คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 862 มู่ซีหายตัวไป
ตอนที่ 862 มู่ซีหายตัวไป
เฉิงเอินโหวเต็มไปด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม สีหน้าของเขาเคร่งขรึมทว่าเคร่งเครียด หากมองอย่างละเอียดจะเห็นความกังวลและความหนักใจในแววตาของเขา กล้ามเนื้อแก้มทั้งสองข้างตึงจนแน่น
เหล่านักพรตต่างพากันเดินเข้าไปหา ฉินหลิวซีดึงแขนเสื้อของเสวียนชิงจื่อเบาๆ เอ่ยถามเสียงเบา “ที่นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ พวกเจ้ามาทำอะไรกัน”
เสวียนชิงจื่อชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้หรือ แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมเล่า”
“ไม่รู้น่ะสิ ข้าแค่มาตามหาคน”
เสวียนชิงจื่อยิ่งงงกว่าเดิม เมื่อลองคิดถึงคำพูดของนาง ดูท่าว่าคนที่นางตามหาคงไม่ใช่คนเดียวกับที่พวกเขาตามหา มิฉะนั้นฉินหลิวซีคงไม่ถามอะไรที่เป็นคำถามเปล่าประโยชน์เช่นนี้
“มีข่าวลือว่าที่เขาปทุมทองคำมีนกกระเรียนเจ็ดสีอันเป็นมงคลออกมาปรากฏตัว มู่ซื่อจื่อแห่งจวนเฉิงเอินโหวจึงคิดจะจับนกกระเรียนตัวนี้ไปถวายเป็นของขวัญวันเกิดแก่ฮองเฮามู่ จึงได้พาผู้ติดตามและคุณชายจากเมืองหลวงสองคนเข้ามาหานกกระเรียนที่เขาปทุมทองคำ แต่กลับหายตัวไป ตามหาไม่เจอ”
ฉินหลิวซีเข้าใจในทันที ก็คือเจ้าเด็กโง่คนนั้นหานกกระเรียนไม่เจอ แต่กลับทำตัวเองหลงทางหายไปแทน จึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตนี้ขึ้นมา
“หายไปกี่วันแล้ว เรียกพวกเจ้ามา หรือว่ามีอะไรผิดปกติในนี้อย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีหรี่ตาลงพลางเอ่ยถาม
เสวียนชิงจื่อตอบเสียงขรึม “เป็นเวลาได้สามวันแล้ว ได้ยินว่าสองวันก่อนหน้านี้ทางจวนเฉิงเอินโหวได้ส่งกองทหารองครักษ์กว่าพันคนขึ้นเขาไปค้นหาแล้วแต่ก็ไร้ผล พวกเขาเข้าไปถึงเพียงครึ่งเขาก็ไม่สามารถไปต่อได้ ดวงวันเกิดของมู่ซื่อจื่อเป็นลบ ต้องแขวนยันต์แคล้วคลาดทั่วทุกจุด แต่ยังมาพบกับเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ จวนเฉิงเอินโหวจวนจะบ้ากันหมดแล้ว เพราะเขาเป็นบุตรคนเดียวที่สืบทอดตระกูลทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องเอ่ยถึงความร้อนใจของเฉิงเอินโหวร้อนใจ ฮองเฮามู่ถึงร้อนใจจนเป็นลมไป สุขภาพอ่อนแอลง กังวลว่ามู่ซื่อจื่ออาจจะพบกับเรื่องราวลึกลับในทางหยิน จึงได้เชิญพวกเรามา”
ฉินหลิวซีพยักหน้ารับรู้ จากนั้นมองไปยังเขาปทุมทองคำ ยามนี้ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ หมอกเริ่มลอยขึ้นมา ทำให้เขาปทุมทองคำดูเหมือนเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“ท่านอาจารย์ทั้งหลาย ข้าขอร้องท่านทั้งหลายช่วยนำบุตรของข้ากลับมาด้วย จะเป็นหรือตายก็ตาม…ตระกูลมู่ของข้าย่อมมีรางวัลตอบแทนให้อย่างงาม” เฉิงเอินโหวในเวลานี้โค้งคำนับให้แก่ทุกคนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
เหล่านักพรตต่างตอบรับด้วยการทำความเคารพตอบ และต่างพากันกล่าวคำพูดอันองอาจกล้าหาญ การกำจัดปีศาจปกป้องเต๋าเป็นหน้าที่ของพวกเขา จะต้องนำคนกลับมาให้ได้
ฉินหลิวซีบ่นพึมพำ “ลมพัดแรงเพียงนี้ ไม่กลัวลิ้นจะเบียด[1]หรือ อีกหน่อยคงหน้าแหกกันเป็นแถบๆ”
