จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 796 เหตุใดเจ้าต้องพูดเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 796 เหตุใดเจ้าต้องพูดเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย
โม่เหลิ่งเหยียนรีบรับมาทันที และเปิดถุงผ้าออก พอเห็นเนื้อหาที่เขียนในนั้น เขายิ้มมุมปากทันที
สมเป็นหยุนถิง จัดการวางเรื่องไว้แล้วเสร็จสรรพตั้งแต่แรก
“นายท่าน ซื่อจื่อเฟยว่าอย่างไร?” คนสนิทถามขึ้น
“ระยะนี้ พวกเราต้องสร้างแนวชายฝั่ง ช่องทางขนส่งและแลกเปลี่ยนทางการค้า ทำให้ชาวบ้านวางใจ สร้างเส้นทางทางทะเลที่เป็นของพวกเราอย่างแท้จริง!” โม่เหลิ่งเหยียนตอบ
“น้อมรับคำสั่งท่านอ๋อง!” ทุกคนพากันรับคำสั่ง
พอทุกคนกินอิ่มก็ไปเรียกเหล่าทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเมืองเข้ามากินข้าว ทุกคนได้กินแต่หม้อไฟมาเป็นเดือนแล้ว ในที่สุดก็ได้กินข้าวอิ่มท้องเสียที ดังนั้นข้าวที่หลงซานให้คนเตรียมไว้ก่อนหน้านี้เลยไม่พอ ต่อมาก็เลยจุดเตาทำขึ้นมาอีก ห้องครัวทำ ด้านหน้ากิน บรรยากาศคึกคักเช่นนี้นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ
โม่เหลิ่งเหยียนกินอิ่มดื่มพอ เลยตามหลงซานไปที่คุกใต้ดิน
“ก่อนหน้านี้คุกใต้ดินนี่ใช้คุมขังชาวบ้าน ต่อมาซื่อจื่อเฟยเลยให้วางของทั้งหมดไว้ที่นี่ ทั้งปลอดภัยและไม่มีใครสงสัย เพียงรอซวนอ๋องมาตัดสินใจเท่านั้น!” หลงซานเปิดปาก
โม่เหลิ่งเหยียนหันมองของพวกนั้น ของกินของใช้มีหมด อุดมสมบูรณ์มาก ในนั้นยังมีอาวุธ ระเบิดมากมายนัก เรียกได้ว่ามีพร้อมทุกอย่าง
“ให้คนนำอาหาร ผ้าแพรผ้าไหมและผ้าห่ม รองเท้าออกไปด้วย แจกจ่ายให้ทุกคนอย่างไม่คิดเงิน!” โม่เหลิ่งเหยียนบอก
“ขอรับ!” เหลยเยว่รีบเรียกคนมาขนข้าวของทันที
หลงซานให้จิ่งไป๋และม่อเซิงไปเรียกชาวบ้านมารวมตัวกัน ทุกคนล้วนสงสัยในตัวเหล่าคนที่มาใหม่ในวันนี้ทั้งนั้น แต่พอเห็นว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของหลงซาน และไม่ได้ทำร้ายใคร ดังนั้นชาวบ้านเลยเป็นมิตรกับพวกเขามาก พอได้ยินว่าเรียกรวมพล ทุกคนเลยมาพร้อมกันหมดเลย
โม่เหลิ่งเหยียนมองดูทุกคนที่มารายล้อมกันนอกประตูจวนเจ้าเมือง มีหลายร้อยคนเลยทีเดียว
“วันนี้ลำบากทุกคนแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำอาหารให้จวนเจ้าเมือง ขอบคุณการต้อนรับของทุกคนมาก ของพวกนี้พวกเราเอามา ทุกคนเองก็ใช้ได้เช่นกัน ตอนนี้ให้ส่งตัวแทนออกมาบ้านละหนึ่งคนมาต่อแถวกัน เราจะแจกจ่ายของให้แต่ละบ้าน คนที่มาช่วยงานของจวนเจ้าเมืองวันนี้ให้ขึ้นหน้ามาก่อน!” โม่เหลิ่งเหยียนบอก
ทุกคนพากันยินดียิ่ง รีบต่อแถวเรียงกันทันที
“คุณชาย ของพวกนี้ดูแล้วราคาไม่น้อยเลย ข้าไม่มีเงินหรอกนะ?” คนแก่คนหนึ่งถามเสียงเบา
“ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก!” โม่เหลิ่งเหยียนบอกคำเดียว ทำให้ทุกคนปรบมือร้องดีไปตามๆกัน
เมืองเล็กติดทะเลของพวกเขานี่ไม่มีรายได้อะไรจริงๆ ทุกคนพากันไปต่อแถวรับของ ต่างซาบซึ้งใจกันยิ่งนัก
“ข้าไม่เคยเห็นผ้าสวยขนาดนี้มาก่อนเลย หากทำชุดเพื่อเป็นสินสมรสให้กับบุตรสาว ยามแต่งงานจะสวยสักเพียงไหนนะ!” สตรีนางหนึ่งหยิบผ้านั้นมาลูบคลำพลางบอก
“นั่นสิ เนื้อแห้งแผ่นใหญ่ขนาดนี้ หากกินประหยัดหน่อยคงกินได้ครึ่งปีแน่นอน”
“รองเท้านี้อีก สวมสบายยิ่งนัก ต่อไปไม่ต้องใส่รองเท้าสานแล้ว”
“กล่องเล็กนี้คืออะไรนะ กินหรือใช้กัน ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?”
