จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 931 ประทับตราด้วยรอยจูบ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 931 ประทับตราด้วยรอยจูบ
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ใช้วิธีการที่ท่านเหอสอนนางช่วยทำให้ร่างกายของกู้จิ่วเยวียนเย็นลงทันที แล้วก็ป้อนยาต้านการอักเสบและยาลดไข้ให้กับกู้จิ่วเยวียน
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เช็ดตัวให้กู้จิ่วเยวียนเมื่อเวลาผ่านไปทุกๆครึ่งก้านธูป เช็ดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าไข้ของกู้จิ่วเยวียนเริ่นลดลงแล้ว เซวียนเอ๋อร์ถึงได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง คนทั้งคนเหนื่อยจนหมดแรง นั่งลงไปกับพื้นโดยตรง
นางยื่นมือไปจับมือของกู้จิ่วเยวียนเอาไว้ “เสด็จอาเก้า ท่านต้องรีบตื่นขึ้นมาเร็วๆนะ” พูดจบ ก็หน้ามืดหมดสติไป
ในตอนที่ท่านเหอเข้ามาดู บังเอิญเห็นเริ่นเซวียนเอ๋อร์หมดสติพอดี เป็นห่วงอย่างยิ่ง ให้คนหามนางออกไปทันที
นังหนูคนนี้เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ต้องไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และกินไม่อิ่มอย่างแน่นอน แล้วก็มาดูแลกู้จิ่วเยวียนอีกทั้งคืน คิดว่าคงจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
หยุนถิงได้ยินว่าเริ่นเซวียนเอ๋อร์หมดสติ ก็ให้คนหามนางไปพักผ่อนที่ห้องรับแขกทันที ยังให้ซูหลินจุดธูปที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายเอาไว้ในห้องโดยเฉพาะ
นังหนูคนนี้เหนื่อยเกินไปแล้ว นางจำเป็นต้องพักผ่อนให้ดี
หยุนถิงไปเยี่ยมกู้จิ่วเยวียนอีกครั้ง ไข้ของเขาลดลงแล้ว ยังคงให้น้ำเกลือต่อไป ท่านเหอกับหมอยมบาลผลัดกันดูแลกู้จิ่วเยวียน หยุนถิงก็วางใจแล้ว
และเริ่นเซวียนเอ๋อร์นอนหลับไปสามวัน ในตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูสภาพแวดล้อมในเรือนที่ไม่คุ้นเคยครู่หนึ่ง คนทั้งคนแข็งทื่อไป
“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
นางจำได้ว่าตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัดแท้ๆ เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่คิดมากอีก ลุกขึ้นและตรงไปนอกประตูทันที ถามองครักษ์เสร็จก็วิ่งไปทางเรือนไผ่
“เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้า!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ยังไม่ทันได้เข้าประตูมา ก็ตะโกนเรียกเสียงดัง
กู้จิ่วเยวียนที่อยู่บนเตียงในเรือนได้ยินเสียงเรียกนี้ ก็ตื่นเต้นจนต้องการจะลุกขึ้นมา ดึงรั้งบาดแผลของร่างกายทำให้เขารู้สึกเจ็บจนสีหน้าซีดขาว ขมวดคิ้วแน่น หว่างคิ้วกลับเต็มไปด้วยความยินดี
“เซวียนเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่!”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี่ ถึงแม้จะอ่อนแรงเล็กน้อย แต่กลับทำให้เริ่นเซวียนเอ๋อร์สบายใจขึ้นไม่น้อย นางวิ่งเข้ามาในสองสามก้าว มองเห็นกู้จิ่วเยวียนที่ยังนอนอยู่บนเตียง น้ำตาไหลลงมาทันที
“เสด็จอาเก้า!” ขณะที่เรียกเริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็กำลังจะกระโจนเข้าไป
“หยุดเลย ห้ามกอดเขา ร่างกายของเขาเพิ่งทำการผ่าตัดเสร็จไม่สามารถแบกรับอ้อมกอดของเจ้าได้!” หยุนถิงกล่าวห้ามทันที
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่วิ่งเข้ามาอยู่ห่างจากกู้จิ่วเยวียนสามสี่ก้าวหยุดฝีเท้าลงทันที “เห็นเสด็จอาเก้าข้าตื่นเต้นเกินไป โชคดีที่เจ้าเตือนสติข้า ข้าไม่กอดแล้ว รอให้เขาหายแล้วข้าค่อยกอด”
“ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ห้ามเคลื่อนไหว ยิ่งห้ามแตะต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามให้ติดเชื้อ อย่างไรเสียก็เพิ่งปลูกถ่ายอวัยวะเสร็จ ยังต้องคอยสังเกตว่ามีสัญญาณที่ร่างกายปฏิเสธปรากฏขึ้นมาหรือไม่ ดังนั้นระยะนี้ต้องคอยระมัดระวังให้ดี” หยุนถิงกล่าวกำชับ
นางเข้าใจความรู้สึกของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ เพียงแต่ว่าการผ่าตัดของกู้จิ่วเยวียนเป็นการผ่าตัดใหญ่ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
“ตกลง ฟังคำเจ้าทั้งหมด” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดจบ ก็หันหน้ามองไปทางกู้จิ่วเยวียน “เสด็จอาเก้าท่านตื่นขึ้นมาช่างดีจริงๆ ข้าคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว”
มองดูเริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่น้ำตาคลอเบ้า กู้จิ่วเยวียนเอ็นดูสงสารอย่างยิ่ง อยากจะยื่นมือเข้ามา แต่ขยับแขนเล็กน้อยก็ดึงรั้งบาดแผล คิ้วขมวดกันเป็นก้อนทันที
“เสด็จอาเก้าท่านอย่าขยับ ข้ามองดูท่านเช่นนี้ก็พอแล้ว ท่านจะเป็นอะไรไปอีกไม่ได้นะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวขึ้นมาทันที
“ระหว่างทางมานี้ลำบากเจ้าแล้ว พักผ่อนให้ดีๆ ซื่อจื่อเฟยบอกแล้วว่าข้าไม่เป็นไรแล้ว พักฟื้นสองสามเดือนก็หายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” กู้จิ่วเยวียนกล่าวด้วยความเอ็นดูสงสาร
“ท่านรู้ว่าข้าลำบากด้วยหรือ ท่านมันคนไร้มโนธรรม ถึงกับทำการผ่าตัดที่อันตรายขนาดนี้โดยไม่บอกข้า หากท่านเป็นอะไรไปจริงๆ ข้าจะไม่ร้องไห้เสียใจเพื่อท่านเด็ดขาด ข้าจะต้องเลือกชายหนุ่มรูปงามเป็นโขยงเข้าวังหลังอย่างแน่นอน นอนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าทุกคืน หนึ่งปีไม่มีซ้ำ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวออกมาประชดประชัน
เดิมทีกู้จิ่วเยวียนยังรู้สึกผิดอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ใบหน้าก็ดำมืดลงมาทันที
“ข้าไม่อนุญาต!”
“ข้าไม่สนหรอกว่าท่านจะอนุญาตหรือไม่ ใครใช้ให้ท่านไม่บอกข้าล่ะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์โต้กลับ
เพราะว่าโกรธเกินไป กู้จิ่วเยวียนไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
“เริ่นเซวียนเอ๋อร์ เสด็จอาเก้าของเจ้าทนให้เจ้าทำให้โกรธไม่ได้หรอกนะ เขาต้องการผักผ่อนร่างกายอย่างสงบ หากเจ้าทำเช่นนี้อีกถึงแม้การผ่าตัดจะสำเร็จแล้ว เขาก็จะโกรธจนบาดแผลและอวัยวะได้รับผลกระทบจนอกแตกตาย” หยุนถิงเตือนด้วยความหวังดี
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ตกตะลึง มองมาด้วยความเป็นห่วง “เสด็จอาเก้าท่านอย่าโกรธไป เมื่อครู่ข้าจงใจทำให้ท่านโกรธ ท่านก็ถือว่าข้าเป็นผายลมแค่ปล่อยข้าออกไปก็พอ”
กู้จิ่วเยวียนที่เดิมทีกำลังโกรธอยู่จู่ๆก็รู้สึกขบขันไปกับนาง นังหนูคนนี้เป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นแล้วยังพูดจบหยาบคายเช่นนี้อีก
“ไม่ง่ายกว่าที่พวกเจ้าสองคนจะได้พบกัน ข้าไม่อยู่เป็นก้างขวางคอที่นี่แล้ว” พูดจบหยุนถิงก็เดินออกไป
หมอยมบาลกับท่านเหอเห็นดังนั้น ก็ตามออกไปเช่นกัน คนหนุ่มสาวสองคนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ห้องผ่าตัดเหลือเพียงเริ่นเซวียนเอ๋อร์กับกู้จิ่วเยวียนเท่านั้น เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูกู้จิ่วเยวียนอย่างไม่ละสายตาอยู่อย่างนั้น บนใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความเป็นห่วงใยและเป็นกังวล
