คู่ชะตาบันดาลรัก - ตอนที่ 139 จากกัน
หมิงเวยพาตัวฝูเข้าไปในห้องหลิวจิ่ง นางหยิบไม้ปัดฝุ่นออกมาทำความสะอาดโต๊ะบูชาเทพเจ้าอย่างที่ฮูหยินสามเคยทำ
“คุณหนู…” ตัวฝูอยากรับมาทำเองแต่หมิงเวยห้ามไว้
“เทพเจ้าไม่สนใจเรื่องของมนุษย์หรอก” หมิงเวยจุดธูปแล้วกล่าว “กราบไหว้ต่อเทพเจ้าเพื่อความสบายใจเถอะ” ตัวฝูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินสามเคยเผชิญ
กราบไหว้สามครั้งเสร็จก็ปักธูปลงกระถาง หมิงเวยหมุนตัวกลับมา “ตัวฝู เจ้าดูให้ดี นี่เป็นวิชาเรียกวิญญาณ”
นางงอนิ้วแล้วท่องคาถาเสียงเบาดึงพลังออกมาช้าๆ แล้วตวัดนิ้วออกไป
“ไป!” พลังลอยกระจัดกระจายออกไป ผ่านไปสักพักตัวฝูก็ได้ยินเสียงเบาๆ จากด้านนอกประตู นางหันกลับไป และเห็นร่างคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่านประตูแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าพวกนาง
เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดเจน ดวงตาของตัวฝูไม่ขยับปากของนางสั่นแล้วพึมพำออกมาว่า “คุณหนู…”
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา รูปร่างหน้าตาของนางเหมือนหมิงเวยราวกับแกะ เป็นภาพลักษณ์ในความทรงจำของตัวฝู
แน่นอนว่ามีความต่างกันอยู่เล็กน้อย แววตาของนางดูคล่องแคล่วกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อยไม่ได้เฉื่อยชาขนาดนั้นแล้ว
“ตัวฝู…” นางเอ่ยปากเรียกเบาๆ
น้ำตาของตัวฝูกลิ้งไหลลงพร้อมกัน “คุณหนู…” ทั้งสองคนอยากยื่นมือออกไปสัมผัสกันและกัน แต่เมื่อยื่นมือออกไปกลับว่างเปล่า
ตัวฝูร้องไห้อย่างหนัก “คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ…”
“ตัวฝู อย่าร้อง” คุณหนูเจ็ดชะงักไปชั่วขณะ แม้จิตวิญญาณจะสมบูรณ์แล้ว แต่โง่เขลามาหลายปี ทำให้นางยังเรียนรู้ได้ช้าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนธรรมดา
“ข้าสบายดี สบายดีจริงๆ”
ตัวฝูเช็ดน้ำตา “หลังจากนี้คุณหนูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ตัวฝูไม่สามารถอยู่ข้างกายคุณหนูได้อีกแล้ว บ่าวจะขอพรให้คุณหนูทุกเช้าเย็น คุณหนูจะได้ไปเกิดใหม่ในครอบครัวที่ดีมีความสงบสุขตลอดชีวิต”
คุณหนูเจ็ดเผยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา “เจ้าก็ด้วย ตัวฝู หลังจากนี้คิดถึงตัวเองให้มากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูพยักหน้าอย่างแรงจากนั้นก็พูดกำชับอยู่หลายเรื่อง
อันที่จริงนางพูดกำชับไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณหนูเจ็ดจะไปเกิดใหม่ในไม่ช้า ถึงเวลานั้นนางก็คงลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว
แต่หมิงเวยไม่ได้เตือนนาง คุณหนูเจ็ดเองก็ดูรับฟังอย่างดีจนกระทั่งนางพูดจนพอใจแล้ว พอเห็นพวกนางหยุดคุยกันแล้วหมิงเวยจึงโบกมือ “ตัวฝู มาช่วยข้าหน่อย”
ตัวฝูเดินเข้าไปหาแล้วรับเครื่องรางสวัสดิภาพที่หมิงเวยส่งมาให้ “วิชาเรียกวิญญาณเมื่อครู่ เจ้าจำได้หรือไม่ ลองเรียกดูหน่อย”
ตัวฝูกังวลเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าคะ”
“เจ้าลองดู” หมิงเวยพูดอย่างหนักแน่น
ตัวฝูพยักหน้าอย่างกลัวๆ “เจ้าค่ะ”
หมิงเวยถอยออกไปอยู่ด้านข้างมองดูตัวฝูที่ถือเครื่องรางสวัสดิภาพ งอนิ้วแล้วท่องคาถาอย่างที่เรียนมาจากหมิงเวยแล้วดึงพลังออกมา
การเคลื่อนไหวของนางยังดูเก้ๆ กังๆ คาถาที่ท่องก็มีสะดุด แต่ด้วยพลังปีศาจทำให้นางดึงดวงวิญญาณในเครื่องรางสวัสดิภาพออกมาได้อย่างราบรื่น
ควันที่ลอยออกมาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของฮูหยินสาม
คุณหนูเจ็ดนิ่งไปพักหนึ่งแล้วร้องตะโกนออกมา “ท่านแม่!”
