คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 301 อาหารว่าง เหลียงผีทะเล
ล่าช้าอยู่ที่นี่สามเดือน จินเฟยเหยาทำกะโหลกที่เรียบลื่นหนึ่งชิ้นเสร็จก็พาพั่งจื่อเหยียบย่ำลงในลำธารส่งตัวไปโลกวิญญาณชิงหลัวต่อ
ส่งตัวแล้วอาเจียน อาเจียนแล้วก็ส่งตัว นางกัดฟันใช้เวลาสองวันส่งตัวหกสิบสามครั้ง ในที่สุดก็ร่อนลงยังถ้ำศิลาโทรมๆ แห่งหนึ่ง
ถ้ำศิลานี้เก่าแก่อย่างยิ่ง เย็นเยียบและมืดครึ้มมาก มีเพียงแสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาจากร่องหินทางด้านข้าง กิ่งไม้และใบไม้ของเถาวัลย์สายหนึ่งก็ไต่เข้ามาทางร่องหินและห้อยใบสีเขียวอยู่ตรงนั้น ยังได้ยินเสียงคลื่นซัดฝั่งและเสียงนกทะเลร่ำร้องเป็นบางครั้งดังมาจากตรงร่องหิน
นอกจากวงเวทส่งตัวอันนี้บนพื้นก็เป็นแท่นบันไดศิลาสามช่วงนำไปสู่ภายนอก เพียงแต่ประตูถูกศิลายักษ์อุดไว้ ตอนออกไปยังต้องทำลายศิลา
หลังจากเห็นชัดว่ารอบด้านไม่มีอันตราย จินเฟยเหยาก็นำกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมานอนมองแผนที่บนพื้น ตอนนี้จุดสีแดงตั้งอยู่บนโลกวิญญาณซิงหลัวแล้ว
“ดียิ่งนัก ในที่สุดก็ไม่ต้องส่งตัวอีก พวกเรามาถึงโลกวิญญาณซิงหลัวแล้ว” จินเฟยเหยาส่งเสียงหัวเราะลั่น
พั่งจื่อน้ำลายฟูมปากหมดสติไปนานแล้ว การส่งตัวหลายครั้งช่วงท้ายๆ ล้วนผ่านมาโดยไร้สติ จินเฟยเหยาไม่อยากทรมานคนเดียว ถึงพั่งจื่อหมดสติไป นางก็ไม่เก็บมันกลับเข้าถุงสัตว์ภูติยังยืนกรานหิ้วมันไว้ในมือ
กึกกึกกึก…
ด้านข้างมีเสียงสิ่งของกระทบกันดังมา จินเฟยเหยาเบือนหน้าไปมอง เป็นกะโหลกหุ่นเชิดที่ห้อยอยู่บนเอวของนาง กะโหลกศีรษะเอียงกระเท่เร่อยู่บนพื้น ขากรรไกรล่างกระทบขากรรไกรบนไม่หยุดราวกับคิดจะพูดอะไร จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ ให้ “เป็นอย่างไร ตื่นเต้นสินะ”
นางยินดีอย่างยิ่งที่มีคนมาลำบากด้วย แม้แต่หุ่นเชิดที่ใส่วิญญาณแล้วยังนำออกมารื่นรมย์กับวงเวทส่งตัวด้วยกัน ช่างไม่ยอมให้ผู้อื่นสุขสบายจริงๆ ขากรรไกรล่างของกะโหลกศีรษะสั่นดังกึกๆ ไม่หยุดราวกับเดือดดาลอย่างยิ่ง
“เจ้าพูดว่าอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ หลังจากข้าได้วัสดุอื่นๆ มาให้เจ้าแล้วค่อยพูดเถอะ” จินเฟยเหยายื่นมือไปจิ้มหัวกะโหลก คิดไม่ถึงว่ากลับถูกหัวกะโหลกงับนิ้วทันที
จินเฟยเหยามองหัวกะโหลกกัดนิ้วไม่ปล่อยก็เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เป็นไปไม่ได้ที่เนี่ยนซีจะทำเรื่องแบบนี้ หวาหวั่นซีก็คงไม่ทำพฤติกรรมชั้นต่ำเช่นนี้ หุ่นเชิดตัวนี้เป็นใครกันแน่ ไม่รู้จักกฎเกณฑ์มากเกินไปแล้ว!”