“เสด็จอาเก้า ท่านอย่าโกรธไปเลย ข้าไม่เลือกสนมชายหรอก ถึงแม้จะเลือกก็เลือกท่าน” เริ่นเซวียนเอ๋อร์อธิบายทันที
“อืม ข้ารู้” มุมปากของกู้จิ่วเยวียนยกขึ้นมาอย่างพอใจเล็กน้อย
ความรู้สึกที่นังหนูคนนี้มีต่อเขา กู้จิ่วเยวียนรู้ดีที่สุด
“เช่นนั้นรอให้ท่านหายแล้วเราก็แต่งงานกัน เมื่อก่อนท่านปฏิเสธข้าเพราะสุขภาพไม่ดี ตอนนี้การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้ท่านไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธข้าแล้วใช่ไหม” เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองมาด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง
“ตกลง ฟังคำของเจ้า”
ผ่านการผ่าตัดในครั้งนี้ กู้จิ่วเยวียนเปิดใจกว้างมากขึ้นจริงๆ เขาถึงขั้นเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดล้มเหลวแล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้ประสบความสำเร็จย่อมจะไม่ปฏิเสธเริ่นเซวียนเอ๋อร์อีก
“จริงหรือ ท่านรับปากแล้วจริงๆ ช่างดีจริงๆ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ที่ข้าทำการผ่าตัดก็เพื่อเจ้า แค่อยากจะอยู่กับเจ้าอีกหลายๆปี” การตามใจระหว่างคิ้วของกู้จิ่วเยวียนลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“อืม นี่ถึงจะเป็นเสด็จอาเก้าของข้า” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ดีใจอย่างยิ่ง เดินเข้าไปใกล้กู้จิ่วเยวียนด้วยความระมัดระวัง ก้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากบางของเขา
นัยน์ตาสีดำที่ลึกล้ำของกู้จิ่วเยวียนเบิกกว้างในทันใด มองดูใบหน้าเล็กที่จู่ๆก็เข้ามาใกล้ ประหลาดเล็กน้อย ตื่นเต้นเล็กน้อย มีความสุขเล็กน้อย
เขาอยากจะตอบรับจูบของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ ทำร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มือยังไม่สามารถยกขึ้นมาได้ มีความปรารถนาแต่ไร้เรี่ยวแรง
แต่ว่าเริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็จูบกู้จิ่วเยวียนเพียงแผ่วเบาเท่านั้น “เสด็จอาเก้าเมื่อครู่ถือว่าข้าประทับตราท่านแล้ว ต่อไปท่านก็คือคนของข้าแล้ว ถ้าหากท่านกล้ากลับคำข้าจะกัดท่าน”
“ฮ่าๆ นังหนูคนนี้” กู้จิ่วเยวียนรู้สึกขบขันไปกับนาง แต่กลับไม่กล้าหัวเราะเสียงดัง
“ที่ข้าพูดคือความจริง ตอนนี้ท่านก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ข้าก็สามารถเอาเปรียบท่านได้ตามใจ ถ้าอย่างไรเรามาทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกที่นี่เลยดีไหม?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์จงใจแหย่เขา
สีหน้าของกู้จิ่วเยวียนเปลี่ยนไปในทันที “ห้ามก่อเรื่องวุ่นวาย ตอนนี้เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นแล้ว ต้องระวังขอบเขตการกระทำและคำพูดด้วย?”
“ฮ่องเต้แล้วอย่างไร พูดความจริงในใจไม่ได้หรือ ข้าชอบท่าน อยากแต่งงานกับท่าน อยากมีลูกให้ท่าน ท่านดูหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวสิมีลูกชายและลูกสาวคู่หนึ่งแล้ว เราก็ต้องเร่งทำเวลาแล้ว ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นยังสามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเสี่ยวเทียนและเสี่ยวเหยียนได้ด้วย” เริ่นเซวียนเอ๋อร์จะพูดจาโดยไม่ต้องคำนึงอะไร ก็ต่อเมื่ออยู่กับกู้จิ่วเยวียนเท่านั้น
รอยยิ้มระหว่างคิ้วและตายิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ระยะนี้เขาอยู่ในจวนซื่อจื่อเห็นจวินเสี่ยวเหยียนกับจวินเสี่ยวเทียนรู้สึกชอบอย่างยิ่งจริงๆ
“ในเมื่อเจ้าอยากมีลูกเช่นนี้ งั้นวันหน้าข้าจะพยายามให้มากๆ!”