คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 569 เรื่องราวของพู่หยก / ตอนที่ 570 ท่านโหวเมาสุรา
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 569 เรื่องราวของพู่หยก / ตอนที่ 570 ท่านโหวเมาสุรา
ตอนที่ 569 เรื่องราวของพู่หยก
ฮ่องเต้ไม่เงยหน้าขึ้นมา อ่านฎีกาต่อไป ทว่าก็ตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบ “เจ้ามาได้ถูกเวลาเสียจริง เจ้าเมืองตงหยางผู้นั้นเข้าวังมาแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมาถึง”
ตงฟางมู่ตื่นเต้นมากจนนั่งไม่ติดที่ เขารอคอยมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็จะได้สมใจหวังแล้ว
ไม่นานนัก ขันทีผู้หนึ่งก็นำชางซูหังเข้ามาในห้องทรงอักษร หลังจากเขาคุกเข่าคำนับแล้ว ฮ่องเต้ก็ถึงจะวางพู่กันลงได้ พระองค์เงยหน้ามองคนที่กำลังคุกเข่า ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ว่ามา!”
“ทูลฝ่าบาท พู่หยกนี้เหอหมิง ผู้ว่าจังหวัดซุ่ยหยางมอบให้กระหม่อม ต่อมากระหม่อมสืบสาวราวเรื่องแล้ว เหอหมิงได้พู่หยกชิ้นนี้มาจากลูกน้องของเขาอีกทอดหนึ่ง ทว่าลูกน้องของเขาผู้นี้เป็นนายอำเภอเมืองชิงหยวน ว่ากันว่ามีคนนำพู่หยกนี้มาจำนำที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นใครนำมาจำนำ” ตงฟางมู่ถาม
ชางซูหังไม่รู้จักตงฟางมู่ แต่ใจคิดว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องทรงอักษรแห่งนี้ได้ ไหนเลยจะเป็นคนธรรมดาสามัญ จึงกล่าวตอบด้วยความเคาระนบนอบอย่างยิ่งยวดทันที “เป็นพี่น้องสองคน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของรับ”
“หาตัวพวกเขาพบหรือไม่” ตงฟางมู่ถามอีก
ผู้ถูกถามก็พยักหน้า “พบขอรับ หาตัวพบแล้ว”
ตงฟางมู่ดีใจมาก อยากจะบินไปหาสองพี่น้องนั่นเสียประเดี๋ยวนี้ เพื่อถามไถ่เรื่องราวให้ชัดแจ้ง
ทว่าเขาก็คิดถึงหว่านเอ๋อร์ด้วย อาการของหว่านเอ๋อร์มีแต่จะทรุดลง เกรงว่าเวลาจะไม่คอยท่า เขาจากหว่านเอ๋อร์ไปในเวลานี้ไม่ได้ จึงกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมรับปากหว่านเอ๋อร์ว่าจะพานางกลับเขาฉีอวิ๋น เรื่องนี้ต้องรบกวนพระองค์ส่งคนไปสืบความให้ชัดเจน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ล้วนส่งข่าวมาที่เขาฉีอวิ๋นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เจ้าอยู่เคียงข้างหว่านเอ๋อร์ไว้ ข้าจะส่งหมอหลวงตามเจ้ากลับเขาฉีอวิ๋นด้วย ดีเลวอย่างไรก็จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิ้น”
ตงฟางมู่โบกมือ “ไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ หากหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงรักษาหว่านเอ๋อร์ให้หายได้ ไหนเลยจะต้องรอถึงวันนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว ฮ่องเต้ก็พลันถอนใจ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพราะตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เปลี่ยนความจริงนี้ไม่ได้
พระองค์ตรัสถามว่า “หากสืบพบว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะทำอย่างไร”
“หากเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมต้องรับนางกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางมู่ตอบ
“จะให้ใครรับกลับมา เป็นเจ้า หรือว่าเป็นเผยชิงหาน” ฮ่องเต้ถามอีก
ตงฟางมู่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “จะให้ใครรับเด็กคนนั้นกลับมา ก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าทิ้งเด็กคนนั้นได้อย่างไร นางถูกทิ้งไปแท้ๆ แต่กลับบอกว่านางตายแล้ว หากเรื่องจริงเกี่ยวพันกับเผยชิงหาน เช่นนั้นไม่เพียงกระหม่อมจะไม่มอบนางให้เขา กระหม่อมตงฟางมู่จะไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด”
ชางซูหังคุกเข่าอยู่บนพื้น จิตใจหวาดหวั่นไม่ยอมหยุดพัก ที่แท้เขาก็คือตงฟางมู่ อาจารย์ของจิ้นอ๋อง ผู้มีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับฮ่องเต้ แม้จะหลบซ่อนตัวมาหลายปี แต่อำนาจของเขาในราชสำนักกลับไม่ลดน้อยลงสักนิด
ยามฮ่องเต้ส่งจิ้นอ๋องในวัยเยาว์ไปเรียนวิชาที่เขาฉีอวิ๋นในปีนั้น เกรงว่าจะเป็นการส่งไปอย่างลับๆ หากไม่มีเรื่องเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้จิ้นอ๋องก็ควรได้เป็นไท่จื่อแล้ว!
