คู่ชะตาบันดาลรัก - ตอนที่ 95 ถอนราก
หมิงเวยยืนอยู่ใต้ยอดเขาชุ่ยมู่ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือหัวของตน
ภูมิประเทศลักษณะนี้อันตรายมาก หากเป็นสนามรบศัตรูไม่จำเป็นต้องทำอันใดเลย แค่ผลักหินจากบนยอดช่องเขาลงมาก็สามารถฆ่าทุกคนได้แล้ว
คนที่หยางชูจัดไว้ได้เฝ้าอยู่ที่ทางเข้าหุบเขาทั้งสองฝั่ง ส่วนที่เหลือกำลังค้นหาในหุบเขา
ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหาที่ซ่อนพบในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่แน่อาจพบเบาะแสอะไรเพิ่มบ้างก็เป็นได้
“ทำไม มีปัญหาอันใดหรือ” หยางชูเดินเข้ามาถาม
หมิงเวยตอบ “ข้ากำลังคิดเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอันใด”
“นายท่านสามเป็นคนอย่างไรกันแน่”
หยางชูคิด “ท่านหมายถึง หากนำลักษณะนิสัยมาสันนิษฐาน นายท่านสามจะเลือกอันใดใช่หรือไม่”
“ท่านเคยบอกว่านายท่านสามมีจิตวิญญาณของบรรพบุรุษตระกูลหมิงสองรุ่น”
“ใช่”
“เขาฉลาดมาก เขาสอบขุนนางขั้นสูงได้ตั้งแต่อายุยี่สิบ ไม่มีความเย่อหยิ่งอย่างที่คนรุ่นเยาว์มักจะมี ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาทำเรื่องกบฏเช่นนี้จนกระทั่งหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องพ่ายแพ้ หากไม่ใช่เพราะสายลับของหวงเฉิงซือสืบพบ ร้อยปีต่อมาหนังสือประวัติศาสตร์จะยังคงจดจำเรื่องราวความภักดีของเขายามเขาถูกสังหารในเป่ยหูเป็นแน่”
“แล้วอย่างไร”
หมิงเวยพูด “ในความเป็นจริงแล้วหากไม่ใช่เพราะข้าบังเอิญแยกแยะชี่ออก ทำให้เกิงซานเปิดปากบอกได้ พวกเราคงไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เหตุผลทั้งหมดนี้คือเขาเป็นคนโหดเหี้ยม ตอนที่เกิดเรื่องกับหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง เขาแอบเล็ดลอดหนีไปอย่างแยบยล หลังจากถูกเกิงซานสืบพบเข้าเขาก็ฆ่าทิ้งในทันที”
หยางชูครุ่นคิด “อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ออก สายลับเหรียญทองอย่างเกิงซานตายในการปฏิบัติหน้าที่ไม่น่าแปลก แต่ที่แปลกก็คือไม่มีเบาะแสหลงเหลืออยู่เลย การจัดการให้ผู้อื่นมารายงานการเสียชีวิตเป็นเพียงวิธีการพื้นฐานที่สุดของสายลับของหวงเฉิงซือ ไม่ใช่เพราะว่าเขาคิดว่าตนเองจะตาย”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาตายโดยไม่รู้ตัว”
หยางชูตอบ “คงเป็นเพราะเขาไม่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย บางทีเขาอาจรู้สึกว่านี่เป็นเพียงภารกิจง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องทิ้งเบาะแสใดไว้”
ทั้งสองมองหน้ากันต่างคนต่างเห็นความสงสัยในดวงตาของกันและกัน
