ความแข็งแกร่งของพละกำลังและพลังฝึกก็เป็นเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่ง วรยุทธ์ในกายแปรสภาพเข้าไปในพัด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพ่ายแพ้ ยามเผชิญหน้ากับศัตรู โดยพื้นฐานแล้วคือบดขยี้ผู้อื่น น้อยครั้งนักที่จะมีคนมองตื้นลึกหนาบางของเขาออก อีกทั้งผลงานการต่อสู้อยู่เหนือกว่าหลี่อวิ๋นเทา คนมมากมายเคารพยำเกรง
แต่ใครจะรู้ ไม่นึกเลยว่าจะแพ้ให้กับเด็กสาวคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็โผล่มาเช่นนี้
คนที่มีปัญญายิ่งมองออกว่านี่ยังเป็นเพราะเด็กสาวชื่อหมิงเยวี่ยหยั่งเชิงเล็กน้อยด้วยซ้ำ หากนางสำแดงภาพเหตุการณ์ประหลาด ‘บัวขาวกลางฟ้าคราม’ ตั้งแต่ทีแรก เกรงว่าเหลียงจื้อคงรับมือได้แค่ไม่กี่อึดใจ
รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
หมิงเยวี่ยชนะ ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ นางจะกลายเป็นประมุขพรรคคนใหม่
แต่พรรคกระยาจกหลายคนต่างมองหน้ากันไปมา
จะให้เด็กสาวอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งปกครองดูแลพรรคอันดับหนึ่งของซ่งเหนือจริงหรือ จะเป็นเด็กเล่นขายของไปหน่อยกระมัง ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ดูจากคำพูดของเด็กคนนี้เมื่อครู่ก็พึ่งพาไม่ได้สุดๆ แล้ว
สีหน้าของเหลียงจื้อย่ำแย่ยิ่งนัก
ตำแหน่งประมุขพรรคที่อยู่ในกำมือกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว เท่ากับเป็ดที่ต้มสุกบินหนีไปชัดๆ
แต่เขาก็หวาดหวั่นนัก
เพราะตอนที่คู่ต่อสู้สำแดงภาพวิชาเต๋า ใบบัวนั้นขยับเพียงเล็กน้อย พลังแห่งเต๋าก็กดอัดเข้ามาราวโม่หิน เขามั่นใจว่า หากเมื่อครู่ตนถอยมาช้าอีกแค่เล็กน้อย เกรงว่าคงจะถูกบดขยี้จนเป็นเศษผงเหมือนพัดนั่นไปแล้ว
“ว่าอย่างไร?” หมิงเยวี่ยมองไปยัง ‘ยาจกเทพ’ อย่างระริกระรี้
‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ซุนฉางเฟิงและ ‘หมัดเทวะร้อยลี้’ กัวปู๋เอ้อร์ก็มอง ‘ยาจกเทพ’ ด้วยเช่นกัน
‘ยาจกเทพ’ หน้าเปลี่ยนสี แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจ ยิ้มขื่นพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางหมิงเยวี่ยชนะ เช่นนั้นนับจากวันนี้ไป ประมุขพรรคกระยาจกก็คือแม่นางหมิงเยวี่ยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าแม่นางเตรียมจะดูแลพรรคกระยาจกอย่างไร และจะสู้กับศัตรูภายนอกอย่างพรรคมารโลหิตอย่างไร?”
หมิงเยวี่ยกล่าวเหมือนเรื่องย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว “คำเดียว ฆ่า ไม่ฟังความ ฆ่า คัดค้านข้า ฆ่า เป็นปฏิปักษ์กับข้า ฆ่า พรรคจันทราโลหิต ฆ่ามันให้หมด”
‘ยาจกเทพ’ เอ่ยอันใดไม่ออก
ซุนฉางเฟิงกับกัวปู๋เอ้อร์นิ่งงัน
บ้าเลือดเกินไปกระมัง?
โดยรอบเวทีหิน ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือพรรคกระยาจกหลายหมื่นคนก็ฮือฮากันทั่วทันที ประมุขพรรคคนใหม่จะเรียบง่ายและป่าเถื่อนขนาดนี้เชียว?
