คุณสามีพันล้าน - บทที่ 234 แค่ไม่พอใจ
เปรมาพูดต่อ “หนูกลับมาก่อนค่ะ แม่จะตามกลับมาภายหลัง แต่แม่ของหนูจะกลับมาแค่ระยะหนึ่งค่ะ”
ณัชชาขานตอบ เพื่อแสดงว่ารับรู้แล้ว
“น้าชาคะ พวกท่านกลับมาทำไมไม่บอกล่วงหน้าคะ หนูจะได้ไปรับที่สนามบิน”
ณัชชายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเราอยากให้คนมารับ แค่โทรหาที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องรบกวนหนูหรอก”
เธอมีลูกชายตั้งสองคน
แม้ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับการทำงาน แค่เธอโทรหาพวกเขา ลูกชายทั้งสองก็จะทิ้งงานแล้วไปรับเธอที่สนามบิน
หรือไม่ก็โทรหาพ่อบ้าน พ่อบ้านก็จะไปรับพวกเขาที่สนามบินด้วยตัวเอง
ตระกูลอริยชัยกุลมีคนมากมาย ไม่ถึงขั้นต้องไปรบกวนเปรมาหรอก
“ไม่รบกวนเลยค่ะ ได้ไปรับน้าชาที่สนามบิน เป็นเกียรติของหนูด้วยซ้ำ ในอนาคตถ้าน้าชาต้องการให้หนูช่วยอะไร ก็โทรมาได้เลยค่ะ น้าชามักพูดว่าพัฒน์กับน้องเป็นผู้ชายทั้งคู่ จึงไม่ละเอียดอ่อนมากนัก เรื่องบางเรื่องพวกเขาอาจคิดไม่ถึง แต่หนูช่วยได้นะคะ”
“หนูเพิ่งกลับมา ธุรกิจยังไม่เข้าที่เข้าทาง มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุด น้าชาจะกล้ารบกวนหนูได้ไง”
เมื่อพูดถึงธุรกิจของตัวเอง เปรมาก็นิ่งไป
“ทำไม ธุรกิจหนูมีปัญหาเหรอ?”
การนิ่งของเธอ ทำให้ณัชชารู้สึกถึงความผิดปกติ
ณัชชาเป็นคนสบาย ๆ ไม่ชอบวางท่า และเข้าถึงง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอโง่
คนที่คลุกคลีอยู่ในตระกูลเศรษฐีมาตลอดชีวิต มักจะฉลาดและเจ้าเล่ห์
“น้าชา ธุรกิจของหนูมีปัญหานิดหน่อยค่ะ”
“ไหนลองเล่ามาซิ ว่ามีปัญหาอะไร?”
ณัชชาเพียงถามเธอว่ามีปัญหาอะไร ไม่ได้รับปากว่าจะช่วยเธอ
ในใจของเปรมากำลังขุ่นเคือง อย่ามองว่าณัชชาเป็นคนพูดง่าย ที่จริงเธอเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกว่าบัณฑิตาเสียอีก บัณฑิตาแค่หยิ่งยโสและอุกอาจ แต่เล่ห์เหลี่ยมสู้ณัชชาไม่ได้
ถ้าเป็นบัณฑิตา เธอจะบอกว่า มีปัญหาอะไรเธอจะช่วยอย่างแน่นอน
ทว่า ณัชชาไม่มีทางพูดแบบนี้
“น้าชา หนูกลับมาไม่นาน เพราะมีเรื่องบางอย่างจนทำให้ทะเลาะกับพัฒน์ และพัฒน์กดดันธุรกิจของหนูเพราะความโกรธ หนูเพิ่งย้ายธุรกิจกลับมาในประเทศ และรากฐานยังไม่มั่นคง หนูจะยืนหยัดต่อการกดดันของพัฒน์ได้อย่างไร ตอนนี้หนูเสียเปรียบมาก ๆ ถ้าพัฒน์ยังไม่หยุด หนูต้องสูญเสียเงินทั้งหมดที่เคยหามาได้แน่ ๆ”
เปรมานั้นกังวลจริง ๆ
ถ้าไม่มีธุรกิจแล้ว เธอยังเหลืออะไรอีก?
