คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 514 ถาม
เรื่องมันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร กระทั่งคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ ไท่จื่อยังคงตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าแผนของเขาสมบูรณ์แบบ เขาใช้ลายมือของหย่งซีอ๋องล่อลวงเผยกุ้ยเฟยออกมาแล้วพาซิ่นอ๋องไปที่จุดนัดพบ
สุดท้ายเป็นฮ่องเต้ที่มา
ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้การที่องค์ชายและนางสนมนัดพบกัน ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรผู้อื่นก็ต้องสงสัย ด้วยแผนการนี้เขาสามารถยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จัดการทั้งเผยกุ้ยเฟยและซิ่นอ๋องได้ในคราวเดียว
แม้จะเกิดปัญหาระหว่างดำเนินการแต่ไม่ว่าอย่างไรเผยกุ้ยเฟยก็ไม่ควรอยู่กับฮ่องเต้!
ตรงกันข้ามกับเขาซิ่นอ๋องในตอนนี้มีความสุขมาก เมื่อเห็นสายตาที่ไท่จื่อมองเผยกุ้ยเฟย เขาก็เดาได้แล้วว่าไท่จื่อต้องการจะทำอะไร คือการทำให้เขาถูกตั้งข้อหาลวนลามนางสนมเพื่อให้เสด็จพ่อเกลียดชัง!
โชคดีที่ตนสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ และไม่ปล่อยให้ไท่จื่อทำสำเร็จ
แม้พี่น้องทะเลาะกันจะทำให้พวกเขาถูกเสด็จพ่อตำหนิอย่างแน่นอน แต่จะเปรียบเทียบกับเรื่องลวนลามเผยกุ้ยเฟยได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสติปัญญาของไท่จื่อเรื่องนี้ต้องมีช่องโหว่ เขาทนได้ แต่เผยกุ้ยเฟยทนไม่ได้แน่
หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปรอให้เผยกุ้ยเฟยลงมือเพียงแค่พูดเป่าหูคนข้างกายก็จะได้เห็นไท่จื่อยกหินขึ้นมา แต่กลับหล่นทับขาตัวเอง[1]แล้ว!
ไม่แน่ว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้ไท่จื่อสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ ส่วนตนก็อาศัยโอกาสนี้แย่งตำแหน่ง!
ซิ่นอ๋องระงับความตื่นเต้นเอาไว้เขาทำตัวเรียบร้อยก้มหน้ารับฟังแต่โดยดี
ว่านต้าเป่านำน้ำแกงมาถวายแล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท เสวยน้ำแกงสร่างเมาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยื่นมือออกราวกับจะรับมันมา แต่เมื่อมือสัมผัสกับชาม จู่ๆ เขาก็ปัดมันออกไปด้วยความโกรธจัด เสียงกระเบื้องแตกดังขึ้นชามนั้นตกลงบนตัวไท่จื่อจนน้ำแกงสาดไปทั่วทั้งร่าง จากนั้นก็กลิ้งมาโดนตัวซิ่นอ๋องน้ำแกงที่เหลือก็เทออก และในที่สุดก็ล้มลงกับพื้น และแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะตัวสั่นปล่อยให้น้ำแกงซึมเข้าไปในเสื้อผ้าของพวกเขาจนเปียก สีหน้าของฮ่องเต้มืดครึ้มดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ไท่จื่อ และซิ่นอ๋อง แล้วพูดออกมาว่า
“ออกไป!”
ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้องค์ชายทั้งสองออกไป ว่านต้าเป่าเข้าใจได้ทันทีจึงส่งสายตาให้ขันทีในที่นี้ ขันทีที่รับใช้ฮ่องเต้ล้วนมีประสบการณ์มากมีหรือจะไม่เข้าใจ ทุกคนถอยออกไปในชั่วพริบตา
ตอนนี้จึงเหลือเพียงสี่คนเท่านั้น ฮ่องเต้ ไท่จื่อ ซิ่นอ๋อง และเผยกุ้ยเฟย
ฮ่องเต้มองพวกเขาอย่างเย็นชา “ผู้ใดจะพูดก่อน”
ไท่จื่อหดตัวกับสายตาของบิดา แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการก้มตัวพูดด้วยท่าทางจริงใจ และหวาดกลัวว่า “เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว!”
