คู่ชะตาบันดาลรัก - ตอนที่ 262 แหวนหยก
หมิงเวยเดินตามนางในออกจากห้องโถงแล้วก็เห็นนายท่านจี้ยืนรออยู่ เมื่อเห็นนางเดินออกมาเขาก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด “เหนียงเหนียงตรัสว่าอย่างไรบ้างหรือ”
หมิงเวยตอบ “เหนียงเหนียงตรัสว่าอยากเป็นแม่สื่อให้หลานเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” นายท่านจี้ตกใจมาก “จะเป็นไปได้อย่างไร หลานหมั้นหมายแล้วนะ!”
หมิงเวยยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หลานปฏิเสธไปแล้วเจ้าค่ะ”
นายท่านจี้ประหลาดใจ “เหนียงเหนียงไม่กริ้วใช่หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านลุงวางใจได้ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงใจดีมากพอทราบว่าหลานหมั้นหมายแล้วจึงไม่ตรัสอะไรต่ออีก”
นายท่านจี้ลูบอก “งั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์รอให้ช่วงไว้ทุกข์ผ่านพ้นไปค่อยให้หลานออกเรือนกับเสียวอู่”
“เจ้าค่ะ”
“พวกเรากลับกันเถอะ พวกท่านป้าคงกำลังเป็นห่วงอยู่”
“เจ้าค่ะ”
…………
เมื่อตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งเสวียนตูกวันถูกตัดสินเรียบร้อยแล้วจึงได้เวลากลับวังหลวง เผยกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในศาลานางในรอบกายยุ่งอยู่กับการเก็บของ นางก้มลงมองหอดูดาวที่ตนวาดไว้แล้วถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็นึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้
เมื่อนางบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้หมิงเวยฮ่องเต้ก็ถามว่า “อ้อ สนมรักคิดจะเป็นแม่สื่อให้ผู้ใดงั้นหรือ”
เผยกุ้ยเฟยกำลังจะตอบ แต่หมิงเวยกลับพูดเสียงเบาขึ้นมาว่า “หม่อมฉันเกรงว่าจะรับความปรารถนาของเหนียงเหนียงไม่ได้เพคะ เมื่อครั้งที่หม่อมฉันยังเด็ก ท่านแม่ได้ให้หม่อมฉันหมั้นหมายไว้แล้ว”
“….” เผยกุ้ยเฟยพูดว่า “งั้นหรือ”
“เพคะ” หมิงเวยยิ้มแล้วสบตากับนาง “คนที่หม่อมฉันหมั้นหมายด้วยคือลูกพี่ลูกน้องของหม่อมฉันเอง ก่อนที่ท่านแม่จากไปท่านจะพาหม่อมฉันมาที่เมืองหลวงเพื่อจัดงานแต่งงานเพียงแต่ตอนนี้หม่อมฉันอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เรื่องแต่งงานจึงต้องรอให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนแล้วค่อยคุยกันทีหลังเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยมองนาง “เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม “เป็นคำสั่งของท่านแม่ที่เสียไปหม่อมฉันไม่กล้าปฏิเสธเจ้าค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจรอยยิ้มจางลงเล็กน้อย “งั้นก็น่าเสียดาย”
หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีอารมณ์สนุกสนานต่อเผยกุ้ยเฟยจึงมอบกำไลหยกให้นางเป็นรางวัลแล้วให้นางในไปส่งนาง
ฮ่องเต้มองหมิงเวยที่เดินจากไปอย่างครุ่นคิดแล้วพระองค์ก็ถามเผยกุ้ยเฟยว่า “สนมรักอยากจับคู่ให้ผู้ใดหรือ”
เผยกุ้ยเฟยมีท่าทางหมดอาลัย “คนที่ฝ่าบาทก็ทราบดีหม่อมฉันจะจับคู่ให้ใครได้”
