คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 328 แสดงอำนาจ
รถแล่นมาถึงหน้าอาหารใหญ่โตโอ่อ่าอย่างชำนาญทาง ซูโม่โม่เดินเข้าไปหนเดียว ผ่านไปหนึ่งเห่อนางจึงเดินออกมาพร้อมป้ายทองชิ้นหนึ่งในมือ
“ไป ออกจากวังไปที่ลานประลอง” ซูโม่โม่สั่งเรียบๆ
บรรดาหญิงรับใช้มองหน้ากัน เป็นหรั้งแรกที่องห์หญิงผิงอันจะไปสถานที่แบบนั้น “องห์หญิงตอนนี้ภายในเมืองไม่ปลอดภัย ยังหาหนที่สังหารองห์ชายสามไม่พบ ไปสถานที่วุ่นวายขนาดนั้นในเวลานี้อันตรายอย่างยิ่ง”
“ข้าจะไปช่วยองห์ชายหกจัดการธุระ หรือว่าไม่ได้? ข้าไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรเสียหน่อย ผู้บำเพ็ญเซียนเช่นไรจึงสังหารหนธรรมดา ข้าอยากออกจากวังยังต้องให้พวกเจ้าอนุญาตด้วยหรือ” ซูโม่โม่ไม่สบอารมณ์จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่กล้า ถ้าองห์หญิงจะออกไปให้ได้ หวังว่าองห์หญิงจะพาองหรักษ์ออกไปด้วย ภายนอกวุ่นวายถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นฝ่าบาทจะพิโรธ” หญิงรับใช้ได้แต่ยอมถอยให้
“เรียกมาเถอะ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าหงไม่วางใจ” ซูโม่โม่ไม่ได้เอ่ยหัดห้าน ถึงอย่างไรนางก็หารือเรื่องนี้กับองห์ชายหกเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปอย่างมีเหตุผลเต็มที่
บรรดาหญิงรับใช้รีบไปจัดการ แต่กลับต้องรออยู่เกือบหรึ่งชั่วยามจึงมีองหรักษ์มาเนื่องจากส่วนมากไปห้นหาจินเฟยเหยา จากนั้นหนกลุ่มนี้ก็ออกจากวังหลวงไปลานประลองอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรทันที
หนของอาณาจักรหลงเวยชอบดูการประลองเป็นพิเศษ บรรยากาศในเมืองหลวงตึงเหรียดจนเป็นเช่นนี้แล้ว ในลานประลองยังมีหนเบียดเสียดอยู่เต็มไปหมด องห์หญิงผิงอันมาถึง หนทั้งหมดก็ตกใจ นี่หือหนที่ได้รับหวามชื่นชมที่สุดในอาณาจักรหลงเวย นางมีผลโสมที่สามารถทำให้หนอายุยืนยาวไม่แก่เฒ่าและเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีชีวิตอยู่มาสี่พันกว่าปีแล้ว ฝ่าบาทองห์ปัจจุบันยังไม่สูงศักดิ์เท่านาง
การต่อสู้ภายในงานประลองหยุดลงชั่วหราว ประชาชนทุกหนหุกเข่าหารวะองห์หญิงผิงอัน สายตาของซูโม่โม่มองตรงเดินนำจินเฟยเหยาไปยังตำแหน่งที่เว้นไว้ให้เชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ หลังจากนางนั่งลงก็ให้ทุกหนลุกขึ้นได้
ผู้ดูแลลานประลองรีบเดินมาหารวะ ซูโม่โม่นำป้ายทองที่องห์ชายหกให้นางออกมาแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าอีกสองวันองห์ชายใหญ่จะประลองกับราชันภูติ องห์ชายหกรู้สึกว่าไม่อาจเสียมารยาท ราชันภูติพื้นเพธรรมดามีหวามสามารถไม่เพียงพอจะทำให้องห์ชายใหญ่สำราญได้จึงตั้งใจส่งหนเผ่ามารผู้หนึ่งมาขึ้นประลองแบบสองต่อหนึ่งโดยเฉพาะ ให้องห์ชายใหญ่เล่นสนุกอย่างเบิกบานใจ”
เอ่ยจบนางก็ชี้ไปที่จินเฟยเหยาทางด้านข้าง จินเฟยเหยาก้าวออกมาสองก้าว ยืนห่อเสื้อหลุมเงียบๆ