“แหปลานี่อีก ช่างถี่นัก แค่ดูก็รู้แล้วว่าทำมาจากเส้นชั้นดี น่าจะใช้ไปได้หลายปีไม่เสียเลยล่ะ!” ชาวบ้านพากันชมเชยไปตามๆกัน
พวกเขาไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย พอมองของในมือแล้ว ชาวบ้านล้วนซาบซึ้งในบุญคุณของซวนอ๋องนัก
เพราะว่าเป็นเมืองติดทะเล ถึงจะมีคนไปมาบ้าง แต่คนของพวกเขาที่นี่ไม่ได้ออกไปเลย ทุกวันก็ได้แต่หาปลาประทังชีวิต กินแต่อาหารทะเล ผลไม้ ผัก พวกเนื้อน่ะเมื่อก่อนก็มี แต่ยิ่งกินยิ่งน้อยลง ต่อมาเลยไม่เหลือเลย
โม่เหลิ่งเหยียนให้คนบอกกับชาวบ้านถึงวิธีหม้อไฟร้อนทันใจ ทุกคนพากันชมเชยไม่ขาดปากเลย
“ทุกคนชอบก็ดีแล้ว ต่อมาช่วงเวลาระยะนี้ข้าจะพัฒนาเส้นทางทางทะเล หากราบรื่น ต่อไปพวกเจ้าก็สามารถไปแผ่นดินใหญ่ของสี่แคว้นได้ด้วย ส่วนของพวกนี้ทางนั้นก็จะไหลเวียนมาหาพวกเจ้าที่นี่ แลกเปลี่ยนสิ่งของกันแบบนี้ ทุกคนก็จะสะดวกดี!” โม่เหลิ่งเหยียนบอก
“หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ดียิ่งนัก คุณชายต้องการให้พวกข้าทำอะไรเชิญบอกมาได้เลย พวกข้าพร้อมช่วยทุกสิ่ง!” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก
“ต่อไปน้อมรับคำสั่งคุณชาย!”
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความยินดี พลางสนับสนุนตน ก็พอใจมาก
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหยุนถิง เป็นเพราะนางคิดรอบคอบ
………………………
เรือนอวี๋
พริบตาเดียวห้าวันผ่านไป หยุนถิงอาศัยจังหวะตอนทุกคนกินข้าวเย็นกัน ก็แอบไปถ้ำที่หลังเขา
ในถ้ำ โอจื่อโฝวนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น เสื้อผ้ายับยู่ยี่สกปรก สีหน้าซีดเผือด ผมเผ้าสบาย นอนหายใจรวยริน
ข้างกายเขามีอาหารที่บูดขึ้นราอยู่ ทั้งถ้ำเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า ทำคนดมแล้วรู้สึกอยากอาเจียน
เห็นได้ชัดว่านับแต่สิ้นอำนาจ โอจื่อโฝวก็โดนทรมานหนักมาก
เพราะก่อนหน้านี้เขาใช้อำนาจหน้าที่รังแกศิษย์มาตลอด ไม่เห็นศิษย์ใหม่เป็นคน มักจะทรมานศิษย์คนอื่นเสมอ ตอนนี้เขาสิ้นอำนาจแล้ว ศิษย์คนอื่นย่อมต้องมาล้างแค้นอยู่แล้ว
หยุนถิงได้ยินว่า เมื่อวานคนตระกูลโอมา ก่อนหน้านี้ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของเรือนอวี๋ โอจื่อโฝวผู้มีเกียรติมากมาย และถือเป็นความภูมิใจของตระกูลโอด้วยเช่นกัน แต่พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตระกูลโอส่งศิษย์ใหม่มาสองคน ดังนั้นโอจื่อโฝวน่าจะโดนตระกูลโอเขี่ยทิ้งแล้ว
โอจื่อโฝวได้ยินเสียง พอเห็นคนที่เข้ามา เขาก็ถลึงตาด้วยสีหน้าเคียดแค้นเดือดดาลนัก แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเคียดแค้นเสียใจและเย้ยหยัน
“เจ้ามาหัวเราะเยาะข้ากระมัง ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วสิ!”