แต่ว่า หากสังหารศัตรูอย่างพรรคจันทราโลหิตได้หมดจริง เช่นนั้น…แค่คิดก็เลือดร้อนฮึกเหิมแล้ว
มีแค่หลี่มู่กับชิงเฟิงท่ามกลางฝูงชนเท่านั้นที่อดหัวเราะไม่ได้ ใช้ได้เลย นี่ดูเป็นหมิงเยวี่ยมาก นางในตอนนี้ถึงจะนับว่ามีท่าทางอย่างเด็กหน้ามึนโดยธรรมชาติในตอนนั้น เป็นตัวตนที่แท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดี เช่นนั้นข้าขอประกาศ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ประมุขพรรคกระยาจกก็คือแม่นางหมิงเยวี่ย นี่คือสัญลักษณ์ของพรรคเรา แม่นางโปรดรับไว้ด้วย” ‘ยาจกเทพ’ ยิ้มขื่น พลิกมือดึงไม้เท้าที่ปักอยู่บนเวทีหินก่อนหน้านี้ขึ้นมา หลังใช้วิชาลับกระตุ้นก็เห็นผิวนอกหลุดลอกออกไป เผยให้เห็นหยกเขียวใสก้อนหนึ่งด้านใน ขนาดประมาณนิ้วมือ ยาวราวสี่ฉื่อ ผิวด้านนอกเป็นลวดลายธรรมชาติที่ประหลาด อีกทั้งเหมือนลวดลายเต๋าที่ใช้อิทธิฤทธิ์วิชาประทับลงไป ท่วงทำนองแห่งเต๋าเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวจางหาย พิสดารเป็นที่สุด
หลี่มู่มองจากไกลๆ ในใจตื่นตะลึง
หรือจะเป็นไม้เท้าตีสุนัข?
ไม่หรอก หากไม้เท้านี่ชื่อไม้ตีสุนัขเหมือนกันจริง มันจะเหมือนกันเกินไปหน่อยแล้ว
หมิงเยวี่ยรับไม้เท้ามาด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อสะบัดข้อมือ เส้นเงานับไม่ถ้วนก็สั่นไหวออกมาเหมือนงูเขียว อากาศทลายลงตรงหน้าไม้เท้าทันที เส้นแสงราวกับบิดเบี้ยว จากนั้นปะทุเสียงสายฟ้าฟาด ทว่าไม้เท้าอ่อนนุ่มแข็งแรงยิ่ง ไม่หักพังแต่อย่างใด
นางเอ่ยอย่างแปลกใจ “โอ๊ะ ทนทานดีนี่ นี่คือไม้เท้าเทพแห่งสรรพสิ่งที่ตาแก่หนังเหนียวตายยากจั่วลู่อี้บอกอย่างนั้นหรือ”
แม่เด็กนี่ เมื่อครู่มีความคิดจะทำลายไม้เท้านี้
พรืด
หลี่มู่เกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้ว
ไม้เท้าเทพแห่งสรรพสิ่ง?
ชื่อนี้…ถึงจะไม่เหมือนกับไม้ตีสุนัข แต่ก็น่าตกใจมาก
เหล่าบรรพชนของพรรคกระยาจกไม่มีความรู้ก็เลยตั้งชื่อซี้ซั้วแบบนี้หรือ?
‘ยาจกเทพ’ พยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว นี่ก็คือ ‘ไม้เท้าเทพแห่งสรรพสิ่ง’ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจสูงสุดของพรรคเรา ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ทั้งพรรคกระยาจกก็เป็นของเจ้าแล้วเช่นกัน หวังว่าเจ้าจะนำพาพรรคของเราให้เจริญรุ่งเรืองได้ ข้า…” พูดแล้วสีหน้าเขาก็ค่อยๆ ซีดเผือด ร่องรอยความตายอันรางเลือนปรากฏบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บภายในสาหัส เก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไป ใกล้จะทนไม่ไหวแล้วเต็มที
สองยอดผู้อาวุโส ‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ซุนฉางเฟิงและ ‘หมัดเทวะร้อยลี้’ กัวปู๋เอ้อร์เห็นภาพนี้ ในดวงตาก็ฉายแววสงสัย หรือก่อนหน้านี้สิ่งที่เจ้าคนบ้าจั่วลู่อี้พูดมาจะแต่งขึ้นมั่วซั่ว?
