จอมยุทธ์พลิกผันยุทธภพ - ตอนที่ 1: ป๋ายเฉิน
บทที่ 1 – ป๋ายเฉิน
สำนักแห่งนี้จะแบ่งออกเป็นสำนักด้านล่างกับสำนักด้านบน.. สำนักด้านบนจะตั้งอยู่ในทางทิศตะวันออกของสำนัก
ส่วนด้านล่างจะอยู่ด้านทิศตะวันตกดินที่ติดกับทะเล ซึ่งแน่นอนว่าด้านบนคือเขตที่อาศัยอยู่ของศิษย์ชั้นบนๆ …
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าด้านล่างของสำนักจะมีแต่พวกศิษย์ชุดเทา.. เพราะด้านล่างพื้นที่กว่าห้าในสิบส่วนล้วนเป็นที่ฝึกปรือวิชาของเหล่าศิษย์
และในลายกว้างแห่งหนึ่ง.. ศิษย์ชุดฟ้าก็กำลังฝึกวิชาโดยมีผู้อาวุโสกำลังให้คำแนะนำอยู่..
เบื้องหน้าของศิษย์ชุดฟ้าหลายสิบคนมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ถูกควบคุมด้วยวิธีการพิเศษบางอย่างทำมันเกิดขึ้นมากลางลานกว้างแห่งนี้
ผู้อาวุโสท่านที่กำลังให้คำแนะนำศิษย์ชุดฟ้า.. ท่านมีชื่อว่า เป่ยเซวีย ในมือเขามีกระบี่เล่มหนึ่งลอยอยู่บนมือของเขา
ซึ่งกระบี่เล่มนี้ที่ถูกควบคุมโดยเป่ยเซวียมันก็ราวกับมีชีวิตและสามารถตัดทุกอย่างที่ตามต้องการได้
เป่ยเซวียกวาดตามองเหล่าลูกศิษย์พร้อมกล่าวคำอธิบาย
“อย่างที่ข้าบอกไปแล้วว่า.. วิชาหมื่นกระบี่เทพมรกต นั้นคือวิชาที่หลอมรวมจิตใจให้ผสานเป็นหนึ่งกับกระบี่ เจ้าจงคะนึงไว้ว่าตัวเจ้าคือกระบี่ ตัวกระบี่ก็คือเจ้า เมื่อจิตใจหลอมผสานเป็นหนึ่งไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนในยุทธภพ.. ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สามารถเป็นกระบี่ได้”
“วิชานี้จะแบ่งออกเป็นสามขั้นหลักๆ .. พวกเจ้าก็พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้วข้าคงไม่ต้องอธิบายหรอกนะว่าขั้นที่หนึ่งคือต้องหลอมจิตเป็นกระบี่”
เป่ยเซวียกล่าวขึ้นเช่นนั้น เขาก็กวาดตาผ่านเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตั้งคำถามเขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
ขั้นที่หนึ่งหลอมจิตเป็นกระบี่.. เมื่อทำสำเร็จทุกอย่างในร่างกายของเราล้วนแต่กลายเป็นกระบี่ได้!นี่แหละคือรากฐานของวิชาหมื่นกระบี่เทพมรกต
และเขามั่นใจว่าลูกศิษย์ชุดฟ้าที่อยู่ตรงหน้าเขาทุกคนล้วนแล้วแต่ฝึกสำเร็จแล้ว
เป่ยเซวียกล่าวต่อ
“ในส่วนของขั้นที่สองนั้นคือการ.. ผสานจิตเข้ากับธรรมชาติ หล่อหลอมจิตสัมผัสให้ตนเองนั้น.. สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เปลี่ยนอากาศธาตุเป็นคมกระบี่…พวกเจ้าเองก็คงฝึกสำเร็จแล้วกระมัง”
“ไม่สิ.. หากพวกเจ้าที่เป็นถึงศิษย์ชุดฟ้ายังฝึกไม่สำเร็จแล้วละก็ ข้าคงต้องไล่พวกเจ้ากลับไปเป็นพวกชุดเทาไหมแล้ว”
เขากล่าวแบบนั้น แน่นอนว่าวิชานี้คือหนึ่งในวิชาที่ดีที่สุดในสำนักและเป็นวิชาที่ฝึกยากยิ่งยวด
แต่คำพูดของเป่ยเซวียเขาพูดราวกับว่าการฝึกวิชานี้มันง่ายขนาดใครๆ ก็ฝึกได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนหลายสิบคนก็เป็นถึงศิษย์ชุดฟ้า
พวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะนี้กลุ่มคนหลายแสนคน.. นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเก่งกาจขนาดไหน
