จอมนางข้ามพิภพ - บทที่325 รู้ใบหน้าที่แท้จริงของมู่เซียวเซียว
จอมนางข้ามพิภพ บทที่325 รู้ใบหน้าที่แท้จริงของมู่เซียวเซียว
จวินหย่วนโยวตกตะลึง: “ฮูหยิน เหตุใด?”
“ยังมาเหตุใดอีก องค์หญิงหลันรั่วบอกว่าคิดถึงอ้อมกอดของท่านมาก เมื่อสามปีก่อนท่านเคยกอดนาง?” หยุนถิงถามอย่างเย็นชา
จวินหย่วนโยวขมวดคิ้วที่หล่อเหลาของเขา และนึกคิดอย่างจริงจัง: “ไม่ ข้าไม่เคยกอดนางเลย”
นอกประตู รั่วจิ่งเดินมาบังเอิญได้ยินพอดี และเดินมาอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านการพักฟื้นมาช่วงนี้ ควบคู่ไปกับการรักษาอย่างพิถีพิถันของหยุนถิง ตอนนี้ร่างกายของเขาก็ดีขึ้นแล้ว เส้นเอ็นก็ฟื้นฟูได้ดีมาก สามารถลงมาเดินได้แล้ว
“ซื่อจื่อ ท่านอย่าหาว่าข้าพูดมากเกินไป เมื่อหลายปีก่อนองค์หญิงหลันรั่วถูกลอบสังหาร พวกข้าบังเอิญผ่านไปพอดี ซื่อจื่อเป็นคนช่วยนางไว้ ตอนนั้นซื่อจื่อพยุงองค์หญิงหลันรั่วที่กำลังจะหมดสติไป คงเป็นเพราะนางตกใจกลัวเกินไป จึงกอดซื่อจื่อในทันที ดังนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าซื่อจื่อเป็นคนกอดนางสินะ” รั่วจิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
สายตาที่เย็นชาของจวินหย่วนโยวมองมา ทำเอารั่วจิ่งตัวสั่นด้วยความตกใจและรีบหุบปากในทันที
“จวินหย่วนโยวท่านอย่าจ้องรั่วจิ่ง หากเขาไม่พูด ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านยังอุ้มองค์หญิงหลันรั่วด้วย ท่านแน่มากเลย” หยุนถิงจ้องมองจวินหย่วนโยวด้วยความโกรธ
จวินหย่วนโยวก็รู้สึกน้อยใจขึ้มมาในทันที: “ฮูหยิน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทั้งหมดเป็นความปรารถนาแต่ฝ่ายเดียวขององค์หญิงหลันรั่วเท่านั้น ข้าไม่ได้มีความคิดใดต่อนางเลย เจ้าต้องเชื่อข้า”
“ไม่ความคิดใดหรือ งั้นท่านยังทำซุปให้องค์หญิงหลันรั่วด้วยตัวเอง นางยังบอกว่าคิดถึงซุปที่ท่านทำมาก” หยุนถิงจงใจแกล้งเขา
“ซุป ข้าไม่เคยทำซุปให้หลันรั่วเลย” จวินหย่วนโยวตอบอย่างไม่ลังเล
“ฮูหยิน ซุปอะไรนี้ไม่มีจริงๆ ตอนนั้นเพื่อที่จะได้แต่งงานกับซื่อจื่อ องค์หญิงหลันรั่วถึงกับใช้วิธีการอดอาหารบังคับให้ซื่อจื่อแต่งงานกับนาง ดังนั้นเพื่อช่วยหลันรั่วแล้ว จักรพรรดิแห่งแคว้นเทียนจิ่วจึงหลอกว่าซื่อจื่อทำซุปให้นาง ยังให้ข้าร่วมโกหกด้วย
ในตอนนั้นข้าเองก็ไม่มีทางเลือก จักรพรรดิแห่งแคว้นเทียนจิ่วบอกว่า พอเพียงแค่ให้องค์หญิงหลันรั่วกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ก็จะตอบตกลงร่วมมือกับต้าเยียน และส่งคนส่งซื่อจื่อกลับ ดังนั้นข้าจึงตอบตกลง” รั่วจิ่งอธิบายอย่างทำตัวไม่ถูก
จากนั้นหยุนถิงจึงค่อยกล่าวอย่างดีใจว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยกโทษให้ท่าน แต่เมื่อองค์หญิงหลันรั่วมาแล้ว ท่านห้ามให้โอกาสใดๆแก่นางเด็ดขาด”
“ฮูหยินไว้ใจ ในใจของข้ามีเพียงเจ้าผู้เดียว และจะไม่มองผู้หญิงคนอื่นแน่นอน” จวินหย่วนโยวรีบแสดงความจงรักภักดีในทันที
“แบบนี้ยังดีหน่อย”
จวินหย่วนโยวจึงค่อยแอบโล่งใจลง สีหน้าเย็นชาลงทันที: “ต่อไปห้ามนำสิ่งของขององค์หญิงหลันรั่วเข้ามาในจวนอีก โยนทิ้งออกไปโดยตรงเลย!”