ยศพัฒน์ไม่ใช่ของเธอ
นฤเบศวร์ก็แต่งงานกับกนกอรแล้ว
เธอจะไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ
จัตรภัคพูดออกมาเบา ๆ “หนูไปทำอะไรให้พัฒน์โกรธล่ะ?เขามักจะแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเสมอ”
เปรมาพูดโกหก “หนูไม่ได้ทำอะไรค่ะ พัฒน์ถูกคนอื่นเป่าหูมา เขา……”
“พัฒน์ไม่ชอบหนู แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่ไม่ชอบใครก็เหยียบอีกฝั่งจนตาย อย่างมากก็แค่ไม่มาเจอหนู ไม่รับสาย อยู่ห่าง ๆ จากหนู การใช้สถานะและอิทธิพลของเขาเพื่อมากดดันธุรกิจของหนูแบบนี้ เปรม์ หนูไม่ได้พูดความจริงใช่ไหม หนูต้องทำอะไรที่ทำให้พัฒน์โกรธมากแน่ ๆ”
“หนูบอกว่าเขาโดนเป่าหูมา เขาเป็นคนแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ใครจะไปเป่าหูเขาได้?”
ณัชชารู้จักลูกชายของตัวเองดี
หากเปรมาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไป ลูกชายของเขาก็ไม่น่าไปกดดันธุรกิจของเปรมา และกดดันหนักจนเปรมาสูญเสียทุกอย่าง
“เปรมา แม้ว่าหนูและพัฒน์จะรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก แต่การรู้จักกันไม่ได้หมายความว่าเป็นความรัก เขาไม่ได้รักหนูแบบนั้น ดังนั้นหยุดหลงใหลในตัวเขาเถอะ เป็นแบบนี้ต่อไป จะไม่เป็นประโยชน์ต่อหนูและเขา”
ณัชชาเกลี้ยกล่อมเปรมาว่า “ไม่ใช่ว่าน้าชาพูดแทงใจหนูนะ แต่ป้าจำได้ว่าพัฒน์ตั้งใจรักษาระยะห่างจากหนูตั้งแต่เขาอายุสิบสองปี เขาเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และเขาก็เริ่มรู้จักความรักตั้งแต่ตอนนั้น”
“ผู้ชายที่รู้จักกันมามากว่า 20 ปี ถ้าเขาบอกว่าไม่รัก ก็คือไม่รักจริง ๆ ถ้าเขาจะรัก คงรักไปนานแล้ว แม้ว่าตระกูลอริยชัยกุลของเรา และตระกูลเดชอุปไม่ลงรอยกัน ทว่าชายหนุ่มจากตระกูลเดชอุปมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อหนูจริง ๆ”
“เปรม์ หนูต้องรู้จักรักษาคนที่อยู่ข้างเราไว้นะ”
เปรมาเงียบ
และเข้าใจเหตุผลที่น้าชาปฏิเสธที่จะให้เธอมาอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลอริยชัยกุล ตอนที่เธอกลับมาเที่ยวพักผ่อน
น้าชามองทะลุปรุโปร่ง
ที่จริง ในใจของเปรมารู้ดี
ยศพัฒน์ไม่ได้รักเธอจริง ๆ เมื่อก่อนไม่รัก ตอนนี้ไม่รัก อนาคตก็ไม่มีทางรัก
ตามที่น้าชาพูด รู้จักกันมา 20 กว่าปี ถ้าจะรักคงรักกันไปนานแล้ว
เมื่อสิบปีก่อน เธอปีนขึ้นไปบนเตียงของเขาในสภาพเปลือยเปล่า เขาก็ไม่สนใจ ม้วนเธอด้วยผ้านวมแล้วโยนเธอออกจากห้องของเขา โดยไม่มีความทะนุถนอมเลย
ถ้าไม่ม้วนผ้านวม และถูกโยนออกไปแบบนั้น จะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ ๆ
ในตอนนั้น ใบหน้าของเปรมาแดงไปหมด และรู้สึกอายมาก
ตอนนั้นเธออายุเพียงสิบแปดปี และผิวของเธอก็อ่อนโยนมาก