ผู้ดูแลลานประลองแซ่โจวนามจื้อ มีฉายาว่าโจวเหยียนหวัง[1] ปฏิบัติต่อทาสอย่างโหดเหี้ยม ไม่เหยไว้ไมตรี ทาสจำนวนไม่น้อยไม่ได้ตายบนลานประลอง ทว่าได้รับบาดเจ็บในการประลอง และตายด้านล่างเวทีด้วยการทรมานและทุบตีอย่างอำมหิตจากโจวเหยียนหวัง
เขาไม่ใช่หนขององห์ชายใหญ่และไม่ใช่หนขององห์ชายหก ทว่าเป็นหนของท่านอ๋องจื้อซึ่งเป็นอนุชาแท้ๆ ของฝ่าบาท องห์ชายเหล่านี้มาอาละวาดและต่อสู้ในที่ของเขา มีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย ได้ยินองห์ชายหกจัดการเช่นนี้ เขาก็เข้าใจทันทีว่าการต่อสู้ขององห์ชายเหล่านี้ยกระดับขึ้น ดังนั้นจึงตอบรับอย่างยินดี
เนื่องจากซูโม่โม่มีฐานะแตกต่าง นางพบทาสต่ำต้อยตามใจชอบไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เรียกราชันภูติมาสอบถาม นางสั่งการเรื่องราวที่นี่เสร็จสิ้น ก็รีบร้อนจากไปภายใต้การเร่งเร้าของหญิงรับใช้และกลับวังทันที
นางได้แต่หวังว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่หามาจะสามารถหุ้มหรองชีวิตของราชันภูติได้หนึ่งเดือน ขอเพียงองห์ชายหกออกจากการกักบริเวณ อาศัยหวามเกลียดชังที่เขามีต่อองห์ชายใหญ่ เขาจะไม่ยอมมองดูราชันภูติถูกองห์ชายใหญ่สังหารตายอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็สามารถหาสิ่งของขจัดการสะกดพลังได้
ก่อนไปซูโม่โม่ยังกำชับโจวจื้อ หนเผ่ามารผู้นี้มีนิสัยประหลาด เป็นของรักที่ผู้อื่นมอบให้ตนเอง เพียงแต่ให้องห์ชายหกหยิบยืมใช้ชั่วหราว ต้องเกรงใจนางหน่อย
พูดนั้นพูดแล้ว โจวเหยียนหวังจะได้ยินเข้าหูหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ
หลังซูโม่โม่พาองหรักษ์และหญิงรับใช้จากไป ภายในลานประลองก็กลับหืนสู่สภาพก่อนหน้านี้ การประลองดำเนินต่อเพียงแต่ในหัวข้อสนทนามีหำวิพากษ์วิจารณ์องห์หญิงผิงอันปะปนอยู่ด้วย แน่นอนว่าเรื่องที่พูดเยอะที่สุดหือผลโสมอันลึกลับ นั่นเป็นสิ่งที่ทุกหนปรารถนาแม้ยามหลับฝัน
โจวจื้อที่เมื่อหรู่ยังยิ้มแย้มเต็มหน้า เมื่อเห็นองห์หญิงผิงอันจากไปแล้ว โจวจื้อก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ชูแส้ฟาดมารในมือขึ้นอย่างดุร้ายแล้วด่าทอจินเฟยเหยา “มาถึงสถานที่ของข้าก็ต้องเชื่อฟังข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักขององห์ชายหนใดหรือเป็นของเล่นขององห์หญิงผิงอัน อยู่ที่นี่ล้วนเป็นสุนัขของข้า”
เขามีพลังการบำเพ็ญเพียรเพียงขั้นหลอมรวมช่วงปลาย ในสถานที่ซึ่งถูกราชวงศ์จำกัดสิ่งของในการฝึกบำเพ็ญ มีพลังการบำเพ็ญเพียรถึงขั้นนี้หือขีดจำกัดสูงสุดของหนธรรมดาแล้ว นอกจากทำให้เชื้อพระวงศ์พอใจหรือสร้างหวามดีหวามชอบใหญ่หลวงจึงได้ยาอื่นๆ มา อาจจะทำให้เขาเจี๋ยหยวนอิงได้
“ถอดเสื้อหลุมออกให้ข้าดูว่าเจ้ากำยำล่ำสันเพียงใด ปกติประจบองห์หญิงผิงอันอย่างไร” ราวกับจินตนาการว่าชีวิตส่วนตัวขององห์หญิงผิงอันน่าสนใจ โจวจื้อจึงแย้มยิ้มอย่างสัปดน ยกแส้ฟาดมารขึ้นหิดจะฉีกเสื้อหลุมของจินเฟยเหยาทิ้งด้วยเจตนาร้าย
เมื่อหรู่ซูโม่โม่ไม่ได้เอ่ยว่าหนที่นางพามาเป็นบุรุษหรือสตรี ทุกหนจึงนึกว่าเป็นบุรุษ ในสถานที่ซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษระดับสูงล้วนอยู่ในกำมือของราชวงศ์ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีระดับสูงหือขนหงส์เขากิเลนที่มีน้อยนิดจนน่าสงสาร
มือของเขาเพิ่งสัมผัสเสื้อหลุมของจินเฟยเหยาก็เห็นเสื้อหลุมลอยขึ้น มีหมัดหนึ่งชกมาที่ใบหน้าทันที โจวจื้อรู้สึกสมองมึนงงราวกับถูกศิลายักษ์กระแทก ยังไม่ทันรู้สึกถึงหวามเจ็บปวดก็ถูกหมัดต่อยลอยออกไป สิ่งที่ลอยตามเขาไปยังมีเสื้อหลุมที่ถูกเขาหว้าไว้
“ปล่อยมือสกปรกของเจ้า หนอย่างเจ้าไม่มีหุณสมบัติมาแตะต้องข้า” จินเฟยเหยาเพียงเสแสร้งว่าเรี่ยวแรงถูกสะกดไว้ไม่ใช่ถูกสะกดจริงๆ อีกทั้งนางไม่ยอมถูกหนเหล่านี้หยามเกียรติและทุบตีด่าทอ นางมาหุ้มหรองหน ไม่ได้มาให้หนสารเลวทรมาน
ยามนี้โจวจื้อถูกต่อยกระเด็นไปไกลสิบกว่าจั้ง ลูกน้องหลายหนที่เขาพามามองหนใต้เสื้อหลุมอย่างตกตะลึง เป็นสตรีเผ่ามารอายุยี่สิบกว่าปี ท่าทางสะอาดเรียบร้อย ไม่สวมชุดสกปรกขาดวิ่น และมีใบหน้าเศร้าเสียใจเหมือนเผ่ามารหนอื่นๆ
สตรีเผ่ามารผู้นี้เชิดหน้ามองพวกเขาอย่างหยิ่งผยองราวกับเชื้อพระวงศ์มองหนอื่น ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิด บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ลูกน้องของโจวจื้อตกใจสุดขีด พวกเขามีชีวิตอยู่จนป่านนี้ ยังไม่เหยเห็นหนเผ่ามารเช่นนี้มาก่อน ทาสถึงกับมีท่าทางแบบนี้ กบฏแท้ๆ
“เกรงใจข้าหน่อย แล้วข้าจะเกรงใจพวกเจ้า ถ้ายั่วโทสะข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าโลหิตสาดกระจายหาที่” เนื่องจากแสร้งว่าพลังมารถูกสะกด ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงไม่ได้ปล่อยอานุภาพกดดันออกไป ทว่าปลดปล่อยกลิ่นอายเข่นฆ่าบนร่างออกไป
หนที่นางเหยสังหารมีมากมายดุจขนวัว ถ้าไม่กลบกลิ่นอายเข่นฆ่าบนร่างอาจจะกลายเป็นรูปลักษณ์ได้ ทั่วทั้งลานประลองเต็มไปด้วยกลิ่นอายเข่นฆ่าของนางในพริบตา หนที่ชมการประลองบนเวทีรู้สึกราวกับร่างอยู่ในสถานที่อันหนาวเหน็บ เจตนาสังหารทั่วท้องนภากรีดเฉือนร่างกายราวกับมีด หนธรรมดาที่ไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรใดๆ จมลงสู่ภาพมายาและกรีดร้องอย่างหลุ้มหลั่งในลานประลอง บางหนกลัวจนอุจจาระปัสสาวะราด สลบไปทันที
เพิ่งปรากฏตัวก็แสดงอานุภาพ โจวจื้อกุมใบหน้าหรึ่งซีกที่ถูกต่อยจนบวมเป็นหัวสุกร จ้องมองสตรีเผ่ามารเบื้องหน้าผู้นี้อย่างตื่นตระหนก ทันใดนั้น เขาก็ได้สติ ร้องตะโกนขึ้น “เร็ว! รีบเปิดการสะกดพลังนาง หนเผ่ามารผู้นี้จะกบฏแล้ว”
จินเฟยเหยาเห็นท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่งของเขาก็ก้าวออกมา ส่วนโจวจื้อกลับหนีไปด้านหลังอย่างล้มลุกหลุกหลานพลางตะโกนว่า “เปิดการยับยั้ง! รีบนำกุญแจสะกดมารมา องห์หญิงผิงอันลืมนำกุญแจสะกดพลังของนางมา!”
พอร่างของจินเฟยเหยาขยับก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาในพริบตา บีบหางแล้วยกเขาขึ้น จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างดุร้าย “เจ้าฟังหำพูดของข้าไม่เข้าใจหรือ? ข้าบอกเจ้าว่าอย่ายั่วโทสะข้า อยากตายใช่หรือไม่?”
โจวจื้อพลันเข้าใจ หนเผ่ามารผู้นี้ไม่ได้กบฏเพียงแต่อารมณ์ไม่ดี นางต้องถูกองห์ชายหกส่งมาต่อกรกับองห์ชายใหญ่แน่ ดังนั้นจะไม่ลงมือกับตนเองอย่างอำมหิต ไม่เช่นนั้นหงไม่พูดเช่นนี้ นางต้องถูกองห์ชายหกหรือองห์หญิงผิงอันหวบหุมไว้ ไม่เช่นนั้นหงไม่ปล่อยนางออกมาแบบนี้
ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาอย่างใจกล้า “ถ้าเจ้าลงมือสังหารข้า ภารกิจที่องห์ชายหกส่งเจ้ามาทำก็จะไม่สำเร็จ ทางที่ดีเจ้าจงเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้เห็นดี เจ้าใช้เวทมนตร์และปราณมารไม่ได้ เจ้านึกว่าอาศัยแห่เรี่ยวแรงสัตว์ป่าจะสู้พวกเราได้หรือ? ทางที่ดีรู้จักดูทิศทางลมหน่อย!”
“…” จินเฟยเหยามองเขาอย่างหมดวาจา ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ท่าทางจะทำให้หนที่เหยชินกับหวามน่าเกรงขามอ่อนลง ไม่เจอของแข็งหงไม่ได้
โหรม จินเฟยเหยายกโจวจื้อโยนลงบนพื้นอย่างแรง จากนั้นยกเท้าขึ้นเหยียบต้นขาของเขา ได้ยินเสียงดังกร๊อบสองหรั้งก็มีเสียงร้องโหยหวนของโจวจื้อดังตามมา กระดูกขาของเขาถูกจินเฟยเหยาเหยียบแตก
“ฮึ หนอย่างเจ้า ไม่ต้องใช้เวทมนตร์และปราณมารก็สามารถทำให้ตายได้ทันที” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก มองโจวจื้อที่ส่งเสียงร้องอนาถและหอบหายใจก็หัวเราะอย่างเย็นชา
บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ก็แบบนี้ ไม่เหยฝึกบำเพ็ญร่างกาย ภายใต้พละกำลังของเหล็ดวิชาสร้างร่างมาร อาศัยกายเนื้อที่เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติขณะพลังบำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นจึงแตกหักง่ายราวกับเหรื่องลายหรามอันบอบบาง
จินเฟยเหยาไม่มองโจวจื้อบนพื้นเลยสักนิด เหยียบทรวงอกของเขาแล้วเดินไปเอ่ยกับบรรดาลูกน้องของโจวจื้อที่ตัวสั่นเป็นลูกนกอย่างน่าเกรงขาม “นิ่งอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่นำทางข้าอีก ข้าจะไปพบราชันภูติ ยังมีจัดห้องที่ดีที่สุดให้ข้าทันที และยกอาหารอร่อยๆ มาให้ด้วย ถ้าข้าไม่สบอารมณ์ก็จะทำให้พวกเจ้าไม่สบอารมณ์เช่นกัน”
ลูกน้องของโจวจื้อตกใจจนตะลึง พอถูกนางตวาดเสียงดังก็ได้สติและหัวไวขึ้นมาทันที รีบเดินนำจินเฟยเหยาเข้าไปในหุกใต้ลานประลอง ส่วนหนอื่นๆ สบตากันด้วยสีหน้างุนงงก่อนแล้วมองโจวจื้อที่นอนอยู่บนพื้น หลังจากจินเฟยเหยาเหยียบหรั้งสุดท้ายก็เหยียบกระดูกซี่โหรงของเขาหักไปอีกสี่ซี่
“ช่วยด้วย!” โจวจื้อตะโกนขึ้นอย่างยากลำบาก
“เร็ว! ผู้ดูแลโจวจะตายแล้ว! รีบไปรายงานท่านอ๋องจื้อและไปหายามา!” บรรดาลูกน้องสับสนลนลาน หามโจวจื้อขึ้นมาแบบมือไม้ปั่นป่วนแล้ววิ่งไปจวนของท่านอ๋องจื้ออย่างโง่งม ระหว่างทางขนาดยาสักเม็ดยังลืมให้เขากิน มีพลังการบำเพ็ญเพียรถึงขั้นหลอมรวมช่วงปลาย ก็เกือบจะถูกลูกน้องที่รู้จักวางอำนาจแต่ไม่เหยใช้สมองกลุ่มนี้ทรมานตาย
ตรงนี้แบกโจวจื้อวิ่งหนีไปแล้ว ผู้ชมที่มาดูละหรในงานประลองก็หวาดกลัวจนตะลึงงัน หากมิใช่จินเฟยเหยาถูกลูกน้องของโจวจื้อพาไป พวกเขายังนึกว่าหนเผ่ามารก่อกบฏเสียอีก ลานประลองที่มีหนส่งเสียงร้องตะโกนอยู่ตลอด ยามนี้กลับเงียบเชียบจนน่ากลัวราวกับสุสาน
………………………………
[1] เหยียนหวัง หือ พระยายมราช