น้ำตาที่ปราศจากกายเนื้อไหลลงมาเมื่อเห็นวิญญาณของบุตรสาว ฮูหยินสามก็น้ำตาไหล “เสี่ยวชี!” สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้
หมิงเวยมองดูฉากนี้ในใจรู้สึกเศร้าจนบรรยายออกมาไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง
นางได้ยินฮูหยินสามถามซ้ำไปซ้ำมา “หลายวันมานี้ลูกเป็นอย่างไรบ้าง แม่ขอโทษ แม่ไม่รู้ว่าลูก…”
“ลูกสบายดีเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ลูกอยู่แต่ในห้องตลอด ไม่ต้องตกใจกลัวกับสิ่งภายนอกแล้ว ท่านแม่ ท่านดูสิ ลูกไม่โง่เขลาอีกต่อไปแล้ว”
“ดีๆๆ แม่รู้ เสี่ยวชีฉลาดหลักแหลม…”
“ท่านแม่ ลูกคิดถึงท่านแม่มาก”
“แม่ก็คิดถึงลูก หลังจากนี้เราจะไม่จากกันไปไหนอีก พวกเราแม่ลูกจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” หมิงเวยฟังอย่างเงียบๆ พวกนางสองแม่ลูกดูเหมือนจะยังคุยกันไม่จบ แสดงความดีใจและความรักต่อกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้สึกเบื่อเลย
นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่ฮูหยินสามยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นนางยังไม่รู้ว่าตนไม่ใช่บุตรสาวของนาง ตนได้รับการปฏิบัติอย่างดี แต่ไม่ว่าจะดีอย่างไรก็ไม่เท่าตอนนี้ ความสนิทสนมกันที่เป็นธรรมชาติ
ตัวปลอมอย่างไรก็คือตัวปลอมไม่มีทางกลายเป็นตัวจริงได้ นางใจลอยอย่างเงียบๆ จมอยู่กับความคิดของตนเอง
ผ่านไปสักพักก็ได้ยินฮูหยินสามพูดว่า “เสี่ยวชี มานี่สิ” หมิงเวยมองสองแม่ลูกที่เดินมาอยู่ตรงหน้านางอย่างงุนงง
“พวกเราแม่ลูกได้มาพบกันอีกครั้งต้องขอบคุณผู้มีพระคุณ” นางได้ยินฮูหยินสามพูดกับคุณหนูเจ็ด
คุณหนูเจ็ดตอบรับอย่างว่าง่ายแล้วโค้งกายไหว้นาง “ท่านมีพระคุณยิ่งใหญ่นัก ข้าจะไม่ลืมไปตลอดชีวิตหวังว่าจะได้ตอบแทนคุณท่านในชาติหน้า”
หมิงเวยยิ้มอย่างยากลำบาก “ข้ายึดเอาร่างกายของท่านมา เป็นข้าต่างหากที่เป็นหนี้ท่าน เป็นเรื่องสมควรแล้วไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”
นางรวบรวมความกล้ามองฮูหยินสาม แววตาของนางยังคงเหมือนดั่งที่เคยเห็นเช่นวันก่อนๆ ดวงตาของนางอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ตอนนี้คนที่นางมองนั้นเป็นคุณหนูเจ็ดไม่ใช่นาง
หมิงเวยรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรจะเป็นก็แค่…
นางหลุบตาลงแล้วพูดเบาๆ “พวกท่านแม่ลูกได้พบกันแล้ว เพราะฉะนั้นปล่อยวางเรื่องราวในใจแล้วไปเกิดใหม่เสียเถอะ”
คุณหนูเจ็ดรีบถาม “หากไปเกิดใหม่พวกเราแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่”
หมิงเวยตอบ “หากพวกท่านอยากอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าจะร่ายคาถาให้พวกท่านเกี่ยวพันกันเพื่อที่จะได้พบกันในชาติหน้า”
คุณหนูเจ็ดดีใจมาก “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ!”