ฮ่องเต้ตอบ “นางหมั้นหมายแล้วผู้อื่นจะไม่วิพากษ์วิจารณ์หรอกหรือ”
เผยกุ้ยเฟยมีท่าทีเฉยเมย “หลายปีมานี้เขาเคยชอบแม่นางคนไหนบ้างหรือ หากทำให้เขามีความสุขได้ต่อให้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์แล้วอย่างไร ชื่อเสียงของหม่อมฉันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะเพคะ”
ฮ่องเต้มีสีหน้าลำบากใจพระองค์ลูบไหล่ของนางแล้วตรัสว่า “เขาจะได้พบแม่นางที่ดีในอนาคต” พระองค์ชะงักแล้วตรัสต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางหมิงผู้นี้ดูมีความซับซ้อนไม่เหมาะกับเขาหรอก” เผยกุ้ยเฟยพยักหน้าสีหน้าของนางดูไม่สนใจอะไร
ฮ่องเต้ตรัสว่า “นางไม่เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นเปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะเขายังอายุน้อย สนมรักไม่ต้องกังวลเรื่องเขาหรอก บุรุษหลายตระกูลแต่งงานล้วนเป็นเพราะเขาอยากแต่งไม่ใช่ทุกคนที่แต่งตามคำสั่งของบิดามารดาหรือผู้อาวุโสจัดการให้ ก่อนหน้านี้จวนโป๋วหลิงโหวเคยพูดเรื่องนี้กับเจิ้น แต่เขาไม่สนใจจึงอยากให้พวกเราช่วยจัดการยังมีการคัดเลือกพระชายาของไท่จื่ออีกที่ควรกำหนดได้แล้ว ลูกสามเองก็ถึงวัยควรแต่งงานแล้วเช่นกัน เขาไม่มีมารดาจึงต้องรบกวนสนมรักเสียแล้ว”
เผยกุ้ยเฟยโกรธ “ฝ่าบาทก็ทราบว่าหม่อมฉันเบื่อเรื่องนี้มากยังคิดเอาเรื่องเหล่านี้มาให้หม่อมฉันอีก เหตุใดไม่ให้ฮุ่ยเฟยจัดการเพคะ!”
“ฮุ่ยเฟยอ่อนแอเกินไปควบคุมไม่ไหว เจิ้นเองก็ไม่มีทางเลือก…” แล้วทั้งสองก็หัวเราะออกมา
กุ้ยเฟยนึกเรื่องเหล่านี้จบนางก็หยิบแหวนหยกออกมาจากอ้อมอกของตนแหวนหยกทรงกลมที่ดูเรียบง่าย นางไล้นิ้วที่ด้านในของแหวนเบาๆ กดลงที่ปุ่มนูนที่อยู่มุมอับสายตาสัมผัสนูนต่ำที่ไม่เท่ากันนั้นออกเป็นคำๆ หนึ่ง
เหยี่ยน
เผยกุ้ยเฟยหลับตาลงความอ่อนโยนปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
……….
เมื่อขบวนเสด็จกลับไปหลังผ่านเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นนี้ไปเหล่านักพรตจากเสวียนตูกวันก็ทำการปิดประตูเพื่อฝึกฝนต่อ ขุนนางและชนชั้นสูงมีมากเกินไป ตระกูลจี้ไม่อยู่ในลำดับเหล่านี้จึงทำได้เพียงรออยู่ด้านหลัง
จี้เสียวอู่ลากหมิงเวยและสาวใช้มาทางตนเพราะต้องการชมดอกถานเชิง
ตัวฝูกอดกล่องแน่นไม่ยอมปล่อย “สิ่งนี้เป็นของที่คุณหนูชนะจนได้มามันสำคัญมากนะเจ้าคะ!”
“ข้าแค่ขอดู แค่ดูเอง!” จี้เสียวอู่อ้อนวอน “ตัวฝูคนดี น้องหญิงคนดี ขอร้องล่ะ!”
“ไม่ได้ หากเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไรดูไม่ได้เจ้าค่ะ”
จี้เสียวอู่จึงมาพัวพันหมิงเวยแทน “น้องหญิงให้ข้าดูหน่อยเถอะ! ข้าแค่อยากรู้ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร”
หมิงเวยยื่นมือไปหาเขา จี้เสียวอู่พยักหน้าอย่างเข้าใจในทันทีเขารินชาให้ด้วยความใส่ใจ “น้องหญิงดื่มชาก่อนเถิด”
หมิงเวยจิบชาช้าๆ แล้ววางถ้วยชาลง “ตัวฝู เปิดให้เขาดูหน่อย”
จี้เสียวอู่ดีใจมากเขาถูมือรอดู “เร็วๆๆ ตัวฝู เปิดกล่อง!”
ห่างไกลออกไปจูเอ๋อร์เบะปากด้วยความไม่ชอบใจนางเงยหน้าพูดกับแม่ของตนว่า “ท่านแม่ ท่านอาทำตัวน่าเกลียดจัง!”