จดหมายเพียงฉบับหนึ่งก็เกือบทำให้หยุนถิงเข้าใจเขาผิด หากส่งของอย่างอื่นอีก เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้แล้วจริงๆ
“ขอครับ” องครักษ์รีบนำจดหมายฉบับนั้นโยนทิ้งออกไปในทันที
หยุนถิงชำเลืองมองรั่วจิ่ง: “เห็นแก่ความจงรักภักดีของเจ้า ข้าจะสอนไท่จี๋ให้เจ้า ซึ่งจะทำให้เจ้าเสริมสร้างร่างกายได้พอดี”
“ไท่จี๋คืออะไร?” รั่วจิ่งถาม
สามารถลุกขึ้นเดินได้อีกครั้งรั่วจิ่งก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะสอนวิทยายุทธให้เขาด้วย เพียงแต่ว่าเมื่อเห็นวิชาฝ่ามือที่นุ่มนวลและช้าของหยุนถิง รั่วจิ่งก็สงสัยหยุนถิงขึ้นในทันที
“ฮูหยิน ท่านไม่ได้จะแก้แค้นที่ข้าพูดมากสินะ นี่ก็ถือว่าเป็นวิทยายุทธหรือ?”
“คำว่าไท่จี๋《อี้จิง》อี้มีไท่จี๋ แล้วก็กำเนิด อี้คู่นึง สองอี้นี้แหละที่เกิด สี่ฤดู สี่ฤดูนี้เกิดปากว้า หรือ โป็ยข่วย ปากว้านี้แหละที่ทำให้เกิด ดี หรือ ร้าย มงคล หรือ อวมลคล แล เพราะ ดีหรือร้าย นี้แล ทำให้เกิด พฤติการณ์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในธรรมชาติ
มวยไท่จี๋ใช้วิภาษวิธีของหยินและหยางในอี้จิง การเคลื่อนไหว ความแข็งและอ่อน การรุกและการถอย การเปิดและการปิดล้วนเป็นอาการแสดงของการเปลี่ยนแปลงของหยินและหยาง อ่อนโยนแต่มีความแข็งแกร่ง เหล็กหล่อด้วยผ้าฝ้าย มีการเคลื่อนไหวในความเงียบ หยินหยางต่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงแต่กลับสามารถแปลงเป็นพลังแสนมาก”
หยุนถิงให้หลิงเฟิงโจมตีตัวเองทันที แน่นอนว่าหลิงเฟิงเองก็ไม่กล้าใช้กำลังทั้งหมดอยู่แล้ว ใช้เพียงกำลังครึ่งหนึ่ง แต่กลับถูกหยุนถิงโจมตีกลับไปเพียงหมัดเดียว
รั่วจิ่งตกตะลึง และเริ่มฝึกับหยุนถิงทันที คิดไม่ถึงว่าไท่จี๋นี้จะแรงขนาดนี้ ลมฝ่ามือที่ดูเบาบางแต่กลับสามารถขับไล่หลิงเฟิงได้ สมกับเป็นฮูหยินจริงๆเลย สุดยอด
จวินหย่วนโยวก็ตกตะลึงเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าหยุนถิงยังเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วย ร่างกายของเขาไม่เหมาะกับการเคลื่อนไหวที่รุนแรง ดังนั้นจึงฝึกตามเช่นกัน
ดังนั้นทุกคนในจวนซื่อจื่อจึงเรียนรู้ฝึกกับหยุนถิงกันหมด แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันแรงขนาดไหน แต่สามารถป้องกันตัวเองได้ก็พอแล้ว
…………
ที่พักเปลี่ยนม้าหลวง
จนถึงเที่ยงของวันที่สอง มู่เซียวเซียวก็ไปที่ห้องข้างๆ มองดูมู่ว่านว่านที่นอนนิ่งอยู่บนตั่งนอน และไม่มีการตอบสนองใดๆ ก็มีรอบยิ้มเกิดขึ้นบนมุมปากของมู่เซียวเซียว
นางก็เข้าไปอย่างระมัดระวังต่อ และเอามือไปแตะคอของมู่ว่านว่าน และพบว่าชีพจรของหล่อนไม่เต้นแล้ว และลมหายใจของก็ไม่มีแล้ว จึงค่อยรู้สึกโล่งใจลง
นางในขณะนี้ ไม่ได้มองดูมู่ว่านว่านอย่างภราดรภาพเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามและเย้ยหยัน
“พี่สาว ท่านพ่อรักเจ้ามากที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะก่อปัญหาใหญ่โตแค่ไหน หรือก่อเรื่องเยอะแค่ไหนก็ตาม เขาก็จะจัดการให้เรียบร้อยอยู่เสมอ แม้ว่าจะดุว่าเจ้าแต่ก็ยังรักเจ้ามากที่สุด
