คู่ชะตาบันดาลรัก - ตอนที่ 188 ศิษย์น้อง
เมื่อออกมาจากอุโมงค์ หมิงเวยก็พูดกับเจี่ยงเหวินเฟิงว่า “ถึงแม้หยินชี่ในอุโมงค์จะรุนแรงมาก แต่ก็ไม่มีร่องรอยของมนุษย์เลย อสูรน้ำตัวนี้น่าจะกินซากศพมาเป็นเวลานานแล้วถึงได้มีนิสัยดั่งปีศาจ คาดว่าช่วงนี้ไม่มีศพที่สามารถทานได้แล้วมันจึงว่ายไปถึงสระฉางเล่อ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราคงทำได้เพียงดำเนินคดีตามกฎเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ”
“ลำบากแม่นางหมิงแล้ว ฟ้ามืดแล้วข้าให้คนไปส่งท่านจะดีกว่า”
หมิงเวยยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเดินกลับกับลูกพี่ลูกน้องของข้าได้เจ้าค่ะ ครู่เดียวก็ถึงแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่บังคับ “ได้ หากต้องการสิ่งใดแม่นางเอ่ยปากออกมาได้เลย”
อีกด้านหนึ่งอาสวนก็พบตัวหยางชู “คุณชาย ท่านหายตัวไปอย่างเงียบๆ ข้าน้อยตามหาแทบแย่ขอรับ!”
หยางชูอารมณ์ไม่ดีเขาคลี่พัดออกมาพัด แต่สุดท้ายเขากลับคัดจมูกแล้วจามออกมา
อาสวนเห็นเขาเป็นเช่นนั้นจึงกล่าว “ถึงตอนนี้จะเป็นเดือนเจ็ด แต่ท่านเพิ่งลงน้ำมาจะพัดทำไมขอรับ พวกเจ้ายืนนิ่งทำไม รีบนำเสื้อคลุมมาคลุมให้คุณชายเร็วเข้า!”
รถม้าของจวนโป๋วหลิงโหวมาจอดด้านข้างนานแล้ว บ่าวรับใช้รีบหยิบเสื้อคลุมไปให้หยางชู
หยางชูถูจมูกพลางสวมเสื้อคลุมที่อาสวนนำมาให้แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้หนาว แค่เมื่อครู่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เลยรู้สึกระคายจมูกก็เท่านั้น”
อาสวนไม่แสดงสีหน้าใดๆ “ขอรับ ท่านพูดถูก ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วพวกเรากลับจวนกันเถอะขอรับ”
“อืม” สองนายบ่าวขึ้นรถม้าไปเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวไปได้สักพักก็เห็นคนสามคนที่เดินอยู่ด้วยกัน
หยางชูเคาะประตูส่งสัญญาณให้คนขับชะลอรถม้าแล้วเขาก็เลิกม่านขึ้นมาก่อนเอ่ย “พวกท่านขึ้นมา ข้าจะไปส่ง!”
หมิงเวยเหลือบมอง “ชายหญิงแตกต่างกันนะเจ้าคะ”
“กลางดึกเช่นนี้ผู้ใดจะไปรู้ อีกอย่างพี่ชายของท่านก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูเจ้าคะ” ตัวฝูสะกิดให้นางมองจี้เสียวอู่ สีหน้าของจี้เสียวอู่ตอนนี้ดูว่างเปล่าราวกับกำลังท่องอยู่ในโลกแห่งความฝัน
หมิงเวยครุ่นคิด “ได้เจ้าค่ะ” แล้วจี้เสียวอู่ก็เดินตามพวกนางเข้าไปในรถม้าอย่างสับสน
รถม้าของจวนโป๋วหลิงโหวใหญ่มากถึงแม้ในรถจะมีคนอยู่สี่คนแต่ก็ยังกว้างขวางอยู่ดี
หยางชูโยนเสื้อคลุมบนตัวของตนให้หมิงเวย “ลมเย็นพัดตลอดทั้งคืนหากท่านกลับไปแล้วป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร!” หมิงเวยนึกขึ้นได้ว่าร่างกายนี้ค่อนข้างอ่อนแอจึงไม่ได้ปฏิเสธ
ตัวฝูเห็นว่าบนรถมีชาร้อนจึงรินให้ทุกคนดื่ม
“ท่านบอกว่าหนิงซิวผู้นั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลของข้างั้นหรือ” หยางชูถามนาง