สะใภ้ใหญ่ตบหน้าผากนางเบาๆ “น่าเกลียดอะไร อย่าเรียนรู้ศัพท์ในทางที่ผิดถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าอาเจ้าได้ยินเข้าคงไม่ยินดีนัก”
ตัวฝูถามย้ำแล้วย้ำอีก “คุณหนู ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”
“แค่ให้ดูเอง มันไม่หนีไปไหนหรอก”
ตัวฝูตอบ “ตุ๊กตาโสมยังวิ่งได้สิ่งที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้จะไม่หนีไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้ม “วางใจเถอะ ดอกถานเชิงทำเช่นนั้นไม่ได้แน่นอน”
“ก็ได้เจ้าค่ะ…”
ตัวฝูวางกล่องลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังทุกคนในตระกูลจี้ก็เข้ามาดูด้วย อยากรู้ว่าสมบัติที่นักพรตทั้งสองต่อสู้เพื่อแย่งมันมามีลักษณะเช่นไร
แต่เมื่อเปิดกล่องออกมาแล้ว…
“เอ๋ เหตุใดถึงเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งเล่า”
หมิงเวยตอบ “ฝ่าบาทสั่งให้คนเอาออกมาพี่ห้าไม่เห็นหรือว่ามันเป็นก้อนหิน”
จี้หลิงมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มันค่อนข้างแปลกที่มีลักษณะเช่นนี้ เกิดขึ้นเองท่ามกลางเมฆหมอกค่อนข้างมีความขลังไม่น้อย”
จี้เสียวอู่ยังคงไม่ยอมแพ้ “ดอกถานเชิง ไม่ควรเป็นดอกไม้หรือ”
หมิงเวยยิ้มตาหยี “ไป๋ติงเซียงไม่ใช่ดอกไม้แล้วทำไมดอกถานเชิงต้องเป็นดอกไม้ด้วยเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่รู้สึกคลื่นไส้ ไป๋ติงเซียงในวงการแพทย์จีนหมายถึงมูลนกกระจอก…
ในตอนนั้นเองมีนักพรตเด็กเดินเข้ามาหา “แม่นางหมิง ท่านอยู่นี่พอดีเลย ท่านอาจารย์อาของพวกเขาบอกว่าการพยากรณ์ดวงดาวคราวก่อนยังมีจุดที่ไม่แน่ชัดจึงอยากสอบถามกับท่าน ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่สักครู่ได้หรือไม่”
หมิงเวยหันไปหานายท่านจี้
นายท่านจี้ตอบอย่างใจดี “ในเมื่อนักพรตเชิญหลานก็ไปเถอะ อีกสักชั่วยามพวกเราถึงจะได้ไปอย่าล่าช้าเลย” หมิงเวยตอบรับแล้วเดินตามนักพรตเด็กไป
จี้เสียวอู่อยากตามไปแต่ก็ถูกบิดาจ้องมองกลับมาจึงตอบพึมพำไปว่า “ไม่ใช่รับปากให้ข้าไปไหว้อาจารย์หรอกหรือ อีกหน่อยที่นี่ก็เป็นที่เรียนของข้านะ!”
นายท่านจี้หัวเราะเสียงเย็น “ไหว้อาจารย์ใช้เวลาไม่นาน กลับไปเตรียมของขวัญให้เรียบร้อยแล้วพ่อค่อยพามาคุกเข่าคำนับ หลังผ่านพิธีที่เป็นทางการแล้วที่นี่ถึงจะเป็นสถานศึกษาของเจ้าเข้าใจหรือไม่”
จี้เสียวอู่ไม่มีทางเลือกจึงต้องเชื่อฟังแต่โดยดี ทางด้านหมิงเวยเมื่อออกจากเรือนรับแขก ในไม่ช้าก็เดินทางมาถึงห้องสาวกแห่งหนึ่ง คนที่รออยู่ที่นี่แน่นอนว่าเป็นเสวียนเฟย
หมิงเวยเดินไปหาด้วยรอยยิ้ม “ท่านนักพรตยืมชื่ออาจารย์อามาใช้เพื่อหลอกให้ข้ามาที่นี่เป็นการนัดพบส่วนตัวใช่หรือไม่”
เสวียนเฟยหมุนตัวกลับมาแล้วพูดอย่างเฉยเมย “ข้าเป็นอาจารย์อาของเด็กคนนั้นอยู่แล้วจะยืมชื่อผู้อื่นได้อย่างไร”
หมิงเวยร้องอ้อและกล่าวอย่างชื่นชม “พอท่านนักพรตโกรธขึ้นมาน้ำเสียงช่างไพเราะขึ้นจริงๆ”
………