ทั้งสองค่อนข้างประทับใจ
อย่างไรเสีย ‘ยาจกเทพ’ ก็ปกครองพรรคกระยาจกมาหลายร้อยปี พูดได้ว่าสร้างผลงานมากมาย พวกเขาเคยเห็น ‘ยาจกเทพ’ รับสืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคกระยาจก จึงมีความรู้สึกอาลัยอยู่บ้าง
ขั้นตอนการขึ้นเป็นประมุขพรรคกระยาจกของหมิงเยวี่ยราบรื่นมาก
‘ยาจกเทพ’ ฝืนยืนหยัดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ดูพิธีรับตำแหน่งจนเสร็จสิ้น ศิษย์พรรคกระยาจกรอบๆ ก็ยอมรับความจริงนี้แล้ว ถึงแม้หมิงเยวี่ยจะดูพึ่งพาไม่ได้อย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน นางต่อสู้เก่ง เหลียงจื้อยังสู้นางไม่ได้ วันหน้าหากพรรคกระยาจกเจอกับศัตรู ด้านกำลังรบของประมุขพรรคอย่างน้อยๆ ก็แข็งแกร่ง ต่อไปรับมือกับพรรคจันทราโลหิตก็จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
อีกทั้งประมุขพรรคคนใหม่นี้ยังโหดเหี้ยมอีกด้วย อ้าปากก็บอกฆ่าๆๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบุคคลจำพวกชั่วร้าย
ถึงอย่างไร ยอดผู้อาวุโสทั้งสองกับประมุขพรรคก็ยอมรับแล้ว เหลียงจื้อก็ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไม่มีใครคัดค้าน มิสู้ยอมรับไปเสีย ดีกว่าเป็นมังกรไร้หัว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ยอดฝีมือพรรคกระยาจกมากมายก็รู้สึกว่าเรื่องวันนี้ค่อนข้างเหมือนเด็กเล่นไปนิด
“ยอดผู้อาวุโสทั้งสอง ข้าไม่ไหวแล้ว วันหน้าขอท่านทั้งสองช่วยเหลือให้มาก สนับสนุนหมิงเยวี่ย ส่งเสริมให้พรรคกระยาจกรุ่งเรือง อย่างไรเสียเด็กคนนี้ก็ยังนิสัยดื้อดึงอยู่…” ‘ยาจกเทพ’ ประหนึ่งหลุดพ้นแล้ว ลมหายใจแผ่วเบา พยายามดิ้นรนยืนขึ้นมาคารวะยอดผู้อาวุโสทั้งสอง และฝากฝังเรื่องหลังความตาย
กัวปู๋เอ้อร์และซุนฉางเฟิงสองยอดผู้อาวุโสเห็นเขาทำเช่นนี้ก็ทอดถอนใจอยู่ในใจ ต่างเข้ามาประคองไว้
ทว่าตอนนี้เอง ยาจกเทพพลันลงมือ
หมัดสองหมัดประทับไปบนอกของยอดผู้อาวุโสทั้งสอง ‘ยาจกเทพ’ ที่แต่เดิมใจจะขาดอยู่รอนๆ กลับแข็งแกร่งขึ้นมาทันใด กลิ่นอายราวคลื่นคลั่ง เลือดลมประดุจมหาสมุทร พลังที่น่าหวาดหวั่นปะทุออกจากสองหมัดของเขา ปะทะเข้าไปในร่างของซุนฉางเฟิงและกัวปู๋เอ้อร์…
“อึก!”
“สมควรตาย”
สองยอดผู้อาวุโสกระอักโลหิต บาดเจ็บสาหัสทันที
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นขั้นเทวะมากฝีมือ มีประสบการณ์การต่อสู้มากมายนัก ปฏิกิริยาตอบสนองก็ว่องไวมาก จึงลงมือไปในเวลาเดียวกัน ‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ยกมือซัดลำแสงสายหนึ่งโจมตีไปยังหน้าผาก ‘ยาจกเทพ’ ส่วน ‘หมัดเทวะร้อยลี้’ กัวปู๋เอ้อร์ซัดตราหมัดปะทะไปที่หน้าอกของ ‘ยาจกเทพ’…
ร่างเงาทั้งสามกระเด็นออกไปหลายพันจั้ง
โลหิตสาดกระจายทั่วท้องฟ้า
ในขณะเดียวกัน เหลียงจื้อที่เงียบไม่พูดไม่จาเหมือนยอมรับชะตากรรมกลับแปลงเป็นร่างเงาประหนึ่งภูตผี ฝ่ามือทั้งสองกุมกระบี่ลอบโจมตีสังหารไปยังหมิงเยวี่ย ช่วงที่เขาลงมือแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับ ‘ยาจกเทพ’
“ฮิๆ ลอบทำร้ายข้า?” หมิงเยวี่ยหัวเราะ กำไลสีเงินที่ข้อมือสองวงทำงานขึ้นมาเอง พันล้อมรอบกายนางไว้คล้ายแสงเงินสองสายในพริบตา แสงเงินเป็นชั้นๆ หมุนวนสกัดกั้นการโจมตีของเหลียงจื้อเอาไว้ เพียงแต่ร่างถูกสะเทือนลอยออกไปสี่ห้าจั้งถึงจะฝืนร่อนลงพื้นได้
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลัน เร็วประดุจฟ้าฟาดไม่ทันได้อุดหู
ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายรอบๆ อึ้งตะลึงไปทันใด
เกิดอะไรขึ้น?