เรื่องที่พวกเขากล่าวถึง แท้จริงแล้วหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงเอ่ยถึงเผยชิงหานด้วย แล้วเด็กคนนั้นเป็นใครกัน
หลังจากตงฟางมู่กลับไป ฮ่องเต้ก็มองมาที่ร่างของชางซูหัง “ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะได้ยินอะไรในตำหนักนี้ เจ้าก็ควรรู้ไว้ว่าไม่ควรพูดให้ผู้ใดฟังอีก ปล่อยให้มันเน่าในท้องของเจ้าเสีย อย่าได้ลืมปากนำความโชคร้ายมาสู้ตัวเจ้าได้ ระวังมีดมาถึงลิ้นของเจ้า”
“กระหม่อมจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ!” ชางซูหังหวั่นเกรงจนเหงื่อกาฬเย็นเยียบแตกเต็มตัว เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ใครให้เขามาอยู่ต่อหน้าพวกเขากัน ตอนนี้ยังจะมาขู่เขาอีกหรือนี่…
“เอาละ เจ้ากลับไปเถอะ แล้วข้าจะส่งคนไปหาเจ้า ส่งคนไปจัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ อย่าได้ให้ใครรู้เป็นอันขาด”
ชางซูหังรีบพยักหน้ารับ จากนั้นก็ก้มหน้าออกจากห้องทรงอักษรไป
……….
ตอนที่ 570 ท่านโหวเมาสุรา
แม้จะเป็นยามวิกาล ทว่าไฟในเมืองหลวงกลับยังคงสว่างจ้า ถนนที่คึกคักหลายสายเต็มไปด้วยโคมหลากหลายรูปแบบ ร้านอาหารและหอคณิกาก็เป็นสถานที่ที่ไม่เคยหลับใหลเช่นกัน
และเพราะเป็นสถานที่ที่เหล่าขุนนางตำแหน่งใหญ่ในราชสำนักชอบไป ขอเพียงฟ้ามืดลง ขอเพียงเป็นร้านอาหารและหอคณิกาแถวหน้าของเมืองหลวง ก็ย่อมพบขุนนางระดับต่างๆ ได้
ภายในหอจุ้ยเซียนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ห้องรับรองที่ชั้นสามถูกจับจองจนเต็มแน่น เวลานี้ที่นี่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง คนที่เข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ในคืนนี้ได้ มีแต่ขุนนางตำแหน่งใหญ่สูงกว่าระดับสามเท่านั้น
ชางซูหังมีระดับต่ำที่สุดในที่แห่งนี้อย่างชัดเจน เขาเป็นญาติห่างๆ ของเจิ้งกวนเป่ย เจ้ากรมพิธีการ พรุ่งนี้เขาจะไปจากเมืองหลวงแล้ว ตนจึงไปกล่าวลาที่จวนสกุลเจิ้ง แม้จะไม่แน่ใจว่าเจิ้งกวนเป่ยจำได้หรือไม่ว่าตนเป็นญาติห่างๆ ทว่ารักษาเครือญาติเช่นนี้เอาไว้ได้ย่อมเป็นการดี
แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้เจิ้งกวนเป่ยจะจัดงานเลี้ยงที่หอจุ้ยเซียน เขาจึงตามมาด้วยความงุนงง ได้พบกับขุนนางระดับสูงหลายคน ทว่าไม่มีใครมองมาที่เขาเลยสักคน…
เมื่อนึกถึงความหวาดกลัวที่ได้รับจากพู่หยกหลายวันมานี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนได้รับความไม่เป็นธรรม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้ม เขาจึงเริ่มร่ำสุราคลายกังวลเพียงลำพัง กลืนสุราลงท้องไปจอกแล้วจอกเล่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ข้างกายของเขาก็พลันมีคนเมาคนหนึ่งมานั่งด้วย พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้จัก แต่กลับดื่มสุราอยู่ด้วยกัน บทสนาของพวกเขาไม่มีจบสิ้น ต่างคนต่างเล่าเรื่องราวของตนเอง ต่างคนต่างจมอยู่ในโลกของตนเอง