หมิงเวยยกมุมปาก “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก นี่เป็นชะตากรรมระหว่างข้ากับท่าน” แล้วนางก็หันไปย่อกายทำความเคารพฮูหยินสาม “หลายวันที่ผ่านมานี้ ขอบพระคุณฮูหยินที่ดูแลเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามมองนางแล้วถอนหายใจเบาๆ “เสี่ยวชี เจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่ได้หรือไม่” หมิงเวยชะงักแล้วเงยหน้ามองนาง
เป็นเรื่องจริงคนที่ฮูหยินสามมองคือนางไม่ใช่คุณหนูเจ็ด หมิงเวยอ้าปาก
ฮูหยินสามพูดเสียงเบา “ไม่ได้งั้นหรือ จริงสิ เจ้าเองก็มีมารดาของตัวเองนี่นะ”
“ท่านแม่!” แล้วน้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลออกมา ฮูหยินสามก้าวไปข้างหน้าต้องการที่จะกอดนาง แต่มนุษย์และวิญญาณอยู่ต่างภพกันจึงทำได้เพียงสัมผัสนางเบาๆ
“เด็กดี อย่างที่เจ้าพูด นี่คือชะตากรรมระหว่างพวกเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เราก็ถือว่าเป็นแม่ลูกกันแล้ว แม่ดีใจมากที่ก่อนตายได้มีลูกสาวอีกคน”
หมิงเวยเช็ดน้ำตาแล้วเห็นคุณหนูเจ็ดทำความเคารพต่อหน้านางพร้อมเรียกขานด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่”
นางเองก็ทำความเคารพตอบ ตัวฝูมองแล้วเช็ดน้ำตา
ฮูหยินสามรู้สึกได้ทันทีว่าเวลาเหลือไม่มากแล้วจึงรีบพูดออกไป “เสี่ยวชี แม่กับน้องต้องไปแล้ว จากนี้ไปฝากลูกดูแลแม่นมกับทุกคนด้วย แม่นมอยู่กับแม่มาทั้งชีวิต รักเหมือนมารดาหวังว่าลูกจะช่วยดูแลนางจนถึงบั้นปลายชีวิต ปิงซินกับซู่เจี๋ยเป็นเด็กที่ดี ลูกช่วยดูแลพวกนางหาที่พักพิงให้แก่พวกนางด้วย…”
“ยังมีตัวฝูด้วย” คุณหนูเจ็ดพูด “ข้ารู้ว่าตอนนี้ตัวฝูไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว แต่นางเป็นคนเรียบง่าย ไร้เดียงสา ฝากท่านพี่ดูแลนางด้วย”
“คุณหนูเจ้าคะ!” ตัวฝูน้ำตาคลอ
คุณหนูเจ็ดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตัวฝู ขอบคุณเจ้ามากที่ดูแลข้ามาตลอดหลายปี หากข้าจากไปแล้วเจ้าต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านพี่นะ ข้าจะได้สบายใจ”
“เจ้าค่ะ ตัวฝูจะเชื่อฟัง”
………………………