“ฮ่าๆๆๆ…ในเมื่อแผนแรกดำเนินการไม่ได้ เช่นนั้นก็ใช้แผนที่สอง นับจากวันนี้ไป ซ่งเหนือไม่มีพรรคกระยาจกอีกต่อไปแล้ว” ‘ยาจกเทพ’ หัวเราะด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม
เขาลงมาบนพื้น ฝีเท้าซวนเซ หน้าผากมีกระบี่เล่มเล็กสีเงินแทงทะลุ ปลายกระบี่โผล่ออกมาจากท้ายทอย เลือดไหลรินเป็นสาย ส่วนหน้าอกนั้นยุบลงไป อกซ้ายถูกโจมตีจนแหลกเห็นกระดูกขาวโพลน นี่คืออาการบาดเจ็บที่ ‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ซุนฉางเฟิงและ ‘หมัดเทวะไร้เงา’ กัวปู๋เอ้อร์โจมตีกลับตามสัญชาตญาณอย่างกะทันหัน แต่พลังชีวิตของเขาพอกพูน เหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บเลยอย่างไรอย่างนั้น
“สารเลว!”
“นี่เจ้าสมคบกับปีศาจร้ายนอกพิภพจริงๆ?”
กัวปู๋เอ้อร์และซุนฉางเฟิงยอดผู้อาวุโสทั้งสองมอง ‘ยาจกเทพ’ สีหน้าตื่นตะลึงระคนโกรธแค้น
กระดูกหน้าอกของทั้งสองหักสิ้น อวัยวะภายในเสียหาย ละอองพลังสีดำที่ประหลาดชั่วร้ายเป็นสายๆ หลั่งไหลออกมา ราวกับเปลวไฟประเภทกัดกร่อน เผาไหม้ร่างกายของสองขอทานเฒ่า
รอบเวทีหิน ยอดฝีมือพรรคกระยาจกทั้งหลายรวมถึงหลู่ฉางฟู่ ตอนนี้พอจะตั้งสติกลับมาได้ เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น ต่างมอง ‘ยาจกเทพ’ อย่างตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ประมุขพรรคของพวกเขาหักหลังพรรค?
นี่มันภาพอะไรกัน
“ชั่วช้า เจ้าเป็นประมุขพรรคแล้ว ยังมีอะไรไม่พอใจอีกถึงได้ไปเข้ากับปีศาจร้ายนอกพิภพ?” ‘หมัดเทวะร้อยลี้’ กัวปู๋เอ้อร์จับจ้อง ‘ยาจกเทพ’ อย่างโกรธแค้น ดูท่าทางจั่วลู่อี้จะพูดถูก ความเสียหายของพรรคกระยาจกในช่วงนี้ล้วนมีสาเหตุจากประมุขพรรคผู้นี้
“ฮ่าๆๆ ไอ้แก่ตายยาก เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ?” ‘ยาจกเทพ’ หัวเราะร่าเสียงดัง เขาคว้าหนังหัวของตัวเองแล้วกระชากโดยพลัน
เขาดึงหนังหัวของตัวเองออกมา จากนั้นก็ราวกับบ้าคลั่ง ฉีกกระชากไปยังหน้า ลำตัว แขน และเอว หนังมนุษย์ถูกฉีกออกมาเป็นแผ่นใหญ่ๆ และสิ่งที่เผยให้เห็นข้างใต้กลับไม่ใช่กล้ามเนื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่เป็นสิ่งแปลกพิลึกเหมือนหินผาสีดำ
ไม่นานนัก ‘ยาจกเทพ’ ฉีกผิวหนังของตัวเองออกมาทั้งหมด ร่างขยายใหญ่ สุดท้ายกลายเป็นคนยักษ์ศิลาดำสูงหนึ่งจั้งกว่า แสงเพลิงสีแดงเข้มหมุนวนไปตามรอยหินที่คล้ายกล้ามเนื้อประดุจหินหนืด กลิ่นอายเหี้ยมโหดหอบม้วนไปทั่วหาดกองหิน
“ยาจกเทพ? มันตายไปตั้งนานแล้ว เจ้าแก่นั่นกระดูกแข็งนัก ไม่ยอมก้มหัวให้ ดังนั้นข้าเลยถลกหนังทำเป็นเสื้อคลุมหนังมนุษย์เสีย แต่น่าเสียดาย คุณภาพหนังมนุษย์แย่นัก ใส่แค่ปีหนึ่งก็ขาดเสียแล้ว ข้าจึงมอบตำแหน่งประมุขพรรคให้กับคู่หูของมัน ใครจะรู้…” ตัวประหลาดหัวเราะลั่น น้ำลายหินหนืดไหลย้อยออกจากปาก เมื่อหยดลงบนพื้นก็เกิดเป็นไฟกองหนึ่งทันที จากนั้นหัวเราะลากเสียงยาว “ในเมื่อถูกพวกเจ้าบีบให้ร่างแท้จริงของข้าออกมา เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตายเสียเถอะ”
เปลวเพลิงที่โหดเหี้ยมน่ากลัวลุกโหมไปทั้งสาขาหลักของพรรคกระยาจก
………………………………………