ข้าขยันกว่าเจ้า และทุ่มเทมากกว่าเจ้าแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการแพทย์หรือวิทยายุทธข้าล้วนฝึกฝนได้เร็วกว่า ดีกว่าเจ้า แต่สิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาของท่านพ่อมันก็เพียงเรื่องที่สมเหตุสมผลเท่านั้น
ขอแค่ข้าทำผิดเพียงเรื่องนิดเดียว ท่านพ่อก็จะลงโทษและด่าว่าข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอิจฉาเจ้ามากเพียงใด อิจฉาที่เจ้าสนิทสนมกับท่านพ่อมากขนาดนั้น และมีความสัมพันธ์พ่อลูกที่ดีกับเขา
ต่างก็เป็นลูกสาวเหมือนกัน ทำไมท่านพ่อถึงปฏิบัติเย็นชากับข้า แต่กลับปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอ่อนโยน ทำไมเจ้าถึงสามารถอยู่เคียงข้างอย่างความสัมพันธ์พ่อลูกที่ดีกับเขา แต่ข้าทำได้เพียงยืนดูเฉยๆ
ทุกอย่างควรจบลงแล้ว หากจะโทษก็โทษหยุนถิง ใครให้นางจะเอาหญ้าเถาวัลย์ นั้นเป็นสิ่งที่ท่านแม่แลกมากับชีวิต ท่านพ่อจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องหญ้าเถาวัลย์โดยเด็ดขาด
แต่ในฐานะพี่สาวของเจ้า ก็ไม่สามารถทนดูเจ้าตายไป จึงทำได้เพียงให้ส่งคนหญ้าเถาวัลย์มา จากนั้นก็ถือโอกาสแจ้งท่านพ่อ ดังนั้นเจ้าอย่าโทษข้าเลย หากจะโทษก็โทษท่านพ่อไร้ความปรานี
ตอนนี้เจ้าจากไปแล้ว ต่อไปท่านพ่อก็จะมีเพียงข้าแค่ลูกสาวคนเดียว ต่อไปเขาสามารถฝากความหวังทั้งหมดไว้บนตัวข้าเท่านั้น ดังนั้นน้องสาวเจ้าคงดีใจแทนข้าสินะ จากนี้ไปหอเทพเซียนก็จะเป็นของข้าทั้งหมด”
มู่เซียวเซียวพูดความเจ็บปวดที่เก็บกดไว้ในใจออกมาทั้งหมด มองดูมู่ว่านว่านที่ไม่ขยับใดๆ นางหันหลังและจากไป
ส่วนมู่ว่านว่านที่อยู่บนตั่งนอน มีน้ำตาไหลลงมาจากมุมตา และจมลงไปในเส้นผม
เดิมทีนางหลับสนิทมาก แต่ได้ยินคนเดินเข้ามา ง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงของพี่ใหญ่
หากไม่ใช่นางพูดเองกับปาก กระทั่งเจ้าตายมู่ว่านว่านก็ไม่เชื่อ ที่แท้คนที่อยากให้นางตายมากที่สุดกลับเป็นพี่ใหญ่ที่นางนับถือมาโดยตลอด
คนหนึ่งคือพ่อแท้ๆ คนหนึ่งเป็นพี่ใหญ่ คนสองคนที่ใกล้ชิดและสนิทที่สุดนี้กลับอยากให้นางตาย หัวใจของมู่ว่านว่านปวดราวยิ่งนัก ราวกับว่าตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
ท้ายที่สุด เจ้าควรขอบคุณหยุนถิงที่ทำให้นางรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของพี่ใหญ่และท่านพ่อ
นับจากนี้ไป นางจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น
หลังจากออกจากประตูมู่เซียวเซียวก็รีบไปแจ้งให้ผู้อาวุโสคนอื่นทราบ นางพูดด้วยใบหน้าที่เศร้าว่า มู่ว่านว่านจากไปแล้ว
เมื่อผู้อาวุโสได้ยินดังนั้น พวกเขาก็รีบมาทันที
“น้องสาว ทำไมเจ้าจากไปแบบนี้ พี่ไม่อยากให้เจ้าจากไป เป็นเพราะพี่ไร้ประโยชน์ พี่ช่วยเจ้าไม่ได้?” มู่เซียวเซียวร้องไห้ ทำเหมือนพี่น้องที่รักกันมาก
มู่ว่านว่านบนตั่งนอน มีความกระแนะกระแหนปรากฏขึ้นที่มุมปาก จากนั้นก็ลืมตาขึ้น: “พี่ใหญ่!”