“อ้อ” ฮ่องเต้กระตุกมุมปากไม่รู้ว่ายิ้มหยันหรือเยาะเย้ย “เจ้าทำผิดอะไร”
ไท่จื่อตอบ “ลูกทำผิดสองเรื่อง หนึ่งคือไม่ควรดื่มมากจนขาดสติควบคุมตนเองไม่ได้ สองคือไม่ควรทะเลาะกับน้องรอง ในฐานะพี่ชายไม่รู้จักคิดให้ดีลูกทำผิดครั้งใหญ่ เสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาดูจริงใจมากก้มหัวลงต่ำแล้วใช้มือกดเศษเครื่องลายครามแตกบนพื้นจนเลือดไหลออกมา แต่กลับไม่กล้าขยับสักนิดได้แต่คุกเข่าด้วยความจริงใจ
ดันมาฉลาดเอาตอนนี้ รู้จักเลี่ยงความหนักเบา แน่นอนเรื่องที่จงใจล่อลวงเผยกุ้ยเฟยไม่ควรพูดถึง แผนการไม่สำเร็จจำต้องเก็บไว้กับตัวหากพูดออกไปคนที่โชคร้ายก็คือตนเอง
อาจารย์ฟู่เคยสอนว่าหากทำผิดพลาดต้องยอมรับโดยเร็วเพราะในเมื่อเกิดเรื่องขึ้น อีกฝ่ายคงตัดสินเราไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว โอกาสที่เรียกว่าแก้ตัวเป็นเพียงความแตกต่างระหว่างโทษหนักและโทษเบา การสำนึกผิดที่เร็วสามารถต่อสู้กับโทษสถานเบาได้
เรื่องนี้ฮ่องเต้เห็นว่าตนทะเลาะกับซิ่นอ๋องหากไม่ยอมรับผิดคงไม่ได้ แผนยังไม่ได้ดำเนินการได้ทันเวลา เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐาน ช่องโหว่เพียงอย่างเดียวคือเผยกุ้ยเฟยที่มีลายมือที่ถูกเลียนแบบอยู่ในมือ แต่นางจะพูดออกไปได้อย่างไรเพราะว่านั่นเป็นจุดอ่อนของนาง ดังนั้นการรีบยอมรับผิดสามารถปกปิดเรื่องนั้นไว้ได้!
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไรเขามองต่ำจ้องมองไปที่ไท่จื่ออย่างไร้ท่าที เหงื่อที่หน้าผากไท่จื่อไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว เขาทบทวนคำพูดของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เห็นว่าไม่มีปัญหาตรงไหน แต่ท่าทีของเสด็จพ่อทำเอาเขาคาดเดาไม่ถูก
ผ่านไปนานฮ่องเต้เปิดปากพูดว่า “เจ้าล่ะ ว่าอย่างไร”
เขามองซิ่นอ๋อง เมื่อซิ่นอ๋องมีโอกาสพูดเขาก็ก้มศีรษะทันทีและยอมรับความผิดพลาดของตน “เสด็จพ่อ เรื่องนี้จะโทษพี่ใหญ่ก็ไม่ได้ ลูกเองก็มีความผิดรู้ว่าพี่ใหญ่เมาก็ควรจะอดทน ลูกผิดที่ไม่สามารถระงับความโกรธได้ แค่คำพูดจาของคนเมายังทนไม่ได้จนถึงขนาดลงมือกับผู้เป็นพี่ชาย ลูกผิดเองได้โปรดเสด็จพ่อลงโทษลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เขารู้สึกหวาดกลัว แต่ก็รู้สึกเสียดายในใจเช่นกัน เหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้ฉลาดเช่นนี้ เมื่อก่อนเขาไม่ชอบที่จะยอมรับความผิดเมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องมักจะแก้ตัวให้ตนเองเสมอ อย่างที่รู้กันว่าเช่นนั้นจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม
“พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันแล้วเหตุใดเมื่อครู่ถึงคิดไม่ได้” ฮ่องเต้พูดเสียงต่ำแล้วจู่ๆ ก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “ดูพวกเจ้าสิ! ผู้หนึ่งเป็นไท่จื่อ อีกคนเป็นชินอ๋อง แต่กลับมาทะเลาะกัน เจิ้นไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นเลย! หากขุนนางมาเห็นเข้าจะเอาหน้าตาของราชวงศ์และราชสำนักไปไว้ที่ใดกัน!”
หลังจากถูกตำหนิอยู่ครู่หนึ่งไท่จื่อรู้สึกโล่งใจเขาก้มตัวลง และกล่าวอย่างจริงใจว่า “ขอบพระทัยที่เสด็จพ่อทรงสั่งสอนลูกสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่นอ๋องก็รีบก้มศีรษะลง “ลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ จากนี้จะจำไว้เป็นบทเรียนและจะไม่ทำอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ผ่อนเสียงลงร่างกายที่เอนไปข้างหน้าค่อยๆ เอนกลับมาราวกับว่าอารมณ์ของเขาได้รับการปลดปล่อย
“พูดมา ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเจ้าต้องมาทะเลาะกันในที่ห่างไกลเช่นนี้”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของบิดาดีขึ้นไท่จื่อก็โล่งใจแล้วตอบไปว่า “เรียนเสด็จพ่อ ลูกทนฤทธิ์สุราไม่ไหวจึงเดินออกมาตามลมเพื่อเรียกสติ และพบกับน้องรองระหว่างทางจึงลากเขาไปชมพระจันทร์ด้วยกันจนเดินมาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้ลูกรู้สึกสับสนเล็กน้อยทำให้พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมไป น้องรองเป็นคนจริงจังจึง…สรุปแล้วเป็นความผิดของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หันไปมองซิ่นอ๋อง “เป็นเช่นนั้นหรือ”
ซิ่นอ๋องตอบ “เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพียงทะเลาะวิวาท ลูกเองก็จำไม่ค่อยได้จำได้แค่ว่าไม่พอใจมากเลยทะเลาะกับพี่ใหญ่ไม่กี่คำไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะลงมือ…”
ฮ่องเต้มองทั้งสองคนแล้วยิ้มเยาะ คำสารภาพของสองพี่น้องนั้นแวบแรกฟังดูเหมือนกัน แต่ทั้งคู่กลับเอาความผิดที่ว่าลงมือก่อนโยนใส่อีกฝ่าย
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไรเขารับน้ำชามาจากเผยกุ้ยเฟยมาจิบช้าๆ แล้วพูดว่า “เรื่องนี้น่าสนใจ ศาลาว่างเยวี่ยเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกล เหตุใดพวกเจ้าสองพี่น้องถึงบังเอิญไปชมจันทร์ที่นั่นกัน เจิ้นอยู่ที่นี่ก็เพราะบังเอิญมีคนมารายงานว่ากุ้ยเฟยไปที่ศาลาว่างเยวี่ย กุ้ยเฟย เจ้าล่ะ เหตุใดถึงไปที่ศาลาว่างเยวี่ย”
สิ้นเสียงนั้นดวงตาทั้งสามคู่ก็มองไปที่เผยกุ้ยเฟย เผยกุ้ยเฟยผู้ซึ่งติดตามฮ่องเต้มาเลิกคิ้วนางตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ฝ่าบาท เรื่องนี้…ให้หม่อมฉันพูดกับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้ไม่พอใจ “มีอะไรที่พูดต่อหน้าไม่ได้พวกเขาสองคนพูดไม่ชัดเจน เจ้าเองก็ไม่พูดให้ชัดเจนด้วยคนหรือ”
“นั่น…” เผยกุ้ยเฟยลำบากใจ
“พูดมา!”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วหยิบกระดาษออกจากแขนเสื้อของนาง “เพราะว่าหม่อมฉัน…ได้รับสิ่งนี้มาเพคะ”
……………
[1] ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง : ยกหินขึ้นมาเพื่อที่จะเอาไปทำร้ายผู้อื่น แต่หินก้อนนั้นดันกลับหล่นทับตัวเอง (คิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง) ตรงกับภาษาไทยว่า “ทำตัวเอง”