น้ำเสียงอ่อนแรง เสียดสียิ่งนัก
“ใช่ ข้ามาหัวเราะเยาะเจ้าเอง ศิษย์พี่ใหญ่ที่เมื่อก่อนมีเกียรติยิ่งนักในเรือนอวี๋ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีจุดจบเช่นนี้ รสชาติเป็นอย่างไรเล่า?” หยุนถิงยิ้มเย็น
สีหน้าที่เดิมซีดเผือดของโอจื่อโฝวยิ่งเดือดดาลหนักขึ้น
“เจ้าไสหัวไปเลย สมน้ำหน้าไปเลย อย่านึกว่าอาจารย์ถ่ายทอดวิชาฝึกกู่ให้กับเจ้าแล้ว เจ้าจะมาทำกร่างคับเรือนอวี๋นะ ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ข้าก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่!” โอจื่อโฝวพูดอย่างเดือดดาล
เพราะว่าไอค่อกแค่กอย่างรุนแรง โอจื่อโฝวเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย ทุกข์ทรมานยิ่งนัก อวัยวะภายในบีบรัดราวกับถูกมีดบิด เจ็บจนกระอักเลือดคำโตออกมา
เลือดนั้นไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีดำ
“เหตุใด?” โอจื่อโฝวมองเลือดสีดำที่พื้นอย่างตกใจ
เขาถูกพิษตั้งแต่เมื่อใดกัน เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด
หยุนถิงเห็นสีหน้าตกตะลึงของเขาไว้ทั้งหมด แล้วถึงเอ่ยปาก “เจ้าไม่ต้องแปลกใจดอก คนที่ถูกพิษน่ะมิได้มีแค่เจ้าคนเดียว แต่เป็นคนทั่วทั้งเรือนอวี๋ รวมถึงข้าด้วย!”
โอจื่อโฝวมองมาอย่างตกตะลึง “เจ้าพูดอะไร เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เพราะยาพิษนี้ถูกวางลงในอาหารที่พวกเรากินทุกวัน คนปกติไม่มีทางรู้ตัวได้เลย ดังนั้นนับจากวันแรกที่เข้าสำนัก ข้าวคำแรกที่กินเข้าไปก็ถูกพิษแล้ว
น่าจะเป็นฝีมือของอาจารย์ กลัวว่าต่อไปจะมีคนทรยศสำนัก หรืออาจจะรอตอนทุกคนถูกพิษลึกแล้ว จะใช้คนมาฝึกพิษหรือฝึกกู่
ข้าก็แค่ประสามรับรสดีเป็นพิเศษ ดังนั้นข้าวมื้อแรกที่กินตอนเข้ามาเรือนอวี๋ ข้าก็รู้แล้วว่าอาหารนั้นมีพิษ
พวกเจ้าทุกคนรู้เพียงแต่ว่าอาจารย์ให้ความสำคัญกับข้า ดีกับข้า ถ่ายทอดวิชาฝึกกู่ให้กับข้า แต่เจ้าไม่รู้หรอกว่า ทุกครั้งก่อนที่อาจารย์จะสอนข้าก็จะให้ข้ากินยาพิษหนึ่งเม็ด” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น
โอจื่อโฝวเบิกตากว้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “เหตุใดเจ้าถึงพูดเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย?”