“ข้าใช้ปิ่นทองล่อให้พวกเขาส่งคนมาขโมยซึ่งเท่ากับว่าทำให้เรื่องออกสู่ภายนอก” หมิงเวยพูด
หยางชูพยักหน้า “เราเลยจงใจล่อพวกเขาออกมา แน่นอนว่าเขาต้องรู้อยู่แก่ใจ”
“เขาไม่มาไม่ได้” หยางชูพูด “พวกเราไม่กลัวเพราะมีไพ่ตาย แต่เขาต้องหวาดหวั่นแน่”
“ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้” หมิงเวยถอนหายใจ “ตามวิธีของนายท่านสามเมื่อก่อน ถ้าเราคุกคามเขาไปเช่นนี้ ท่านคิดว่าเขาจะเลือกทางใด”
หยางชูชะงักแล้วพึมพำ “ตัดรากถอนโคน…”
เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปที่ด้านบน
“ท่านระดมคนมากี่คน” คำถามนี้ดูเหมือนจะถามช้าไปหน่อย
หยางชูตอบ “ข้าให้ป้ายคำสั่งแก่เหลยหงไป ถ้าไม่มีอันใดผิดพลาดเขาจะนำกองทหารของเขาไปที่เขาซิ่วเฟิง”
“เวลาล่ะ” หยางชูเงียบ
หมิงเวยพยักหน้า “ไม่แปลกใจ ท่านยังเด็กประสบการณ์ยังไม่มากพอ”
น้ำเสียงของคนที่ผ่านอะไรมามากกว่าทำเอาหยางชูรู้สึกไม่พอใจ “ท่านอย่าแสร้งทำเป็นเหมือนผู้อาวุโสเลย คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าอายุที่แท้จริงของท่านไม่ได้มากถึงเพียงนั้น”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านดูออกได้อย่างไร”
“ท่านคิดว่าพวกเราหวงเฉิงซือมีหน้าที่อันใดกัน จากท่าทางการเดิน และการเคลื่อนไหวก็สันนิษฐานนิสัย และอายุโดยพื้นฐานของท่านได้แล้ว!”
ทันทีที่เสียงพูดดังออกไป พื้นก็สั่นสะเทือนทันที
หยางชูขยับตัวอย่างรวดเร็ว เขาดึงหมิงเวยแล้วพาตัวเองเข้าไปในรอยแยกของหิน
“คุณชายระวังขอรับ!” เสียงเตือนขององครักษ์ดังมา
เสียงกึกก้อง เหมือนหุบเขานี้จะถูกกลบฝัง
“เขาใจร้อนเสียจริง!” หยางชูไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสองคนขยับตัวเข้าแนบชิดกันเพื่อป้องกันไม่ให้ก้อนหินตกเข้าใส่
………..
วัดเป่าหลิงเต็มไปด้วยเสียงของผู้คน เพราะฉะนั้นเสียงกึกก้องจากยอดเขาชุ่ยมู่ เมื่อลอยผ่านมาที่นี่ก็ดังเทียบกับเสียงประทัดได้
มีผู้รู้สึกแปลกใจจึงมาสอบถามกับพระสงฆ์ แต่หลายคนกลับเพิกเฉย
แต่มีเด็กสาวสองคนที่กำลังตกใจกลัว
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของหมิงเซียงกับอันเซียงเสี้ยนจู่ พวกนางจึงเฝ้าดูพวกเขาเข้าไปในหุบเขาใต้ยอดเขาชุ่ยมู่
ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะได้เห็นภาพนี้ ยอดเขาของยอดเขาชุ่ยมู่จู่ๆ ก็สั่นสะเทือน แล้วก้อนหินก็แตกออกกลิ้งลงมาทีละก้อน
หลังตกใจไปได้สักพัก อันเซียงเสี้ยนจู่ก็กรีดร้อง “เปี่ยวเกอ!” แล้ววิ่งไปที่หุบเขาอย่างบ้าคลั่ง
หมิงเซียงคว้าตัวนางไว้ “อันเซียง เจ้าไปไม่ได้นะ!”
อันเซียงเสี้ยนจู่ตื่นตระหนกนางพูดตะกุกตะกัก “เปี่ยวเกออยู่ในนั้น ทำอย่างไรดี ถูกทับไปหรือยัง พวกเราไปช่วยกันเถอะ!”