ในยุคที่ไม่สามารถฝึกตบะให้ก้าวหน้าได้เช่นนี้ สิ่งที่พวกนักพรตทำล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกปรือวิชาเท่านั้นแหละ
ซึ่งบางทีจำนวนวิชาที่พวกเขาตระหนักรู้แจ้งอาจจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพวกเขาอยู่มีคุณค่าขนาดไหนมากกว่าระดับตบะลมปราณด้วยซ้ำ
เหล่าศิษย์ชุดเหลืองและพวกชุดเทาเองก็ดูภาพเหล่านี้อยู่เช่นกัน ซึ่งพวกเขาแค่ได้ยินชื่อวิชาก็ต่างพากันสูดลมหายใจพร้อมกับกล่าวกระซิบกระซาบ
“ถึงผู้อาวุโสเป่ยจะกล่าวแบบนั้นก็เถอะ แต่ข้าได้ยินมาว่าศิษย์สิบคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีโอกาสได้เป็นศิษย์โดยตรงกันทุกคน”
“ถ้าหากเจ้าอยากโดนตัดหัวก็ลองพูดดังกว่านี้สิ!”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในกลุ่มลูกศิษย์ชุดเหลืองกับชุดเทา.. อันจริงในสิบคนนั้นมีคนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ
เขาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ใบหน้าคม.. ทั้งยังมากด้วยพรสวรรค์ ชายผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็มีพรสวรรค์ของวิถีกระบี่
‘หลินฟาง’ นั่นคือนามของเขา หลินฟางเพียงแค่ยืนอยู่ในกลุ่มคนสิบคน แต่เขายังดูโดดเด่นเป็นพิเศษ พร้อมทั้งใบหน้ารูปหล่อของเขาทำให้ศิษย์ที่เป็นผู้หญิงเขินอายได้
“ส่วนขั้นที่สาม.. หลินฟาง ข้าจะให้เจ้าแสดงให้ทุกคนดูเอง”
“รับคำสั่งผู้อาวุโส”
หลินฟางกล่าวเสียงแข็งด้วยความมั่นใจ อันที่จริงวิชาหมื่นกระบี่เทพมรกตคือวิชาจากสายตระกูลของเขา
ใช่แล้ว ตระกูลเขาเป็นตระกูลที่เป็นส่วนหนึ่งของสำนักมาอย่างช้านาน ตัวเขาสามารถเป็นได้แม้แต่ศิษย์โดยตรงตั้งแต่เกิดด้วยพรสวรรค์ของเขา
แต่ทว่าก็ยังมีอีกหลายอำนาจที่ไม่ต้องการแบบนั้น พวกเขาให้เหตุผลว่าทำแบบนั้นไม่ต่างจากการโกง.. ทำให้หลินฟางนั้นต้องเริ่มจากศิษย์ชุดเหลืองเหมือนคนอื่น
แต่ไม่นานเขาก็ไต่ขึ้นมาเป็นศิษย์ชุดฟ้าได้ แต่ความสามารถของเขานั้นแทบจะไม่ต่างจากศิษย์โดยตรงด้วยซ้ำ
แถมพี่สาวของเขายังเป็นถึง ‘ศิษย์มรกต’ อีก กล่าวคือไม่ว่าจะไปไหนในสำนักเขาสามารถอวดเบ่งบารมีได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง
หลินฟางก้าวออกมาข้างหน้า ด้านหน้าเขามีต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง… ผู้อาวุโสเป่ยเซวียกล่าวอธิบายขึ้น
“แม้สองขั้นก่อนสำหรับพวกเจ้าจะผ่านมาได้แล้ว.. แต่ขั้นที่สามถือเป็นขั้นที่ไม่สามารถไปถึงได้ง่ายๆ วิชานี้จึงแยกขั้นสามออกเป็นสองแบบ”
“แบบแรกคือแบบง่าย.. นภาสิ้นเสียง เป็นวิชาลับที่จะโจมตีออกไปด้วยความเร็วที่ทะลุขีดจำกัดของกำแพงเสียง”
“แต่หารู้ไม่ว่า.. ขั้นสามที่แท้จริงของมันคือ ‘ไร้คมศาสตรา’ .. เป็นกระบวนท่าที่จะใช้กระบี่แต่กลับไม่เห็นแม้แต่กระบี่ รวดเร็วเหนือกว่าทุกการรับรู้”
ท่านกล่าวแบบนั้นและในพริบตานั้นเองต้นไม้ทั้งต้นที่อยู่ต่อหน้าหลินฟางก็สั่นอย่างรุนแรง และใบไม้เกือบห้าในสิบก็ร่วงลงมาทันที
ใบไม้ที่ร่วงลงมานั้นมันมีมากกว่าร้อยอย่างแน่นอน.. ดวงตาของหลินฟางหดเล็กลง..
“วิชาหมื่นกระบี่เทพมรกต ขั้นสุดท้าย ‘ไร้คมศาสตรา’ !”