เพื่อเขาแล้ว เธอยอมแม้กระทั่งเสียหน้า แต่เขากลับไม่เห็นคุณค่า
หลังจากโยนเธอออกไปแล้ว เขาก็ไล่ให้เธอออกไป แล้วแจ้งแม่บ้านที่บ้านของเขา ให้เข้ามาจับเธอออกไป
เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย และแน่นอนว่าเธอไม่สามารถให้คนอื่นเห็นสภาพที่น่าอับอายและไร้ยางอายของเธอได้ เธอลุกขึ้นด้วยตัวเอง เอาผ้าห่มห่อร่างตัวเองไว้ ร้องไห้แล้ววิ่งออกไป
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต มันมีแต่จะกระตุ้นความไม่พอใจของเปรมาเท่านั้น
เปรมาไม่พูดอะไร และณัชชารู้ดีว่า หล่อนไม่สามารถละทิ้งความผูกพันกับลูกชายของเธอได้
ณัชชาถอนหายใจภายในใจ
บางที ต้องรอจนกว่าลูกชายของเธอจะแต่งงานและมีลูกก่อน เปรมาถึงจะค่อย ๆ ปล่อยวางเรื่องนี้
อีกอย่าง ลูกชายทั้งสองของเธอก็โตแล้ว เมื่อไหร่พวกเขาจะแต่งงานและมีลูกสักที ให้เธอได้ลิ้มรสว่าการเป็นคุณย่าคน มันเป็นอย่างไร?
พ่อแม่สามีก็จริง ๆ เลย ทำไมไม่รู้จากเร่งหลาน ๆ กันบ้าง ตระกูลอริยชัยกุลในรุ่นนี้มีหลานชายทั้งหมด 10 คน นอกจากคนสุดท้องที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ และคนรองสุดท้ายที่เพิ่งอายุ 20 ปี หลานชายอีกแปดคน ก็อายุถึงวัยแต่งงานแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองท่านก็อยากเป็นทวดคนแล้ว แต่ก็ไม่เร่งหลาน ๆ กันเลย
พัฒน์ก็อายุยี่สิบเก้าปีแล้ว และเขาจะอายุสามสิบในพริบตา
แม้ว่าผู้ชายอายุสามสิบถึงจะเริ่มสมบูรณ์และเพียบพร้อม ทว่า ครอบครัวคนทั่วไป ผู้ชายอายุสามสิบก็เป็นพ่อคนแล้ว ลูกก็สามารถวิ่งเล่นได้แล้ว
คนงานในคฤหัสถ์เมเปิลส่วนใหญ่อายุประมาณสามสิบต้น ๆ พวกเขานั้นก็มีลูกสองคนแล้ว
เปรมาพาทั้งคู่กลับมาถึงประตูของคฤหัสถ์เมเปิล
หน้าประตูคฤหัสถ์เมเปิลมีป้อมยามอยู่ และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำการตลอด 24 ชั่วโมง
เปรมาบีบแตร
เมื่อเห็นว่าเป็นรถของเปรมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่ได้เปิดประตูคฤหัสถ์เมเปิล แต่เดินออกไปและพูดอย่างสุภาพ: “คุณเปรมาครับ คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากคุณชาย ก็ไม่สามารถให้คุณเปรมาเข้าไปได้ครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเปรมาก็หมองลง
เธอพยายามไม่โกรธ และพูดกับ รปภ. อย่างอารมณ์ดีว่า “ลุงดูสิคะ ว่าบนรถของฉันมีใครนั่งมาด้วย? ลุงภัคกับน้าชาอยู่ในรถฉัน ฉันมาส่งพวกท่าน รีบไปเปิดประตูใหญ่สิ”
รปภ. ที่ปฏิบัติหน้าที่มองไปยังเบาะหลังของรถเปรมา และเห็นคุณท่านทั้งสองของบ้าน
รปภ. รู้สึกลำบากใจทันที
เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาหัวหน้าเพื่อขอคำแนะนำ หัวหน้าก็จะไปรายงานคุณชายใหญ่ ส่วนเขานั้นรอรับคำสั่งเฉย ๆ ก็พอ