หมิงเวยตอบ “เขาสอนอยู่ที่สถานศึกษาหมิงเฉิงแน่นอนว่าเขาต้องได้รับคำเชิญจากท่านปู่หรือท่านย่าของท่านเป็นแน่”
หยางชูกลับตอบว่า “ข้าคิดว่าท่านกับเขามีความเกี่ยวข้องกัน”
“อย่างไรหรือเจ้าคะ” หมิงเวยเลิกคิ้ว
“เขาใช้กู่ฉินควบคุมพลัง ข้าเลยรู้สึกว่าวิธีของเขาดูคล้ายกับท่านมาก”
หมิงเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ใช้เครื่องดนตรีจะอยู่บนเส้นทางเดียวกันเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
……………
รถม้าหยุดลงที่ตรอกซอยทางเข้าจวน
หมิงเวยลงจากรถและคืนเสื้อคลุมให้เขา “วันนี้ท่านได้รับไอชั่วร้ายจากในน้ำ กลับถึงจวนท่านอย่าลืมอาบน้ำด้วยน้ำขิงเพื่อขับไล่ไอชั่วร้ายออกไปนะเจ้าคะ”
“เข้าใจแล้วท่านรีบกลับจวนเถอะ”
ทั้งสามมองดูรถม้าเคลื่อนออกไปไกล จากนั้นก็เดินเข้าซอยเพื่อกลับจวน
ในจวนตระกูลจี้ จี้ฮูหยินถามไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไรแล้ว “พวกเขากลับมาหรือยัง เหตุใดถึงยังไม่เห็นใครเลย”
ลูกสะใภ้ได้แต่กล่าวปลอบใจ “ท่านแม่อย่าใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ เสียวอู่ก็อยู่ด้วยจะต้องไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
จี้ฮูหยินตอบ “เพราะเขาอยู่ด้วยข้าถึงกังวลผู้ใดจะรู้ว่าเด็กคนนั้นอาจทิ้งเสี่ยวชีไว้กลางทางแล้วตนเองก็ออกไปเที่ยวเล่นก็เป็นได้”
จี้หลิงเอ่ยขัดจังหวะ “ท่านแม่ ท่านดูถูกเขาเกินไปแล้วขอรับ ถึงเสียวอู่จะรักสนุก แต่เมื่อไรที่เขาจะก่อเรื่องเขาชั่งน้ำหนักความสำคัญได้”
“แต่นี่ยังไม่มีใครกลับมาเลยจะให้ข้าวางใจได้อย่างไรกัน” จี้ฮูหยินพูดเรื่อยเปื่อย “สะใภ้ชีที่อยู่เรือนข้างๆ กลับมาบอกว่ามีอสูรน้ำปรากฏตัวที่สระฉางเล่อ เกิดความวุ่นวายกันใหญ่ลูกก็รู้ว่าพวกที่ชอบลักพาตัวมักชอบอาศัยโอกาสนี้ลักพาตัวผู้คน เสี่ยวชีเป็นเด็กดีขนาดนั้นหากถูกพวกมันจับจ้องขึ้นมาจะทำอย่างไร”
จากตงหนิงมาถึงเมืองหลวงจี้หลิงเห็นกับตาตนเองว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ มีความลับมากมายซ่อนอยู่เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่ค่อยกังวลแต่อย่างใด
คำพูดนั้นได้เตือนความทรงจำของจี้ฮูหยิน “ข้าเองก็มีน้องสาวห่างๆ ที่ถูกลักพาตัวเช่นนี้เหมือนกันตอนนั้นนางออกไปดูโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนพลุกพล่านมากเกินไปพอข้าหันกลับมาก็ไม่พบนางแล้ว”
พูดแล้วจี้ฮูหยินก็ยิ่งเป็นกังวล “ไม่ได้การ ข้าจะออกไปดูพวกเขาเสียหน่อย”
“ท่านแม่!” จี้หลิงอดร้องออกมาไม่ได้
ทันทีที่จี้ฮูหยินเดินไปเปิดประตูนางก็เห็นเด็กทั้งสามคนยืนอยู่ด้านนอกกำลังจะเคาะประตูพอดี
“ท่านแม่” จี้เสียวอู่อึ้ง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรากลับมาแล้ว”
“ไอหยา ตกใจหมด!” จี้ฮูหยินเอามือทาบอก “ข้ารอพวกเจ้ากลับมา เหตุใดถึงกลับมาดึกเช่นนี้สะใภ้ชีที่อยู่เรือนข้างๆ กลับมาตั้งนานแล้ว”
จี้เสียวอู่หัวเราะเสียงแห้ง “แค่ออกไปเดินนิดหน่อยเองขอรับ มีทหารลาดตระเวนตอนกลางคืนท่านแม่กังวลอะไร”