สิ้นเสียงเขากระบี่ที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็หายวับไปในชั่วพริบตาเดียวทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมา ใบไม้ทุกใบโดนกระบี่ตัดอย่างรวดเร็ว..
แต่ในตอนนั้นเองสมาธิของหลินฟางก็หลุดไปเพราะสายตาหันไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่นอกสนามฝึกฝน
หญิงสาวคนนั้นมียาวสลวย อาภรณ์ขาวสะอาดสะกดทุกผู้คน.. นางคือ ‘หลี่หยู’ หนึ่งในศิษย์สืบทอดคนหนึ่ง
เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเห็นนางอยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะศิษย์สืบทอดน่าจะอยู่ที่ฝึกเฉพาะของผู้อาวุโสไม่ใช่หรืออย่างไร?
แน่นอนว่าหลี่หยูคือคนที่หลินฟางตกหลุมรัก แต่ตระกูลพวกเขาไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่เลยทำให้ยากจะใกล้ชิด แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่เคยยอมแพ้
แต่แน่นอนว่าที่ทำให้เขาสมาธิหลุดนั้นไม่ใช่เพราะหลี่หยู.. แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเคียงข้างนางอยู่ต่างหาก!
ชายคนนั้นเป็นเพียงแค่ศิษย์ชุดเหลือง.. ใช่ เป็นแค่ศิษย์ชุดเหลืองชั้นต่ำสำหรับเขาบังอาจมาเดินเคียงข้างดอกฟ้าของเขา
แถมเจ้าผู้ชายคนนั้นมือข้างหนึ่งก็เหมือนจะถือตะเกียบที่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นตะเกียบธรรมดา แต่ถึงแบบนั้นมันก็เหมือนโอ้อวดจะเดียวอันนั้นอยู่
ซึ่งหลี่หยูที่ไม่ใช่คนประเภทสนใจอะไรไร้สาระ กลับทำท่าทางเหมือนหัวเราะออกมาซึ่งแม้เขาจะไม่รู้ว่าชายคนนั้นมันพูดอะไร
แต่หลี่หยูที่ขำออกมาก็ยังเป็นความจริง!ศิษย์ชุดเหลืองคุยกับศิษย์สืบทอดอย่างสนิมชิดเชื้อ.. มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ไงกัน!
ดวงตาของหลินฟางเผยความโกรธออกมาครู่หนึ่ง กระบี่เล่มนั้นที่ร่ายวิชาอยู่ก็หลุดออกจากการควบคุมพุ่งออกนอกสนามฝึก
“หลินฟาง!เจ้าทำบ้าอะไร!”
แม้คนอื่นจะมองไม่ทันแต่เป่ยเซวียกลับมองทัน เขาเห็นเจนว่ากระบี่มันพุ่งออกไปยอดสนามด้วยความเร็วสูงพุ่งไปทาง.. หลี่หยูและชายคนนั้นอยู่
คนที่สังเกตเห็นกระบี่นั่นต่อจากเป่ยเซวียคือหลี่หยู นางเบิกตากว้างเล็กน้อยแต่มันก็สายเกินไปแล้วเพราะอีกไม่กี่นิ้วกระบี่ก็พุ่งแทงใส่ชายตรงหน้าแล้ว
“สหายป๋ายเฉิน! ระวังด้านหลัง”
“เจ้าฟังนะ ตะเกียบนี้มันดีจริงๆ นะ ถ้าปาไปละก็มันก็ไม่ต่างจากวิชากระบี่จริงๆ นะ”
ชายคนนั้นเหมือนจะไม่สนใจคำแนะนำของหลี่หยู จนกระบี่แทบจะปักเข้าที่กลางหัวของเขาแล้วทว่าในตอนนั้นเองมือที่ถือตะเกียบของเขาอยู่ก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ตามองไม่ทัน
ก่อนที่จะใช้… ตะเกียบหยุด… กระบี่เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ทันทีว่านี่เป็นกระบี่ที่พุ่งมาจากทางไหน เขาหันไปหาหลินฟางพร้อมกับทำสีหน้ากึ่งบึ้งกึ่งตึง
เขาโยนกระบี่พุ่งกลับไปหาหลินฟางด้วยความเร็วเท่ากับที่พุ่งมาพร้อมกล่าว..
“สหายนักพรตท่านนั้น.. นี่คงเป็นกระบี่เจ้าใช่หรือไม่?”
“ข้าจะขอแนะนำอะไรสักอย่างนะ..”
“ถ้าอยากจะลอบโจมตีข้า…”
“ข้าขอแนะนำให้… ซื้อตะเกียบบินได้อันนี้ดีกว่านะ!”
พูดแล้วก็ยกตะเกียบอันเดิมขึ้นมาโชว์ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร