คุณซาโกะผู้เพียบพร้อมอยากจะเป็นเหมือนอย่างผม - ตอนที่ 12
พอเปิดทางเข้าหน้า ผมก็พบกับภาพทิวทัศน์ยามวิกาลของย่านที่อยู่อาศัยอันแสนคุ้นเคย แม้แต่ถนนยางมะตอยที่เคยร้อนระอุก็เย็นลงไปมาก
วันนี้เป็นวันที่ผมสัญญาจะไปเดทกับคุณซาโกะที่เทศกาลฤดูร้อน
ผมใส่รองเท้าเกี๊ยะ และชุดฤดูร้อนธรรมดาๆ แล้วเดินทางไปป้ายรสบัสที่ใกล้ที่สุด ระหว่างทางผมก็เห็นผู้หญิงหลายคนใส่ชุดยูกาตะ ทำให้ผมดูกลมกลืนไปด้วย สงสัยจังว่าคุณซาโกะจะใส่ชุดยูกาตะ…หรือจะฟังคำขอของผมแล้วใส่ชุดไปรเวทกันนะ?
ถ้าใส่ยูกาตะ ก็จะเป็นหลักฐานชั้นดีเลยว่าเธอจะทำทุกอย่างทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้เลิกสมบูรณ์แบบ
เอาล่ะ ผลจะเป็นยังไงกันนะ?
ขณะที่รอรถบัส ผมก็เอามือถือออกมาดู บนหน้าจอนั้นผมเห็นข้อความของทาคุมิ ใจความว่า
‘ขอให้โชคดีในสนามรบนะ’
ผมก็เลยตอบกลับไปสั้นๆ
‘จะพยายามให้ดีที่สุด’
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมได้รับคำแนะนำหลายๆอย่างมาจากทาคุมิต้องขอบคุณคำแนะนำพวกนั้น
ผมถึงได้คิดว่าตัวเองจะได้นำการเดตครั้งนี้ได้อย่างถูกต้อง ผมยังคิดว่าคุณซาโกะกับผมไม่คู่ควรกันก็จริงแต่อย่างน้อยๆผมก็อยากให้เธอได้สนุกกับเดทครั้งนี้และเพื่อการนั้นแล้วต่อให้จะทำอะไรเกินตัวก็คงไม่เป็นอะไรหรอก
ผมเก็บมือถือ แล้วผมก็นึกถึงคำแนะนำจากทาคุมิอีกครั้ง
‘ถ้าเจอเจ้าตัวเมื่อไร ต้องชมชุดของเธอก่อนเลย’
ผมไม่รู้ว่าคุณซาโกะจะใส่ชุดแนวตะวันตกหรือยูกาตะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรผมก็ชมอยู่ดี ระหว่างที่ผมกำลังท่องจำบทพูดอยู่ในหัว แสงสว่างของรถบัสก็ตัดผ่าความมืดมา รถบัสที่จะมุ่งหน้าไปที่ศาลเจ้าใกล้ๆคันนี้ถูกอัดแน่นไปด้วยครอบครัวและเหล่าคู่รัก ไม่เมื่อแต่ก่อน ผู้โดยสารทุกคนกำลังยิ้มอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นคนเดียวที่ประหม่าอยู่ตอนนี้
…
มือถือของฉันกำลังสั่น เป็นข้อความจากสึโยชิคุงนั่นเอง ใจความว่า
‘ที่ป้ายรถบัสคนแน่นมากเลย ผมอาจจะไปสายนิดนึงนะ’
ฉันเลยตอบกลับไปสั้นๆว่า
‘ไม่เป็นไรจ้า’
หน้าสถานีรถไฟเป็นที่เป็นสถานที่ที่เรานัดพบกันนั้นเต็มไปด้วยผู้คนแล้วเรียบร้อย วันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะได้เจอสึโยชิคุง เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้สารภาพความรู้สึกของฉัน
จริงๆแล้วฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงมันเลยล่ะ แต่จะมาปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องเอาชนะสึโยชิคุงให้ได้ในวันนี้
ฉันเอามือถือออกมาแล้วใช้กล้องเช็คทั้งผมทั้งชุดว่าโอเครึเปล่า ฉันซื้อยูกาตะสีขาวแดงตัวใหม่มาด้วย
เนื่องจากสึโยชิคุงบอกว่าอยากเห็นฉันในชุดไปรเวท ฉันเลยเลือกชุดยูกาตะแทน การเมินคำขอของผู้ชายแบบนี้จะทำให้ฉันอยู่ตรงข้ามกับคำว่าสมบูรณ์แบบ แล้วคุณแม่ก็ช่วยฉันมัดผมให้มันมาอยู่ข้างหลัง ซึ่งจะทำให้เห็นต้นคอของฉันด้วยแล้วฉันก็ตัดหน้าม้านิดหน่อยเพื่อให้ดูซุ่มซ่ามพอๆกับตอนที่ฉันถูกปฏิเสธครั้งแรก
รู้ได้เลยว่าการเตรียมตัวของฉันนั้นสมบูรณ์แบบ ฉันพยักหน้ากับตัวเอง ตัวฉันนี่ยังน่ารักเหมือนเมื่อก่อนเลยนะเนี่ย แต่ภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบของฉันก็ถูกทำลายเรียบร้อย เป็นไปตามกลอุบาย
ถึงแบบนั้น ฉันก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย ทุกครั้งที่เห็นเด็กผู้หญิงเดินผ่านฉัน ฉันรู้สึกว่าดีไซน์ยูกาตะของฉันมันจืดเกินไป ก็คิดว่าเขาจะไม่สนใจยูกาตะในตอนแรก แต่ฉันก็อยากให้สึโยชิคุงคิดว่าฉันน่ารักอยู่ดี
หน้าอกของฉันถูกเติมเต็มด้วยความตึงเครียด และเมื่อฉันชำเลืองสายตาไปมองฝูงชน ฉันคิดว่ามันน่าจะได้เวลาที่เข้าจะมาถึงสักที แต่ด้วยความที่มีผู้มาเยือนเยอะมาก ก็เลยยากที่จะสังเกตุเขา
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาคิดว่าฉันจะใส่ชุดไปรเวทมาเลย เขาก็เลยอาจจะไม่มองหาฉันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันกะว่าจะเรียกเขาให้ตกใจเล่นสักหน่อย ฉันคาดหวังกับรีแอคชั่นของเขาสุดๆเลยล่ะ อาจจะสะดุ้งตัวโหยง-อย่างไรก็ตาม ขณะที่ฉันกำลังจมลงสู่ห้วงความคิด ก็มีใครบางคนมาเรียกฉันแทน
“ขอโทษที่ให้รอนะ คุณซาโกะ”
“หวา สุโยชิคุง!? ตกใจหมดเลย!”
ฉันว่าฉันมองหารอบๆดีแล้วนะ แต่สึโยชิคุงก็ยังเห็นฉันก่อน สมแล้วจริงๆ
เนื่องจากสึโยชิคุงใส่อะไรที่ต่างจากที่ฉันคิดมาก เขาจัดทรงผมขึ้นนิดหน่อย ทำให้เห็นดสงตาอันอ่อนโยนขึ้นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาใส่จินเบสีดำกับกางเกงขายาว ดูเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าตอนใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนซะอีก
ฉันอยากบอกสึโยชิคุงว่าเขาเท่ขนาดไหน อยากจะชมเขาเพราะมันเหมาะกับเขาเหลือเกิน แต่…ลิ้นของฉันมันทำงานดีๆไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สึโยชิคุงเป็นฝ่ายทักก่อนอีก
“สวยอะไรขนาดนี้กันเนี่ย คุณซาโกะ”
สมองฉันเยือกแข็งโดยสมบูรณ์ เมื่อกี้เขาบอกว่าฉันสวยเหรอ…? ถึงจะแค่คำพูดคำเดียว สมองฉันก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้
ในที่สุดฉันก็เรียกความสงบกลับมาได้และรู้สึกจัวสักทีว่าเขาพูดเรื่องอะไร
“อ๊ะ! หมายถึงยูกาตะสินะ! มันสวยใช่ไหมล่ะ? คุณแม่ก็บอกว่าถ้าฉันใส่จะต้องสวยมากๆ แล้วก็-”
“ไม่ใช่หรอก ผมหมายถึงคุณซาโกะต่างหากที่สวย ยูกาตะก็แค่ของเสริมเท่านั้นแหละ”
ฉันตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เอาซะตาลายไปหมดเลยอ่า
หัวใจฉันเต็นรัวป่านสายฟ้าฟาด แต่ถ้าเร็วขนาดนี้ฉันตายได้เลยนะเนี่ย
“เป็นไรรึเปล่า?”