“อันเซียง!” หมิงเซียงตะโกนเรียกเสียงดัง “เจ้าเคลื่อนย้ายหินได้หรือ”
อันเซียงเสี้ยนจู่ชะงัก “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี”
“กลับไปตามคนมาช่วย!” หมิงเซียงบอก “เร็วเข้า พวกเรากลับไปบอกจวิ้นอ๋องให้เขาส่งคนมาช่วย”
“ได้” อันเซียงเสี้ยนจู่วิ่งไปสองก้าว แต่กลับเห็นว่าหมิงเซียงไม่ขยับจึงถาม
“เจ้าไม่ไปหรือ”
หมิงเซียงหน้าซีด “ข้าจะไปตามคนมาก่อนเพื่อประหยัดเวลา”
อันเซียงเสี้ยนจู่ไม่คิดอันใดเยอะ “ได้ งั้นพวกเราแยกกัน” มองอันเซียงเสี้ยนจู่วิ่งไปไกล หมิงเซียงก็หันหลังวิ่งอย่างหมดหวัง
ตอนนี้จิตใจของนางสับสนไปหมด ตอนแรกนางแค่แปลกใจว่าพี่เจ็ดกับคุณชายหยางคิดจะทำอันใดกันแน่ เห็นพวกเขาเข้าไปในหุบเขา ในใจก็ยังคงรู้สึกแปลกใจ เหตุใดถึงวิ่งมานัดพบกันไกลเพียงนี้
เมื่อหินถล่มลงมาสมองของหมิงเซียงถึงกับว่างเปล่า มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ‘อย่าเป็นอะไร ต้องไม่เป็นอะไร!’
นางวิ่งไปที่ช่องเขารู้สึกหนาวสั่นในใจเมื่อเห็นก้อนหินที่ตกลงมาขวางช่องเขาอย่างแน่นหนา
ก้อนหินจำนวนมากเช่นนี้ ผู้ที่อยู่ด้านในไม่ถูกทับจนกลายเป็นเนื้อบดแล้วหรือ
“พี่เจ็ด!” นางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้
…………
หมิงเวยในตอนนี้ถูกขังอยู่ระหว่างกำแพงหินจากหินมากมายที่ตกลงมานับไม่ถ้วน หยางชูเองก็ยืนอยู่ข้างกายนาง
เพราะได้รับคำแนะนำจากองครักษ์จึงไม่มีผู้ใดเสียชีวิต อารมณ์ของเขาจึงผ่อนคลาย
“นายท่านสามโหดร้ายกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ข้านึกว่าเขาจะเอาของไปก่อนหรือหาทางล่อพวกเราไปที่อื่น ไม่คิดเลยว่าเขาจะใช้กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1] ต้องการฆ่าพวกเราที่นี่กล้าหาญเกินไปแล้ว”
หยางชูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกล่าวว่า “พวกเราปล่อยข่าวออกไปเมื่อวานจึงวางกับดักล่วงหน้าได้ไม่ยาก แต่เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างแม่นยำ กำลังคนของพวกเขาดีกว่าที่ข้าคิดไว้ อย่างไรตงหนิงก็เป็นดินแดนของพวกเขา เป็นข้าที่ผิดพลาดเอง”
เขาไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง “ท่านคิดอันใดอยู่หรือ”
“ข้าคิดว่าคนของท่านจะมาทันเวลาหรือไม่” หมิงเวยพูดช้าๆ “ในเมื่อลงมือแล้ว ก็จะไม่หยุดจนกว่าจะตาย ท่านคิดว่าพวกเขาจะทำอันใดต่อไป”
หยางชูคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตกใจ “โจมตีด้วยไฟ!”
ทันทีที่พูดจบก็มีเม็ดฝนร่วงหล่นจากท้องฟ้า เขาเช็ดหน้าแล้วก็ตกใจ “น้ำมันเชื้อเพลิง!”
“คุณชาย!” องครักษ์ที่ถูกขังอยู่ที่อื่นตะโกนขึ้น “ข้างล่างมีดินเปียกขุดได้ขอรับ!”
หลังจากเทน้ำมันก็ถึงเวลาจุดไฟ
เวลาจะล่าช้าไม่ได้!
หยางชูไม่ลังเลที่จะดึงกริชออกมาจากเอวแล้วแทงลงกับพื้นอย่างแรง
……………………………
[1] : ศึกสงคราม กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ การพิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำ ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าควรพึงหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ความฮึกเหิมของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