การเอ่ยมั่นอกมั่นใจจนเกินไป ก็เท่ากับการปิดกั้นเส้นทางของตนเอง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดในภูเขาแห่งนี้ ทว่าเอ่ยวาจากล้าหาญเพียงนี้ หากล้มเหลวเล่า
ไม่ไกลจากฉินหลิวซี มีเด็กหนุ่มนักพรตน้อยคนหนึ่งได้ยินเสียงบ่นพึมพำของนาง หันกลับมามองนางด้วยสายตาดุ แสดงความดูแคลน
ฉินหลิวซี ถ้าดวงตาเจ้าป่วยข้าจะใช้เข็มทิ่มให้สักเข็มสองเข็มเอง มองข้าทำไมกัน
เสวียนชิงจื่อได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจและไร้คำพูด
“ใช่ท่านเจ้าอาวาสน้อยหรือไม่” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่ามีองครักษ์ในชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
หยวนเหมิงถู มองนางด้วยความตื่นเต้น เอ่ย “ท่านได้รับข่าวแล้วมาที่นี่หรือ แต่ไม่น่าจะใช่ คนเพิ่งออกไปยังไม่ถึงสองวันเอง ไยท่านจึงมาถึงเร็วเพียงนี้”
ฉินหลิวซีจำเขาได้ เขาเป็นองครักษ์ที่เคยตามอยู่ข้างกายมู่ซี ชื่อหยวนอะไรสักอย่าง
“อ้อ เป็นพ่อคนแล้วสินะ ถึงไม่ได้ติดตามมู่ซี ลูกชายเจ้านี่นำโชคให้เจ้าจริงๆ”
หยวนเหมิงใจเต้นขึ้นมา ภรรยาของเขาพึ่งให้กำเนิดบุตรชายตัวอ้วนจ้ำม่ำเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มู่ซีจึงเมตตาให้เขาหยุดงานเพื่อไปดูแลภรรยาและลูก ดังนั้นเมื่อมู่ซีมาที่ภูเขาปทุมทองคำ เขาถึงไม่ได้ตามมาด้วยและหนีรอดจากเหตุการณ์หายตัวไปนี้ได้อย่างหวุดหวิด
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะดีใจที่ฉินหลิวซีทายว่าเขาได้รับโชคจากการมีบุตร สิ่งที่เร่งด่วนกว่านั้นคือเรื่องของซื่อจื่อน้อยของเขา
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของท่านเจ้าอาวาสน้อย” หยวนเหมิงคำนับอย่างนอบน้อม เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ซื่อจื่อของข้าเกิดเรื่องแล้วขอรับ”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
“เช่นนั้นท่าน?”
หยวนเหมิงร้องอุทานออกมา เขาหมายความว่า ต่อให้ส่งม้าที่เร็วที่สุดไปก็ไม่น่าจะเชิญท่านมาได้เร็วเพียงนี้ ที่แท้เป็นแค่ความบังเอิญหรอกหรือ
“หยวนเหมิง” เฉิงเอินโหวไอเบาๆ พร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น
หยวนเหมิงหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เดินเข้าไปข้างเฉิงเอินโหวแล้วอธิบายอะไรบางอย่าง เมื่อเฉิงเอินโหวได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย รีบเดินเข้ามาหา
“ท่านคือท่านไต้ซือที่บุตรชายของข้ามักเอ่ยถึงอยู่เสมอใช่หรือไม่ ท่านเจ้าอาวาสน้อยจากอารามชิงผิงหรือ” เฉิงเอินโหวเห็นฉินหลิวซี ก็เหมือนเห็นญาติสนิท
เหล่านักพรตที่อยู่รอบๆ ต่างมีสีหน้าที่สงสัย ส่วนผู้ที่เคยดูแคลนฉินหลิวซีถึงกับหน้าชาไปหมด
หรือว่านางจะเป็นอาจารย์ระดับปรมาจารย์เช่นกันหรือ
เป็นไปได้อย่างไร นางอายุยังน้อยอยู่เลย แถมใบหน้านั้นก็ดูดีเกินไป มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าเป็นคนที่ทำเรื่องสำคัญได้เลย
ฉินหลิวซีมองไปยังเฉิงเอินโหว เอ่ย “ข้ามาจากอารามชิงผิง ฉายาปู้ฉิว ส่วนจะใช่คนที่มู่ซีเอ่ยถึงหรือไม่ ข้าไม่แน่ใจ”
“เจ้าอาวาสน้อย ท่านมาแล้วก็ดี ท่านต้องช่วยเหลือซีเอ๋อร์ของข้าด้วย ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น” เฉิงเอินโหวกล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ
ฉินหลิวซี “ข้าแค่ผ่านมา”
เฉิงเอินโหวที่กำลังตื่นเต้นถูกคำพูดนี้กระแทกใจจนชะงักไป คิดถึงตอนที่บุตรชายของเขาเคยใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อเครื่องรางคุ้มครองจากเจ้าอาวาสน้อยนี้ จึงเอ่ย “ตราบใดที่ท่านสามารถช่วยเหลือลูกชายของข้าได้ ค่าน้ำมันตะเกียงข้าย่อมไม่จำกัด”
เมื่อสิ้นคำพูดนี้ ยังไม่ทันที่ฉินหลิวซีจะตอบ เหล่านักพรตบางคนกลับมีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา
ฉินหลิวซีสังเกตเฉิงเอินโหวเล็กน้อย เอ่ย “ท่านโหวไม่ต้องกังวล แม้ว่าใบหน้าของท่านจะมีเมฆดำปกคลุม โชคชะตาเกี่ยวกับบุตรชายของท่านก็มืดมนไร้แสง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ผู้มีผมขาวต้องส่งผู้มีผมดำกลับบ้าน ขอให้ท่านเบาใจลงได้ แต่หากทิ้งไว้นานกว่านี้ก็ไม่อาจบอกได้”
เฉิงเอินโหว ท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ได้ ไม่คิดถึงจิตใจของข้าผู้เป็นบิดาเลย
แต่เมื่อได้ยินว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มีความหวังอยู่ก็ดีแล้ว
เหล่านักพรตที่ได้ยินคำพูดนี้ก็พากันมองไปยังเฉิงเอินโหว ในเมื่อเป็นผู้ฝึกวิชาเต๋า ก็ย่อมมีความรู้ในศาสตร์การดูโหงวเฮ้งอยู่บ้าง จะชำนาญมากน้อยเพียงใดก็เป็นอีกเรื่อง แต่พื้นฐานก็คงพอจะมองออก
อย่างที่ฉินหลิวซีพูดไว้ โชคชะตาเกี่ยวกับบุตรของเฉิงเอินโหวนั้นมืดมนไร้แสง แต่ก็ไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะมีการสูญเสียบุตร
“เช่นนั้นเจ้าอาวาสน้อย จะช่วยได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “เดิมทีข้าก็มาที่นี่เพื่อตามหาคนเช่นกัน เพื่อนของข้าคนหนึ่งหายตัวไป ข้าตามรอยวิญญาณของเขามา แต่รอยวิญญาณกลับหายไปที่นี่ ในเมื่อข้าก็หาคนอยู่แล้ว เช่นนั้นจะลองดูว่าทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
เฉิงเอินโหวได้ยินดังนั้นถึงกับอึ้งไป
ปรมาจารย์ไท่เฉิงใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าของไท่หยาง เขาเอ่ยเสียงต่ำ “สหายเต๋าปู้ฉิวหมายความว่าที่นี่มีการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกวิชามารอย่างนั้นหรือ ซื่อจื่อน้อยไม่ได้แค่หลงทางอยู่ในภูเขา แต่มีผู้ฝึกวิชามารจับตัวหรือ”
“หากเป็นการหลงทางธรรมดา ก็คงไม่จำเป็นต้องเชิญพวกท่านมา พันกองทหารองครักษ์ค้นภูเขาไม่เจอ แล้วหมื่นกองทหารล่ะ แต่หากภูเขาแห่งนี้มีบางอย่างผิดปกติ แม้จะมีทหารธรรมดาแสนคนก็เข้าไปไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าจะมีโชควาสนา”
หมายความว่าพวกเขาเข้าไปไม่ได้ เพราะว่าที่ภูเขาแห่งนี้มีการตั้งอาณาเขตที่คนธรรมดาไม่อาจผ่านไปได้
“ส่วนจะใช่ผู้ฝึกวิชามารหรือเป็นสิ่งอื่นใดนั้น ข้าขออภัยที่ฝีมือยังไม่เก่งกล้า จึงไม่กล้ารับรองอย่างมั่นใจเช่นพวกท่าน”
วาจานี้ทำเอาเหล่านักพรตต่างหน้าถอดสีไปตามๆ กัน นี่แอบจิกกัดพวกเขาหรืออย่างไร
[1] การพูดคำพูดที่ใหญ่โตหรือหนักแน่นในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรือไม่มั่นคง ซึ่งอาจทำให้ต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากคำพูดนั้น