“ท่านโหว ท่านเมาแล้ว กลับกันเถอะขอรับ” ซื่อฝูเดินมาถึงข้างกายของเผยชิงหาน
ทว่าเผยชิงหานกลับโบกมือ “กลับอะไรกัน ข้ายังดื่มไม่พอ” เขาเมาเสียเจ็ดส่วนแล้ว รู้ดีว่าควรวางจอกสุราลง แต่ก็กลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์ จึงยังคงเติมสุราลงท้องตนเองไม่ยอมหยุด
ตั้งแต่สตรีนางนั้นออกจากจวนโหวไป เขาก็เอาแต่กลุ้มใจมากขึ้นทุกวัน ไม่อยากกลับจวนมากขึ้นทุกวัน
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนเองถึงเป็นเช่นนี้ สตรีนางนั้นจากไปแล้ว อีกไม่นานนางก็จะตายอยู่ข้างนอกนั่น นี่ไม่เท่ากับสมปรารถนาของเขาหรอกหรือ แท้จริงแล้วเขากำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรกันแน่
เผยชิงหานยกถ้วยสุราชนกับบุรุษที่อยู่ข้างกาย “สหายท่านนี้ ดูท่าทางเจ้าก็มีเรื่องกลุ้มใจเช่นกัน เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ชางซูหังยิ้มถาม “เช่นกัน? พูดเช่นนี้เจ้าก็มีเรื่องกลุ้มใจเช่นกันกระมัง เมื่อครู่เขาเรียกเจ้าว่าอะไรนะ ท่านโหวหรือ แล้วเจ้าเป็นโหวจากจวนใดกันเล่า”
ซื่อฝูที่อยู่ข้างๆ รีบเอ่ย “ใต้เท้าท่านนี้ นายท่านของข้าคือชางหยวนโหวขอรับ”
“ข้าแซ่เผย นามชิงหาน ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้ชื่อแซ่อะไร ไยข้าไม่เคยพบเจ้ามาก่อนเลย” เผยชิงหานถาม
ชางซูหังไม่ใช่ขุนนางในเมืองหลวง เผยชิงหานก็ไม่มีหน้าที่สำคัญอะไรในราชสำนักเช่นกัน เขาไม่เคยพบจึงเป็นเรื่องที่ปกติมาก
เมื่อชางซูฟังได้ยินว่าเป็นเผยชิงหาน ความเมามายแปดส่วนของเขาก็ลดลงเหลือเจ็ดส่วน ที่แท้เขาก็คือเผยชิงหานที่ฮ่องเต้และตงฟางมู่เอ่ยถึง โหวแห่งจวนโหวชางหยวน
เผยชิงหานเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป จึงยิ้มถามว่า “เป็นอะไรไป ชื่อของข้าทำให้เจ้ากลัวหรือ”
“ไม่ใช่ๆ ข้าเพียงประหลาดใจเท่านั้นเอง ที่แท้คนที่ร่ำสุราอยู่กับข้าตั้งนมนาน เป็นท่านโหวเองหรือนี่” เขารู้สึกหนาวสันหลังวาบ พยายามรำลึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ แต่กลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แท้จริงแล้วเขาได้เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ควรหรือไม่
เผยชิงหานยิ้มกริ่ม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเข้าวังไปพบฮ่องเต้มาหรือ อีกทั้งฮ่องเต้ยังพูดถึงข้าอีกด้วย”
ชางซูหังตกใจจนเกือบจะล้มลง เขากวาดสายตามองรอบข้างทันที ครั้นเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา คราวนี้ถึงจะลดเสียงพูดว่า “ท่านโหว พวกเราไปพูดกันที่อื่นดีกว่า ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก”
เผยชิงหานก็รู้สึกว่าที่นี่น่าเบื่อเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากกลับจวน และอยากมีใครสักคนดื่มสุราเป็นเพื่อน เขาคงจะไม่รั้งอยู่ที่นี่