“แม่ได้ยินว่าที่สระฉางเล่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจะไม่ให้กังวลได้อย่างไร” จี้ฮูหยินดึงหมิงเวยให้เข้ามา “ทำไมมือเจ้าถึงเย็นเพียงนี้รีบเข้าไปอาบน้ำเถอะ”
หมิงเวยก็ทำตัวเป็นเด็กดี “เจ้าค่ะท่านป้า”
นางหันกลับมาสบตากับจี้เสียวอู่และเลิกคิ้วเป็นนัยๆ จี้เสียวอู่กระตุกยิ้มมุมปาก บอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจแล้วจะไม่ปากโป้งออกไปเด็ดขาด
…………
รถม้าหยุดลงที่หน้าจวนโป๋วหลิงโหว หยางชูเดินลงมาและอาสวนยื่นมือออกไปรับ
“ทำอะไร” หยางชูมองมือของอาสวน จากนั้นก็ก้มลงมองเสื้อคลุมในอ้อมกอดของตน
อาสวนได้ยินนายของตนถามจึงกล่าว “ข้าน้อยจะช่วยคุณชายถือขอรับ”
หยางชูสะบัดเสื้อคลุมและสวมกลับไปอีกครั้ง “ถนนจากทางเข้าไปถึงเรือนยาวเพียงนี้เจ้าจะให้ข้าหนาวตายงั้นหรือ” กล่าวจบแล้วเขาก็เดินเข้าไปก่อน
“….” อาสวนมองมือของตนเองอยู่นานกว่าจะเก็บกลับไป
ตอนนี้เข้าเดือนเจ็ดเด็กหนุ่มกระฉับกระเฉงทรงพลังยังต้องสวมเสื้อคลุมอยู่หรือ ก่อนหน้านี้ลงน้ำไปแล้วยังอยู่ในรถม้าอุ่นๆ เป็นเวลานานจะมาแสร้งทำตัวอ่อนแอบอบบางอะไรกัน
หยางชูเดินไปแล้วทำเป็นไล่อาสวนออกไปอย่างรังเกียจ “ไม่ต้องตามข้ามา เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะทางแค่นี้จะเกิดเรื่องอะไรได้”
อาสวนคิดในใจแล้วเมื่อครู่ใครกันที่บอกว่าทางเดินจากประตูไปถึงเรือนไกลเพียงนั้น แต่เขาก็เข้าใจผู้เป็นเจ้านายล้วนหน้าหนากันทั้งนั้น
เขาจึงตอบอย่างว่าง่าย “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวขอรับ”
หยางชูเดินไปพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซากกระดูกมากมายเพียงนั้นมาจากไหนกันแน่ มีกระดูกก็ต้องมีคน หรือว่า…
แล้วเขาก็หยุดฝีเท้าลงยืดตัวขึ้นและโบกพัดไปมา
“เจิง…” มีเสียงต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น
คลื่นเสียงระเบิดขึ้นหยางชูยกพัดบังใบหน้าเอาไว้
“เจิงๆ!” มีเสียงดังตามมาอีก
หยางชูหันหลังกลับไป เห็นได้ชัดว่าในมือของเขาเป็นพัด แต่กลับเหวี่ยงออกไปราวกับว่ามันคือกระบี่ คลื่นอากาศและคลื่นเสียงปะทะกันราวกับคลื่นน้ำที่พลิ้วไหว ไอสังหารซ่อนอยู่ทุกแห่งหน
หยางชูยืนอยู่บนกำแพงเขาเงยหน้ามองบุรุษที่ยืนถือกู่ฉินอยู่บนสันหลังคาแล้วยิ้ม “ฝีมือดี องครักษ์จวนโป๋วหลิงโหวกลายเป็นอากาศธาตุสำหรับท่านไปเลย! ”
หนิงซิวพูดเสียงเรียบเฉย “คุณชายสามชมเกินไปแล้วไม่ใช่ว่าองครักษ์ไม่พบตัวข้า เพียงแต่ข้าเป็นแขก”
หยางชูโบกพัดในมือ “ในเมื่อเป็นแขก แต่ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเจ้าบ้านไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ”
หนิงซิวพูด “แขกปฏิบัติตัวเช่นนี้ต่อเจ้าบ้านเป็นการกระทำที่เสียมารยาทจริงๆ แต่หากเป็นศิษย์พี่กับศิษย์น้องถือว่าไม่เสียมารยาทอะไร” เขาแบกกู่ฉินไว้ที่หลังแล้วพยักหน้าให้หยางชู “นี่เป็นการพบกันครั้งแรกสินะ ศิษย์น้อง”
……………..