“อะ-อื้ม ก็คงงั้นแหละ”
ไม่เป็นไรที่ไหนกันเล่า
“ตัดหน้าม้ามาด้วยสินะเนี่ย”
“ใช้แล้วล่ะ! ดูซุ่มซ่ามดีใช่ไหมล่ะ!”
“ไม่หรอก ผมว่าเข้ากับเธอดีนะ”
จบสิ้นแล้ว ความพยายามจะทำลายภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบของฉันมันล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ไปกันเลยไหม?”
สึโยชิคุงรับหน้าที่เป็นคนนำ เดินไปข้างหน้าโดยห่างจากฉันครึ่งก้าว
แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือจะพูดให้ถูก ทุกอย่างมันแปลกๆเลยต่างหาก ทำไมสึโยชิคุงใส่ชุดแบบนั้นล่ะ? อย่างกับว่าเขาเดาออกว่าฉันจะใส่ยูกาตะยังไงยังงั้นแหละ ถึงเขาจะไม่ได้อยากให้ฉันใส่ชุดแบบนี้ก็เถอะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สึโยชิคุงพูดชมฉันอีก นั่นคงจะเป็นเรื่องปกติเวลาเดตกับผู้หญิงสินะ แต่มันเป็นธรรมชาติจนน่าขนลุกเลยอะ… ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาคอยอยู่ข้างฉันอย่างรัดกุม ถึงจะไม่คลาดกันแต่ก็ทำให้เอารู้สึกอึดอัด
ไม่มีอะไรเป็ดั่งใจเลยสักอย่าง ในหัวมันยุ่งเหยิงไปหมด ขาฉันไม่ทำตามในแบบที่ฉันต้องการ ทำให้ฉันเดินดีๆไม่ได้เลย อีกอย่างคือ ร่างกายฉันมันเบาเหลือเชื่อ ฉันเดินตามสึโยชิคุงด้วยหัวที่ก้มต่ำจนเราไปเจอฝูงชนจำนานมากอย่างง่ายๆ และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่เห็นเลยก็คือประตูศาลเจ้าเสาโทริอิขนาดใหญ่ตามด้วยร้านแผงลอยต่างๆที่ขนาบข้างทางเดิน ทางเดินที่ทำจากอิฐทรงญี่ปุ่นนี่ก็ชวนให้ความรู้สึกแปลกใหม่
กลิ่นที่ล่องลอยมาตามสายลมไม่ใช่แค่กลิ่นของอาหารแค่อย่างเดียวแต่มันผสมปนเปไปทั้งกลิ่นของคาวของหวานปนกลิ่นรสจัดจ้านผสมมาด้วยซึ่งมันก็ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น
และทันทีที่พวกเราเดินผ่านเสาโทริอิมา สึโยชิคุงก็หันหน้ามาหาฉัน
“มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษรึเปล่า?”
ตอนแรกฉันนึกถึงสปันจ์เค้กขนาดพอดีคำไม่ก็ช็อกโกบานาน่า ยังไงซะพวกเราก็มางานเทศกาลทั้งที ฉันก็อยากกินของหวานที่ได้กินเฉพาะช่วงนี้อยู่เหมือนกัน แต่ฉันดันบอกสึโยชิคุงไปว่าชอบอาหารเค็มๆไง จะมาบอกว่าฉันชอบของหวานๆตอนนี้ก็ไม่ได้ สงสัยได้เวลาสวมวิญญาณนักแสดงรางวัลออสการ์อีกแล้วสิ
“อิคายากิล่ะเป็นไง? กลิ่นซอสถั่วเหลืองมันดึงดูดฉันสุดๆเลยล่ะ”
ฉันตอบไปแบบนั้น แล้วทันใดนั้นความสับสนก็เข้ามาในแววตาของสึโยชิคุง
หลังจากเงียบไปสั้นๆ เขาก็พูดขึ้น
“หืมมมม…ไม่เอาแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลเหรอ?”
แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลเหรอ! ของโปรดฉันในงานเทศกาลฤดูร้อนเลยล่ะ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน
“ก็รู้แล้วอยู่แล้วนี่นาว่าฉํนชอบกินอะไรน่ะ? มาถามแบบนั้นทำไมเหรอ?”
“เคยพูดไว้แบบนั้นสินะ แต่ก็…ตามนั้นแล้วกัน”
สึโยชิตอบอย่างงุนงงแล้วเดินไปหาร้านแผงลอยที่มีอิคายากิขาย
ฉันไม่ชอบอิคายากิขนาดนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ระดับมิโซะปูหรอก อย่างน้อยเจ้านี่ก็กินได้แหละ ฉันจะให้สึโยชิคุงมาจับไตฉันไม่ได้เด็ดขาด หลังจากเราเดินกันไปสักพัก สึโยชิคุงก็ชะงักก่อนจะเอากระเป๋าเงินออกมา
“เอ๋? ร้านอิคายากิอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“อื้ม แต่ตรงนี้มีบางอย่างที่ผมอยากกินน่ะ”
สึโยชิคุงเดินไปที่ร้านแผงลอยแล้วเรียกพี่ชายที่มีผ้าขนหนูพันอยู่ที่คอ
“แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลอันนึงครับ”
“ได้เลยน้องชาย ทั้งหมดก็ 200 เยน”
สึโยชิคุงรับแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาพร้อมเงินถอน น่าอิจฉาจัง ฉันเองก็อยากกินสักอันนึงเหมือนกันนะ แต่ก็เพราะฉันดันไปโกหกเขาเองนั่นแหละ จะไปขอคำนึงไม่ได้เด็ดขาด สึโยชิคุงละสายตาจากแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลแล้วพูดว่า
“ผมอยากลองทำแบบนี้มาโดยตลอดเลยล่ะ”
“อะ-เอ๋…”
แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลในมือของเขาส่องแสงลุกวาวจากแสงไฟของร้ายแฟงลอย
น่ากินจังเลยอ้า แล้วฉัน…ก็ต้องมานั่งสาปแช่งตัวเองที่ดันไปโกหกในเรื่องโง่ๆ
“รสชาติเป็นงี้เองสินะ”
สึโยชิคุงกัดไปที่แอปเปิ้ล พร้อมพึมพำความประทับใจนั้นออกมาจากใจจริง
แค่เห็นเนื้อขาวๆของแอปเปิ้ลนั่นก็ทำฉันกลืนน้ำลายแล้ว
“สักคำไหม?”
“มะ-ไม่เป็นไรหรอก จริงๆนะ”
“อ้อ งั้นเหรอ เห็นว่าคุณซาโกะเหมือนจะอยากลองน่ะนะ”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรจริงๆ”
ฉันยังกล้ำกลืนฝืนทนต่อไป แล้วสึโยชิคุงก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ ฉันเข้าใจแล้วว่าการไม่กินมันแม้แต่คำเดียวมันดูไม่เป็นธรรมชาตินิดๆ และฉันก็รู้สึกผิดด้วย ยังไงก็เถอะ เพราะเซตติ้งของฉันตอนนี้ไม่ได้ชอบของหวานๆนั่นแหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้
หลังจากร้านแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล พวกเราก็เดินทางไปร้านอิคายากิ กลิ่นซอสถั่วเหลืองลอยมาจากหน้าร้านเลย แล้วก่อนที่ฉันจะได้พูอะไร สึโยชิคุงก็พูดขึ้นก่อน
“ขอโทษนะครับ ขออิคายากิที่นึงครับ”
“300 เยนครับผม”
สึโยชิคุงยื่นเหรียญ 500 เยนไปแล้วรับเงินทอนมา ไม่เปิดโอกาสให้ฉันควักกระเป๋าเงินออกมาด้วยซ้ำ ขณะที่เขาปฏิบัติกับฉันอย่างดีโดยไม่ใส่ใจอะไรมาก เป็นตัวอย่างสุดแสนสมบูรณ์แบบของการนำผู้หญิงเลยล่ะ แต่ฉันดันเป็นคนเดียวที่ประหม่าอยู่นี่สิ บางที ทุกครั้งที่เขาคอยใจดีกับฉัน ฉันก็รู้สึกเติมเต็มด้วยความสุขซะจนอยากสาปแช่งตัวเองเลยล่ะ
“เชิญเลยคุณซาโกะ ระวังซอสด้วยล่ะ”
“…ขอบคุณนะ”
ฉันรับอิคายากิมาแล้วกล่าวขอบคุณเขา
กลับกัน ท่าทีของสึโยชิคุงก็ดูน่าสงสัยพิกล
“ทำไมดูไม่พอใจขนาดนั้นล่ะ?”
“…วันนี้เล่นไม่แฟร์เอาซะเลยนะ สึโยชิคุง”
มันรู้สึกเหมือนความรู้สึกของตัวเองกำลังเต้นอยู่บนฝ่ามือเขาเลย
“ไม่แฟร์? หมายความว่าไงน่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่มันไม่แฟร์อะ”
ฉันอยากจะทำให้หัวใจของสึโยชิคุงเต้นตึกตัก เพราะงั้นถึงชวนเขามาที่นี่ตั้งแต่แรกไงล่ะ
ขณะที่ฉันยังเจ็บใจกับเรื่องนี้อยู่ สึโยชิคุงก็เดินออกจากเส้นทาง
“ไปนั่งกินกันที่รั้วหินตรงนั้นกันเถอะ เดินไปกินอิคายากิไปมันลำบากนี่เนอะ?”
“กะ-ก็จริงแหละ…”
ฉันพยักหน้าให้กับสึโยชิคุงที่เอาผ้าเช็ดหน้าไปรองไว้บนหิน
“นั่งตรงนี้สิ”
มีผู้ชายเสนอให้ฉันนั่งบนผ้าเช็ดหน้าเขาด้วย! ยังกับฉากในโชโจมังงะที่เคยอ่านเลย!
“แต่ผ้าเช็ดหน้า…”
“ผมไม่อยากให้ชุดยูกาตะของคุณซาโกะต้องเปื้อนนี่นา”
เขาแปะมือลงบนผ้าเช็ดหน้า ฉันเลยต้องนั่งลงอย่างไม่เต็มใจนัก
“ขะ-ขอบคุณนะ…”
“ด้วยความยินดี”
เขาหรี่ตาลงพร้อมกับยิ้ม
สีหน้าอันอบอุ่นนั่นทำเอาหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง ฉันนั่งลงข้างๆสึโยชิคุง ซึ่งใกล้แบบสุดๆ อาจจะโดนจับได้ว่าหน้าแดงอยู่ได้เลย
ทันใดนั้น เขาก็ยื่นแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาให้กับฉัน
“มาแลกกันไหม?”
“แลก?”
“ผมอยากจะกินอิคายากิสักหน่อยน่ะ คำเดียวคงไม่เป็นไรใช่รึเปล่า?”
สรุปคือเขารู้อยู่แล้วสินะว่าฉันอยากกินแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล บางครั้งการที่เขารู้สึกไวแบบนี้มันก็น่าหงุดหงิดแฮะ
“ไม่อยากเหรอ?”
ฉันมองไปที่แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลนั่น สึโยชิคุงพึ่งจะกัดมันไปแค่คำเดียวเท่านั้น หรือว่าเขาตั้งใจจะซื้อมาให้ฉันอยู่แล้วเหรอ?
“สึโยชิคุงจะใจดีเกินไปแล้ว…”
“นั่นก็เว่อร์ไป ผมแค่อยากแลกเท่านั้นเอง”
ฉันเริ่มจะสนใจเจ้าเซตติ้งที่ฉันสร้างน้อยลงเรื่อยๆแล้วสิ ฉันเองก็ยังไม่ได้กินอิคายากิเลยสักคำ นั้นเป็นหลักฐานที่เกินพอเลยว่า ตอนนี้ ฉันก็แค่อยางพึ่งพิงความใจดีของสึโยชิคุงแล้วถูกตามใจไปเรื่อยๆ
“ขอโทษนะ แต่ขอคำนึงคงจะไม่เป็นไรใช่ม้า…?”
“เชิญเลย”
ฉันรับแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาแล้วให้อิคายากิกับสึโยชิคุง มีรอยกัดสลักอยู่แบบนี้ ก็เป็นจูบทางอ้อมน่ะสิ ยังไงก็ช่าง ความชอบในงานเทศกาลดูจะดึงดูดฉันให้ตามไปกับบรรยากาศ ระหว่างที่คาดหวังกับจูบทางอ้อม ฉันก็ได้รับรู้ว่าตัวฉันมันลามกขนาดไหน แต่ฉันก็ยังกัดไปคำโตเลยแหละนะ
“งั่ม…อร่อยจัง…”
ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันก็ซื้อแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาโดยตลอดเวลามางานเทศกาล ก็มันของคู่กันนี่นา แล้วมันยังมีรสชาติแบบที่ฉันชอบด้วย ไปๆมาๆก็เป็นเรื่องที่น่าคิดถึงจังเลยนะ
“ดูเหมือนว่าการที่ผมเอาแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาจะเป็นตัวเลือกที่ถูกนะเนี่ย”
“…หวา?”
ฉันทำแก้มป่อง โดยไม่ทันคิดเมื่อสึโยชิคุงเข้ามามองหน้าฉันใกล้ๆ
“นี่ฉันทำหน้าแบบไหนอยู่เนี่ย…?”
“มันก็อธิบายยากนิดหน่อยน่ะ แต่คงบอกได้เลยว่าคุณซาโกะชอบแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมากแน่ๆ”
“อะ-อิคายากิฉันก็ชอบนะ!”
“คร้าบๆ”
“ไม่เชื่อกันเลยอ้าา!”
สุโยชิคุงหลุดหัวเราะออกมา
“จะแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลที่เหลืออยู่ก็ได้นะ ชอบใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่นะ ฉันน่ะ…!”
“ผมตั้งใจซื้อมาให้คุณซาโกะแต่แรกอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
กะแล้วเชียว เขาพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ฉันมีความสุข ถ้าเราสองคนเริ่มคบกัน เดตทุกเดตจะเป็นแบบนี้ไหมนะ? ไม่มั่นใจเลยว่าฉันจะรับไหวไหม แต่ฉันคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกไปแล้วแหละจังหวะนั้น
สึโยชิคุงนั่งอยู่ข้างฉัน แล้วยัดอิคายากิเข้าปาก วันนี้เขาไม่ใช่แค่ดูเป็นผู้ใหญ่แล้วก็สมชายเท่านั้น แต่ยังดูค่อนข้างเยือกเย็นอีกด้วย นี่มานั่งข้างฉันโดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอเนี่ย?
วันนี้เขาทำหน้าที่นำเที่ยวได้สมบูรณ์แบบก็จริง แต่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเขามองฉันเป็นผู้หญิงคนนึงรึเปล่า อยากลองทดทอบจัง
“ถ้างั้นฉันกินส่วนที่เหลือหมดเลยก็ได้ แต่ไม่สนใจกินคำสุดท้ายหน่อยเหรอ?”
ฉันหันส่วนที่ฉันพึ่งกัดไปให้กับสึโยชิคุง
“เอาสิ”
เขาไม่ได้รับแอปเปิ้ลที่ฉันยื่นไปให้ แต่จับมือขวาของฉันไปพร้อมกันเลย
“หวา-”
จู่ๆหน้าสึโยชิคุงก็พุ่งมาจากทางด้านขวา แล้วก็กัดแอปเปิ้ลไปตรงๆเลย ไม่ได้คิดสักนิดว่านั่นเป็นส่วนที่ฉันกัดไปก่อน
“ขอบคุณนะ อร่อยสุดๆเลย”
สึโยชิคุงพูดเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ฉันช็อคจนพูดไม่ออกแล้วเนี่ย
“ยังไงก็เถอะ จะทำยังไงกับอิคายากิของคุณซาโกะดีล่ะ?”
สึโยชิเสนอถาดที่มีอาหารมาให้ฉัน
“จะเอาไปให้หมดเลยก็ได้นะ…”
ไม่ไหวแล้ว หลังจากที่ถูกทำมาทั้งหมดนั้น ฉันแย่งการนำมาจากสึโยชิคุงไม่ได้แล้ว คงจะปล่อยให้ถูกนำไปเฉยๆ ถ้าขืนทำอะไรไปล่ะก็ คงจะจบแค่ทำให้ตัวเองเขินอายเท่านั้น
หลังจากกินอิคายากิเสร็จ พวกเราก็ลุกนั่งรั้วหิน แล้วเดินไปตามทางวัดอีกครั้ง แล้วทันใดนั้นฉันก็รู้สึกปวดเท้า พอมองลงไป ก็เห็นสายรัดรองเท้าเกี๊ยะกำลังรัดผิวหนังอยู่ จนเท้าแดงแจ๋ไปเลย
มีแวบนึงที่ฉันจะบอกสึโยชิคุง แต่ฉันก็เลือกที่จะอดทนเอาไว้ ถ้าเขารู้มีหวังได้แบกฉันขึ้นหลังแน่ๆ แล้วก็ทำแบบไม่คิดอะไรด้วย
สึโยชิคุงมองฉันก่อนจะถาม
“ไปไหนกันต่อดี?”
“งั้นร้านยิงเป้าเป็นไง?”
“เข้าท่าแฮะ”
เขายังคงนำหน้าฉันอยู่ครึ่งก้าว จนทำให้ฉันเห็นแผ่นหลังของเขา ถือว่าเล็กกว่ามาตรฐานเด็กผู้ชายนิดหน่อย ถึงแบบนั้นมันก็ดูพึ่งพาได้กว่าปกติ ถ้าเขาให้ฉันขี่หลังล่ะก็คงจะน่าอายน่าดู แต่จริงๆฉันก็อยากจะขึ้นดูสักครั้งเหมือกัน แล้วก็จะได้เอาแขนไปโอบไว้ที่คอเขาไรงี้
วันนี้สึโยชิคุงเขาอาจจะไม่เหมือนทุกที แต่ฉันก็เหมือนกัน ฉันควรจะมีความสุขกับสิ่งที่เป็นตอนนี้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังมีใจอยากได้มากกว่านี้ อยากจับมือกัน บอกว่าปีหน้าจะมาด้วยกันอีก ทำให้เขาเป็นแฟนฉัน อยากทำทั้งหมดนั้นเลย
ขณะที่ในหัวฉันกำลังวาดฝันไปเรื่อย ฉันก็วิ่งเหยาะๆตามสึโยชิคุงไปด้วย ตั้งแต่นั้นมา เราก็ไปร้านค้าต่างๆมากมาย พูดคุยกัน แต่ความจริงที่ว่าเรากำลังสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ร่วมกันก็ทำเอาฉันรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนั้นเราทั้งเล่นทั้งกินสิ่งต่างๆมากมาย จนคนเริ่มลดน้อยลงแล้วมันก็ทำให้เราเดินกันสะดวกขึ้น บรรยากาศที่ทำให้อยากกลับบ้านได้เข้ามาปกคลุม
“สงสัยคงได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะ”
“อื้ม”
ฉันพยักหน้าไปตามนั้น
ฉันคงจะรู้สึกพอใจไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความต้องการของฉันที่อยากจะอยู่กับเขามันเกือบจะเข้าขั้นอยากทำเรื่องผิดศีลธรรม ตัวฉันเนี่ยมันน่าขำจริงๆนั่นแหละ
พอผ่านถนนวัดไป ก็เริ่มเห็นโทริอิที่คุ้นเคย และฉันก็จะเดินเคียงข้างสึโยชิคุงได้อีกไม่นาน
คิดแค่นั้นก็ทำเท้าฉันหนักอึ้ง เสียงอันเบาบางของผู้คน กลิ่นไหม้ของซอสถั่วเหลือง แสงสีที่ตระการตา สัมผัสทั้งห้าของฉันซึมซับเหตุการณ์ทั้งหมดในวินาทีนี้เอาไว้ ฉันน่ะอยากจะย่นระยะห่างของพวกเราให้ลดลงสักนิดก็ยังดี
คิดได้แบบนั้นฉันได้เดินเข้าไปหาสึโยชิคุง
-และเป็นตอนนั้นเองที่มันเกิดขึ้น ความเจ็บปวดแล่นผ่านขาของฉัน ทำให้เท้าไปสะดุดกับอะไรสักอย่าง ด้วยความตกใจ ฉันเลยเอื้อมมือไปหาสึโยชิคุง แต่กลายเป็นว่าร่างกายของพวกเราดันล้มตัวชนกัน
ในตอนที่เขากำลังกอดฉันครึ่งตัว หน้าอกฉันก็กำลังกดเขาอยู่
“ขอโทษนะ ฉันสะดุดจนเกือบล้มน่ะ”
อาการเจ็บเท้ามันหนักกว่าเดิม แต่ฉันก็จะไปสนอะไรมากไม่ได้ เพราะนิ้วฉันมันกำลังประสานกับนิ้วของสึโยชิคุงไงล่ะ ยังกับวิธีที่พวกคู่รักจับมือกันเลย
“คะ-คุณซาโกะ มือมัน…”
“มือมันทำไมเหรอ?”
“ก็…”
สึโยชิคุงเบือนสายตาหนีไป ท่าทีของเขาจะมองออกง่ายไปแล้วมั้ง รู้สึกได้ถึงเหงื่อตรงง่ามนิ้วของเราเลย เป็นของฉันหรือของเขากันนะ? หรือบางทีมันน่าจะเป็นของเราทั้งสองคน
เขามองฉันในฐานะผู้หญิง ความจริงนั้นทำให้ฉันมีความสุขมากจริงๆ ฉันใส่แรงบีบมากขึ้น ไหล่ของเราใกล้ชิดเคียงกัน พวกเราเดินตรงไปที่โทริอิ เนื่องจากทางกลับบ้านมันคนละทาง พวกเราเลยต้องแยกกันเมื่อผ่านโทริอินั้นไป ฉันจะต้องปล่อยมือไปจากเขา ฉันเพ่งสมาธิทั้งไหมดไปกับรูปร่างของมือสึโยชิคุง เพื่อที่ฉันจะไม่ได้หลงลืมมันไป จากนั้นก็ก้าวช้าลงหนึ่งจังหวะ ราวกับต้องการจะจดจำมันใม่ให้หลงลืมไปแม้แต่นิด
เหลือ 10 ก้าว, 9 ก้าว, 8 ก้าว-ทันทีที่ฉันนับเสร็จ สึโยชิคุงก็หยุดเดิน
“ผมต้องไปทางนี้น่ะ เพราะงั้น…”
เขาพูดทั้งๆที่หน้ายังคงแดงอยู่
นิ้วของเราคลายออกจากกัน แขนกลับมาห้อยต่องแต่งข้างๆตัวเหมือนเดิม
“อา…”
ทันทีที่มือฉันเป็นอิสระ มันเหมือนกับว่ามีมนต์บางอย่างคลายออก จู่ๆฉันก็นึกบางอย่างออก วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่กับสึโยชิคุง ฉันมีความสุขจนลืมมันไปเลย
พลาดโอกาสที่จะบอกความรู้สึกตัวของตัวเองอีกแล้ว ฉันพยายามจะอ้าปากอย่างยกลำบาก แต่มันก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย ฉันเตรียมคำพูดไว้แล้วแต่มันดันลืมซะได้ แล้วฉันก็ดันตกใจจนเกินเหตุ
“แล้วเจอกันนะ คุณซาโกะ”
ฉันต้องพูดอะไรสักอย่างออกไปบ้าง?-ฉันบอกตัวเองแล้วพยาใช้หัวคิดจนตาเหลือก แต่ท้ายที่สุด ก็ทำได้แค่พึมพำเท่านั้น
“…สนุก…มากเลยล่ะ”
“จริงเหรอ? ดีใจจัง ขอบคุณที่ชวนผมมานะ”
“เช่นกัน ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนฉันนะ”
“แล้วเจอกัน”
สึโยชิคุงยกมือขึ้นแล้วโบกมือ
“จ้ะ บ๊ายบาย”
ฉันเองก็โบกมือเหมือนกัน
สึโยชิคุงยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเดินไปที่ป้ายรถบัส แผ่นหลังของเขาค่อยห่างไกลไปเรื่อยๆ ฉันเอื้อมมือออกไปหาเขา แต่เขาก็อยู่ไกลเกินไปซะแล้ว และในที่สุดเขาก็เดินเลี้ยวเข้าหัวมุมแล้วหายไป
มือเปล่าของฉันมันยังหยุดสั่นไม่ได้ ความมืดยามค่ำคืนได้คืบคลานเข้ามา ทำให้รู้สึกหนาวจนน่ากลัว ราวกับว่ามันเป็นลมหนาวที่ขโมยไออุ่นไปจากฉัน
หลังจากฉันเริ่มเดินอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่เท้าก็กลับมาอีก และเพราะมันเป็นแผลเปิด สายรัดรองเท้าเลยมีเลือดของฉันเปื้อนอยู่
“แค่จะบอกว่าชอบ…ยังทำไม่ได้เลยเหรอ…”
พอมาคิดดูแล้ว จริงๆมันก็ไม่มีอะไรต้องคิดมากด้วยซ้ำ ฉันแค่อยากจะบอกกับเขาแค่ 3 คำ แต่ก็ช่างมันเถอะ ถ้าฉันไปสารภาพในวันก่อนที่พวกเราจะแยกจากกัน แบบนั้นคงจะมีแต่สร้างปัญหาให้สึโยชิคุงเท่านั้น
…
วินาทีที่ผมเลี้ยวเข้าหัวมุม ผมก็ยืนพิงกับรั้วกำแพงวัดแล้วถอนหายใจออกมา ไม่คิดว่าคุณซาโกะจะมองเห็นว่าผมอยู่ตรงนี้หรอก ผมไม่มีแรงเดินไปป้ายรถบัสด้วยซ้ำ ก่อนที่เราจะแยกกัน ไม่กี่เมตรก่อนจะถึงโทริอิ เราจับมือกัน อยู่ๆก็มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นทำเอาผมสับสนไปหมด จริงๆผมก็จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยได้นัก สิ่งที่รู้มีแค่มันกินพลังงานอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของผมไป เกือบจะเจอปัญหาใหญ่ซะแล้วสิ
ผมเปิดเครื่องมือถือ แล้วก็ได้เห็นข้อความจากทาคุมิ
‘เป็นไงบ้าง?’
บาง
‘เหนื่อยสุดๆเลย’
ผมตอบกลับไปแบบนั้น ปล้วก็ได้รับการตอบกลับในทันที
‘อะไรเนี่ย ไม่ได้เอ็นจอยกับเดตหรือยังไง?’
‘ผมมัวแต่วุ่นกับการทำตามคำแนะนำของนายน่ะสิ’
‘แต่ถ้าเป็นงั้นซาโกะก็น่าจะพอใจนะ?’
‘ใครจะไปรู้ล่ะ ผมเองก็จะมั่นใจเกินไปไม่ได้’
‘นายไม่ได้ไปเดตแบบสมบูรณ์แบบเรอะ?’
‘ก็ผมไม่ได้คิดว่ามันสมบูรณ์แบบนี่…’
เดตวันนี้เป็นการทดสอบว่าพวกเราจะกลายเป็นคนในอุดมคติของกันและกันได้รึเปล่า คุณซาโกะพยายามทำเป็นผู้หญิงที่ไม่สมบูรณ์แบบ ใส่ยูกาตะแทนที่จะใส่ชุดไปรเวท ตัดหน้าม้า แล้วก็ไม่กินของโปรดอีก ในเวลาเดียวกัน ผมก็พยายามทำตัวสมชายแล้วเป็นฝ่ายนำ เอาจริงๆ เราทั้งคู่ก็แสดงเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจของอีกฝ่าย แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นการเตรียมตัวที่สำคัญของพวกเรา ถึงอย่างนั้น…
‘รู้สึกเหมือนมีอะไรทะแม่งๆแฮะ’
‘หมายความว่าไง?’
‘คุณซาโกะอยากให้พวกเราเข้ากันได้ดีขึ้นและหยุดทำเป็นสมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกัน ผมก็ใช้คำแนะนำของนาย พยายามเปลี่ยนจากคนที่ไม่มีดีอะไรเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอตนนั้น’
ย้อนนึกกลับไป ผมฝืนทำเป็นใจดีกับคุณซาโกะ ปกติผมจะไม่ชมคุณซาโกะว่าสวย เพราะแบบนั้นผมถึงล้าอยู่ตอนนี้ไง และก่อนที่ทาคุมิจะได้ตอบอะไร ผมก็ชิงส่งไปอีกข้อความ
‘ผมเริ่มจะคิดว่าสิ่งที่เราทำมันผิดแล้วล่ะ ยังไงซะ พอเราไปอยู่กับอื่นจริงๆ นายจะปรับตัวให้เข้ากับอื่นขนาดนั้นเลยเหรอ?’
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเดตครั้งนี้ผลออกมาค่อนข้างดี แต่แล้วทำไมความคิดแรกหลังจากที่ล้ามากลับเป็น ‘สนุกมาก’ กันล่ะ? ผมนึกว่านี่เป็นการแก้ไขความสัมพันธ์ของเราซะอีก ถึงอย่างนั้นมันก็รู้สึกว่าเราไม่ค่อยเข้าคู่กันขนาดนั้นเลย
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ทาคุมิก็ส่งข้อความตอบกลับมา
‘เพราะเรื่องที่พวกนายสองคนกำลังทำอยู่มันก็เป็นเรื่องที่พวกคู่รักที่ส่วนสูงต่างกันทำกันนั่นแหละ’
‘หมายความว่าไง?’
‘เวลาฝ่ายหญิงสูงกว่าฝ่ายชาย เธอก็จะใส่รองเท้าผ้าใบที่พื้นต่ำๆ แล้วฝ่ายชายก็จะรองเท้าบู้ที่มีพื้นหนาๆ จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะมีส่วนสูงที่อยู่ในอุดมคติของกันและกัน ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เรอะ?’
จำได้ลางๆว่าได้ยินมาอยู่นะ คุณซาโกะกับผมแค่พยายามย่นระยะห่างของพวกเราในวิธีที่แตกต่างกัน
‘แต่รู้ไรไหม?’
ทาคุมิพิมพ์ต่อ
‘ถึงนายจะทำแบบนั้น ความต่างนั่นก็ไม่หายไปหรอก ขึ้นอยู่กับส่านายน่ะมองมันยังไง แต่ฉันคิดว่าการที่ยอมรับความแตกต่างและภูมิใจในสิ่งเหล่านั่นน่ะ แบบนั้นดีที่สุดแล้ว’
‘นายสื่อว่าต่อให้พวกผมไม่ได้เข้ากันได้ดีที่สุดก็ไม่เป็นไรงั้นเหรอ?’
‘ประมาณนั้นแหละ ถ้าคนที่กำลังคบกันพอใจในสิ่งที่เป็น งั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปสนใจสายตาคนนอกหรอก’
ในที่สุดผมเข้าในสิ่งที่ทาคุมิพยายามพูดสักที ถึงความสัมพันธ์ของเราจะดูอึดอัด แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาตราบใดที่เรามีความสุข
‘นายคิดว่าคุณซาโกะกับผมเป็นแบบที่เป็นอยู่นี้ดีรึเปล่า?’
‘ก็เออสิ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเลย ไงก็เหอะ ฉันไม่ควรให้คำแนะนำแบบนี้ในเดตของนายเท่าไร ตรงนั้นต้องขอโทษด้วย แต่สิ่งสำคัญคือการที่นายยังเป็นนายอยู่แบบนี้ แล้วยอมรับซึ่งกันและกันได้ต่างหาก’
ทาคุมิพยายามกดย้ำจุดนั้นมากยิ่งขึ้น แต่ผมก็ยังรู้สึกลังเลอยู่ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ระหว่างการเดตในวันนี้ การเข้าหากันและกันก็ทำออกมาได้ดี แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เหมือนที่ทาคุมิพูด ผมรู้สึกว่าการที่พวกเราเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร
‘ขอบคุณที่รับฟังนะ ผมจะคิดเรื่องนี้อีกสักหน่อย’
‘รับทราบ’
ถ้าการที่ผมเป็นแบบนี้มันไม่เป็นไร งั้นความพยายามที่จะไล่ตามคุณซาโกะมันก็ไร้ความหมายน่ะสิ แต่…เรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? จะคบกับคุณซาโกะทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้ตัวเองภูมิใจได้เหรอ? จะอยู่เหมือนเดิมทั้งๆที่เธอพยายามเข้าหาผมได้เหรอ? พอเจอกับเรื่องพวกนี้ ความเจ็บปวดก็แล่นผ่านเข้ามาในหัว ผมไม่คิดว่าผมจะหาคำตอบได้ในตอนนี้
สำหรับตอนนี้ ผมคงทำได้แค่คิดเรื่องนั้นระหว่างกลับบ้าน
…
ผู้คนเริ่มเดินทางกลับบ้านจากงานเทศกาล ค่อยๆเดินผ่านประตูตรวจตั๋ว ฉันมองเห็นโทริอิสีแดงจากไกลๆ สายตาฉันถูกดึงดูดด้วยสิ่งนั้น
ฉันจัดการพาตัวเองเดินไปที่ประตูตรวจตั๋ว แต่หัวใจของฉันยังคงติดอยู่ที่นี่ ฉันกลัวการที่จะเดินผ่านประตูนี้ไป ถ้าขืนขยับก้าวที่เป็นก้าวสุดท้ายนี่ ฉันจะกลับมาไม่ได้อีก หน้าอกของฉันมันเริ่มร้อนผ่าว ความรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆที่ฉันรู้สึก และความโดดเดี่ยวของมือคู่นี้…มันจะหายไปหมด
ตอนนี้ ฉันแทบจะแตกสลายเต็มทีแล้ว พยายามจะบอกตัวเองว่าแบบนี้มันไม่เป็นไร แต่ความเสียใจที่ไม่ได้สารภาพก็ยังคงทิ่มแทงใจฉัน ไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไงดี ฉันเลยไปขอความช่วยเหลือจากมายุโกะ
“ขอโทษที่โทรมาดึกดื่นแบบนี้นะ”
(ไม่เป็นไร แล้ว…เป็นไงบ้างล่ะ?)
“…ฉันพูดออกไปไม่ได้น่ะ”
(ทำไมล่ะ?)
“คำพูดมันไม่ยอมออกมาน่ะ…แต่ถึงฉันจะสารภาพไป มันก็มีแต่สร้างปัญหาให้สึโยชิคุงใช่ไหมล่ะ?”
ฉันรู้ตัวว่าตัวเองฝืนพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่มายุโกะไม่ปล่อยผ่าน
(ยัยบื้อ! ยังไงก็ต้องบอกสิ! วันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ)
“ก็ถูกของเธอ แต่การที่ไดรับคำสารภาพจากเด็กผู้หญิงที่จะหายไปในวันพรุ่งนี้มัน…”
มายุโกะรออยู่สักพักแล้วให้คำตอบอย่างเยือกเย็น
(รู้ไรไหม ตอนที่เธอเพี้ยนตอนเข้าหาสึโยชิน่ะ ฉันแอบดีใจอยู่นิดหน่อยนะ)
“ไม่มีทาง เธอเอาแต่ดุฉันนี่”
(ฉันเป็นห่วงเรื่องเธอใจดีเกินไป เธอน่ะฟังทุกอย่างที่พวกผู้ใหญ่บอก ซึ่งดูเหมือนเธอจะกลั้นไว้ทุกครั้งเลยด้วย แต่พอเป็นเรื่องความรู้สึกของตัวเธอเอง เธอก็มีอารมณ์ร่วมสุดๆเลยใช่ไหมล่ะ? จนถึงจุดที่เธอเพี้ยนไปนิดๆเลย)
“ฉันไม่ได้…”
(ฉันไม่ได้พยายามจะไม่ยอมรับอะไรหรอก ตรงกันข้าม ฉันดีใจที่เธอเห็นแก่ตัวนี่แหละ พวกเรายังอยู่ม.ปลายกันนะจำได้รึเปล่า? บางครั้งก็จัดลำดับความสำคัญบ้างเถอะ )
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าฉันเห็นแก่ตัว ความต้องการที่อยากจะคบกับสึโยชิคุงเป็นจุดกำเนิดของมันเหรอ?
สองเดือนที่ผ่านมา ฉันพยายามเห็นแก้ตัวมาโดยตลอดแต่พอนึกดูดีๆ ฉันอาจจะเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
มายุโกะพูดต่อ
‘เพราะงั้นแล้ว…เธอจะมาหนีตอนจบแบบนี้ไม่ได้นะ จงเห็นแก่ตัวเพื่อตัวเองซะ มาจิกะ’
“ฉันจะเห็นแก่ตัวได้จริงๆเหรอ…?”
(เธอผิดอยู่นิดหน่อยนะ เด็กผู้หญิงม.ปลายน่ะมีความเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ)
ฉันกลืนน้ำลาย ความรู้สึกที่ฉันเก็บงำไว้มันพังทลายมาสู่อิสระแล้ว ความรู้สึกนี้กำลังเติมเต็มตัวของฉันทั้งตัว
“แต่ฉันแยกกับสึโยชิคุงไปแล้วน่ะสิ”
(ก็ไล่ตามไปสิ)
จะพูดไม่คิดเดินไปแล้ว ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ต้องทำ ฉันต้องทำวันนี้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของฉัน อย่าไปกลัว วิ่งไปซะ
“ขอบคุณนะ มายุโกะ ฉันจะไปแล้วล่ะ”
(ลุยเลย แม่เสือสาว!)
“จัดไปอย่าให้เสีย!”
ฉันวางสายมือถือแล้ววิ่งไปบนถนนด้วยรองเท้าเกี๊ยะ แค่ก้าวแรกก็ทำให้ความเจ็บปวดที่เท้ามากกว่าเดิม แต่เมื่อก้าวที่สองตามมา ความเจ็บปวดมันก็หายไป ยูกาตะของฉันยุ่งเหลยิงไปหมดจากการวิ่ง ผมเผ้าก็เสียทรง ถึงอย่างนั้นฉันยังวิ่งต่อไป
ทั้งร่างกายแลละหัวใจกำลังเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเดียวกัน ทั้งกระสับกระส่ายทั้งตื่นเต้น
ตอนนี้ไม่มีแผนอะไรในหัว ไม่มีคำโกหกอะไรอีกแล้ว แค่วิ่งฝ่าสายลมขณะที่เป็นตัวเองก็พอ
พอถึงจุดที่ฉันกับสึโยชิแยกกันแล้วไปต่อที่ป้ายรถบัส ทั้งๆที่แถวๆนี้มันมืด แต่ฉันก็ยังเห็นเงาของคนคนนึงกำลังเดินอยู่บนถนน เป็นแผ่นหลังแสนคุ้นเคยที่ฉันจ้องมันทั้งเย็นวันนี้ ฉันหยุดพักแป๊บนึงแล้วสูดหายใจเข้าลึก
“สึโยชิคุง!”
เขาหันมาอย่างช้าๆ แต่หน้าเขาอยู่ตรงข้ามกับไฟถนน ก็เลยไม่รู้ว่ามีสีหน้าแบบไหนกันแน่ ฉันก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ระยะห่างระหว่างเราใกล้ขึ้น ถึงจะสะดุดใจกับความเจ็บปวดก็ตาม ถึงอย่างนั้นฉันยังก้าวต่อไป ความเจ็บปวดโจมตีฉันมาอย่างล้นหลามจนต้องเอาเท้าอีกข้างกระทืบพื้น ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปสั้นๆ ใบหน้าของสึโยชิคุงก็อยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ฉันสูดหายใจแล้วอ้าปากขึ้น แต่คำพูดมันดันไม่ออกมา สมองฉันกำลังทำงานเต็มพิกัด ไม่รู้เลยว่าต้องบอกอะไรถึงจะดี
ฉันให้เห็นแก่ตัวได้แล้ว นั้นคือสิ่งที่มายุโกะบอกฉัน ฉันจะเป็นแบบที่เป็นอยู่นี้ก็ได้ เพราะงั้นเห็นแก่ตัวเอาไว้สิตัวฉัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไร สึโยชิคุงก็เปล่งเสียงออกมาก่อน
“คะ-คุณซาโกะ!?”
เสียงของฉันถูกกลบหายไป
“ที่เท้ามีเลือดเต็มเลย!”
…
แวบนึงผมนึกว่าคุณซาโกะที่ผมเห็นจะเป็นภาพหลอนซะอีก อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก ผมก็สะดุดใจได้ว่านี่เป็นความจริง เธอก้าวมาข้างหน้าแล้วเสียสมดุล ตอนนั้นเองที่ผูสังเกตได้ว่าคุณซาโกะดูแปลกๆ สีของรองเท้าเกี๊ยะมันต่างออกไปต่างเดิม…
รอบตัวมีแค่ความมืด มีเพียงไฟถนนเท่านั้นที่ให้แสงสลัวๆ แต่ก็บอกได้ทันทีเลยว่า สายรัดนั้นมันแดงเพราะเลือดจากเท้าของคุณซาโกะ
“คะ-คุณซาโกะ!? ที่เท้ามีเลือดเต็มเลย!”
ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแค่แผลโดนบาดธรรมดา บางทีคุณซาโกะน่าจะเมินแผลนั่นมาสักพักแล้ว
จำได้ว่าทาคุมิเคยพูดเอาไว้
‘เวลาใส่รองเท้าที่ไม่คุ้นเคยน่ะจะบาดเจ็บได้ง่ายๆเลย จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เอาพลาสเตอร์ติดตัวเอาไว้ตลอดด้วยล่ะ’
ให้ตายเถอะ ผมน่าจะสังเกตให้เร็วกว่านี้ ต่อให้มีคำแนะนำนั่น ผมก็ควรจะสังเกตุท่าเดินแปลกๆนั่นได้แท้ๆ
คราวนี้ก็ปัญหาใหญ่เลย ผมคิดว่าผมจัดการเดตได้ค่อนข้างดีแล้วแท้ๆ แต่แค่เรื่องแบบนี้ผมยังจัดการไม่ได้เลย
ผมรู้สึกผิดกับคุณซาโกะจนหน้าอกมันร้อนแทบไหม้ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนั้น ก่อนอื่นต้องรีบปฐมพยาบาลก่อน
“นั่งรอตรงนี้แป๊บนึงนะ! เดี๋ยวผมไปหาทิชชู่เปียกก่อน!”
ผมให้คุณซาโกะนั่งลงข้างๆรั้วหิว ก่อนจะรีบวิ่งไปมี่ห้องน้ำสาธารณะ
ผมมาถึงห้องน้ำแล้ว ระหว่างกำลังเตรียมของปฐมพยาบาล ผมรู้แก่ใจแล้วว่าเดตครั้งนี้มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เหตุผลก็ง่ายๆ ผมพยายามทำเป็นคนเข้มแข็ง พยายามทำเป็นเท่โดยใช้คำแนะนำที่ทาคุมิให้มา และเพราะผมเอาแต่พึ่งพามัน ผมถึงทำร้ายคุณซาโกะแบบนี้
ถ้าไม่ได้รับคำแนะนำอะไรมาแล้วไปเดตแบบปกติ ผมจะต้องสังเกตแผลของคุณซาโกะได้แน่ๆ แต่ผมในวันนี้มันกลับตาลปัตรไปหมด ตามที่ทาคุมิบอกนั่นแหละ ผมไม่ควรฝืนเปลี่ยนความต่างของพวกเราเลย
จริงอยู่ที่มีความแตกต่างระหว่างผมกับคุณซาโกะอยู่ แต่ถ้าผมไม่ยอมรับมัน พวกเราก็คงก้าวต่อไปไม่ได้ ไอ้เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่นี่ก็ด้วย จะไม่เอามาใส่อีกแล้ว และเมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น มันก็ถึงเวลาที่จะมาเคลียร์เรื่องเข้าใจผิดระหว่างพวกเราสองคนแล้ว
ในวันที่คุณซาโกะสารภาพกับผม ผมเลือกที่ยับยั้งเธอด้วยการบอกเธอว่าสมบูรณ์แบบ เพราะอย่างนั้นแล้วผมต้องรับผิดชอบ ผมหยิบทิชชู่เปียกแล้วรีบกลับหาไปคุณซาโกะ
พอกลับมาถึงรั้วหิน คุณซาโกะยังคงนั่งก้มหน้ามองเท้าที่แดงก่ำอยู่อย่างนั้น
“ขอโทษที่ให้รอ”
“…ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษที่มารบกวนแบบนี้นะ”
ผมควบคุมการหายใจระหว่างที่เดินเข้าไปหาคุณซาโกะ จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงไปดูเท้าของเธอ แล้วถอดรองเท้าออกอย่างอ่อนโยน แต่มันก็ยังทำให้คุณซาโกะร้อง ‘โอ๊ย!’ ออกมาเบาๆ
“ขะ-ขอโทษ! เจ็บมากรึเปล่า?”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้มากขนาดนั้นหรอก…”
ฝ่าเท้าเธอโชกไปด้วยเลือด จนบอกไม่ได้เลยว่าแผลอยู่ตรงไหน ผมจำเป็นต้องค่อยๆถูมันอย่างเบามือที่สุด ระหว่างที่ทำแบบนั้น ผมก็พูดคำที่ผมเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ผมมีบางอย่างอยากจะขออย่างนึง คุณซาโกะ พวกเราไปเที่ยวงานเทศกาลฤดูร้อนกันอีกได้ไหม?”
“เอ๋ เออ…ทำไมล่ะ?”
“ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าวันนี้ไม่สนุกนะ แต่ผมอยากจะลองอีกสักรอบน่ะ เพราะแบบนั้นมันจะต้องสนุกได้มากกว่านี้แน่”
“ฉะ-ฉัน! ฉันกก็สนุกมากเลยล่ะ…แต่ว่า…”
ผมได้ยินเสียงคลื่นแสนไม่มั่นคงในเสียงของคุณซาโกะ ไม่อยากปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เลย ถึงกระนั้น ถ้าเราไม่ซื่อตรงต่อกันมันก็ไร้ความหมาย
“แล้วก็มีเรื่องที่ผมต้องขอโทษ หลังจากที่ถูกคุณซาโกะชวนมางานนี้น่ะ ผมก็ไปขอคำแนะนำจากทาคุมิมาทันทีเลย ถามทั้งเรื่องจะทำยังไงถึงจะนำคุณซาโกะได้ดีที่สุด แล้วก็อะไรเทือกนั้น”
ผมเช็ดเอาคราบเลือดที่แห้งแล้วออกเผยให้เห็นแผลสีแดงสด
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ไปไหนมาไหนกับผู้หญิงน่ะ ก็เลยเป็นห่วงเรื่องผลที่ตามมาอยู่เหมือนกัน ผมเรียนรู้อย่างหนักเรื่องที่ต้องทำยังถึงจะทำให้คุณซาโกะมีความสุข เพราะงั้นท่าทีของผมวันนี้ไม่น่าจะใช่ตัวจริงของผมหรอก”
ผมค่อยๆเอาทิชชู่เปียกเช็ดแผลอย่างเบามือ
“ในขณะเดียวกัน ผมก็ต้องแก้ความเข้าใจผิด ผมรู้ว่านี่เป็นความผิดผมที่ดันไปใช้คำพูดผิดๆ แต่คุณซาโกะกำลังพยายามทำลายภาพลักษณ์สมบูร์แบบของตัวเองสินะ? เพราะผมดันไปบอกว่า ‘คุณซาโกะน่ะสมบูรณ์แบบเกินไป เพราะงั้นผมคบด้วยไม่ได้หรอก’ ใช่ไหมล่ะ?”
คุณซาโกะตัวกระตุกเบาๆตอนผมแตะแผล แล้ววพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“…รู้อยู่แล้วเหรอ?”
“เมื่อไม่นานมานี้เองน่ะ เพราะงั้น…ผมขอโทษนะ ที่จริงก็รู้เรื่องที่คุณซาโกะโกหกผมวันนี้ด้วย”
หลังจากแผลดูสะอาดขึ้นเยอะแล้ว ผมก็เอาพลาสเตอร์ออกมา ค่อยๆแปะลงบนเท้าของคุณซาโกะ เท้าคุณซาโกะขดไปมา เหมือนจะจั๊กจี้ใช่เล่น
“รู้อยู่แล้วเหรอว่าฉันจะใส่ยูกาตะมา?”
“อื้ม”
“เรื่องที่ฉันชอบของหวานด้วยเหรอ?”
“ชอบพุดดิ้งใช่ไหมล่ะ?”
“แม้แต่เรื่องที่ฉันตั้งใจตัดหน้าม้าให้มันดู
ซุ่มซ่ามก็ด้วย?”
“ผมว่าเข้ากับเธอมากเลยล่ะ”
หลังจากผมแปะแผลส่วนใหญ่ด้วยพลาสเตอร์ยา เสร็จแล้ว ผมแปะมันจนครบสามชั้นซ้อนอย่างระมัดระวัง อาจจะยังเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็คงดีกว่าเมื่อดี้ล่ะมั้ง
ผมช่วยคุณซาโกะใส่รองเท้าเกี๊ยะ แล้วมองขึ้นไปหาคุณซาโกะ
“ผมรู้ว่าผมทำให้เรื่องมันวุ่นวายแต่แรกเพราะดันบอกว่าคุณซาโกะสมบูรณ์แบบ แต่ผมว่าพวกเรามาเป็นตัวเองมากขึ้นกันดีกว่าไหม ผมลองคิดมาเยอะแล้วล่ะ แต่ผมอยากเผชิญหน้ากับคุณซาโกะอย่างถูกต้อง ผมอยากให้พวกเราสนิทกันในทางที่เป็นธรรมชาติน่ะ…แล้วก็อยากให้พวกเราใกล้ชิดกันมากกว่าแต่ก่อนด้วย…”
พอพูดออกไปแล้วผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าสิ่งที่ผมพูดไปน่าอายโคตรๆ หน้าผมมันร้อนขึ้นอย่างกับโดยเผา
คุณซาโกะยิ้มให้ผมที่เป็นแบบนั้น
“สุดยอดไปเลยนะ สึโยชิคุงเนี่ย คิดในสิ่งที่อยากทำแล้วยังบอกคนอื่นได้ด้วย…”
“ไม่ใช่อะไรที่วิเศษวิโสนักหรอกจริงๆนะ ว่าแต่…อาทิตย์หน้าเราไปเทศกาลฤดูร้อนอื่นกันไหม? แล้วก็เป็นตัวเองกันแบบเต็มเหนี่ยวไปเลย”
“ถ้าขอมาแบบนั้น จะไปปฏิเสธได้ยังไงล่ะ…”
“แน่นอน ตราบใดที่คุณซาโกะไม่ว่าอะไรนะ ผมไม่บังคับเธอหรอก”
ถึงแม้เธอจะตอบรับคำเชิญของผมไปแล้ว ก็ยังมีบางอย่างแปลกๆในรอยยิ้มของคุณซาโกะ เหมือนกับว่าเธอกำลังฝืนตัวเองที่กำลังจะพังทลายอยู่ นี่ไปรู้อะไรมารึเปล่านะ?
อ๊ะ จะว่าไป…พอมาคิดๆดูแล้ว
“ทำไมคุณซาโกะถึงกลับมาจากวัดล่ะ? ลืมของเหรอ?”
คุณซาโกะก้มมองเข่าตัวเอง
“…มีบางอย่างต้องบอกสึโยชิคุงน่ะ แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
บางอย่างอยากบอกผม? คงจะมีแค่อย่างเดียว คือผมอาจจะเผลอไปหยุดการสารภาพครั้งที่สองของคุณซาโกะ
“อะ-อืม…ให้ผมเป็นคนพูดรึเปล่า? ยังไงพวกเราก็ไปสนุกกันในงานอาทิตย์หน้าอยู่แล้ว….ผมขอเป็นคนสารภาพเองได้มั้ย…”
“……….สัญญาแล้วนะ?”
“อื้ม ผมสัญญา เดี๋ยวผมไปหางานที่จัดอาทิตย์หน้าก่อนนะ”
“ถือว่าเป็นสัญญาแล้วกัน…ถึงแม้ว่ามันจะต้องเป็นปีหน้าก็เถอะ”
ผมหยุดชะงักกับประโยคสุดท้ายนั่น แต่ก็ตัดสินใจแล้ว ถ้าเดตครั้งหน้าไปได้ดี ผมจะเป็นคนสารภาพเอง
“ฉันจะกลับบ้านแล้วล่ะ ขอบคุณที่มาช่วยนะ”
คุณซาโกะลุกขึ้นยืน หันหลังให้ผมก่อนจะเริ่มเดิน
“ผมไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวดอีกแล้ว เพราะงั้นให้ผมพา-”
“ฉันสบานดี เดี๋ยวก็ไปถึงบ้านแล้ว”
ผมพยายามตามคุณซาโกะไป แต่ก็ดูเหมือนว่าท่าทีการเดินจะไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมก็เลยไม่ตามไป
“ระวังตัวด้วยล่ะ เดี๋ยวกำหนดวันได้เมื่อไรผมจะทักไปนะ”
“เข้าใจแล้วล่ะ แล้วเจอกันนะ”
คุณซาโกะโบกมือเบาๆให้ผม แล้วเกินต่อไปอีกครั้ง
จากข้างหลังนี้ ผมเห็นได้เลยว่าผมของเธอหลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ปิ่นปักผมของเธอเอาออกไปแล้ว