“เจ้าเป็นใคร?” นางเอาหน้าเข้าไปใกล้หัวกะโหลกแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
ขากรรไกรล่างของหัวกะโหลกอ้าออกคิดจะเอ่ยวาจา ทว่าจินเฟยเหยารีบดึงนิ้วออกมาอย่างรวดเร็วแล้วยกเท้าขึ้นเตะหัวกะโหลกออกไปกระแทกบนผนังศิลาทันที
“ฮึ เจ้าเป็นหุ่นเชิดของข้า คิดไม่ถึงว่าจะกล้ากัดข้า จะกบฏหรือ ครั้งนี้ข้าจะใช้โลหิตสังเวย อย่านึกว่าเจ้าจะเหมือนกบอ้วนตัวนั้นที่สามารถก่อเรื่องได้ทุกเมื่อ แต่เจ้าจะเลียนแบบมันก็ได้ ถึงอย่างไรก็โดนอัดเหมือนกัน” ครั้งนี้จินเฟยเหยาเรียนรู้จากประสบการณ์ ขณะหลอมสร้างกะโหลกก็เพิ่มคำสาปโลหิตเข้าไปจะได้ไม่สร้างเจ้าตัวไม่เชื่อฟังออกมา
แต่ดูแล้วประสิทธิภาพไม่ค่อยจะเหมือนที่คิดเท่าใด เป็นกะโหลกชิ้นหนึ่งยังกล้ากัดเจ้านาย เมื่อทำร่างทั้งหมดขึ้นมาสามารถโจมตีคนได้ ยังไม่รู้ว่าจะจัดการยากเพียงใด
กะโหลกศีรษะติดอยู่ในร่องหินขยับไม่ได้ ขากรรไกรล่างคิดจะขยับก็ขยับไม่ได้
จินเฟยเหยายื่นมือดูดหัวกะโหลกออกมาแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของกะโหลกพลางด่าทอ “เชื่อฟังข้าหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้ากลายเป็นคนอัปลักษณ์”
นิ้วของนางเป็นของวิเศษชั้นกลาง หัวกะโหลกหุ่นเชิดกลับเป็นสิ่งของที่ทำเสร็จเพียงครึ่งเดียว จินเฟยเหยายื่นนิ้วมาจิ้มก็ถูกนางจิ้มจนกลายเป็นรูดังปุ๊
จินเฟยเหยามองรูตรงกลางหน้าผากหัวกะโหลก ลูบใบหน้าพลางหัวเราะ “ข้ารู้สึกว่าแขวนหัวกะโหลกอย่างเจ้าไว้ข้างนอกไม่ค่อยดีนัก ใส่ไว้ในถุงเฉียนคุนให้พักผ่อนมากๆ ดีกว่า รอข้าหาวัสดุพบค่อยสร้างเจ้าออกมา”
พูดเองเออเองแล้วนางก็รีบยัดหัวกะโหลกกลับถุงเฉียนคุน แล้วหยิบพั่งจื่อที่มีขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นราวกับไม่มีอะไร จากนั้นพินิจวงเวทส่งตัวบนพื้น บนวงเวทส่งตัวเขียนไว้แค่สองอักษรว่า เป่ยเฉิน ท่าทางวงเวทส่งตัวอันนี้จะไปทิศทางเดียว ถ้าจะไปโลกวิญญาณอื่นๆ ก็ต้องหาวิธีเอง
จินเฟยเหยาเดินไปเบื้องหน้าก้อนหินยักษ์ที่อุดไว้และปลดปล่อยการรับรู้ผ่านก้อนหินออกไป คิดจะดูสภาพภายนอกก่อน
การรับรู้ของนางทะลุผ่านก้อนหินไปไม่พบว่าด้านนอกมีสิ่งมีชีวิตใด นางจึงใช้ทงเทียนหรูอี้ฟันศิลาราวกับหั่นเต้าหู้อย่างวางใจ กลิ่นทะเลเค็มๆ พุ่งเข้ามาปะทะหน้า
เดินไปมองตรงปากถ้ำ ภายนอกไม่มีสถานที่ให้หยั่งเท้า ที่นี่คือหน้าผาที่ยื่นไปในทะเล บนหน้าผามีเถาวัลย์ปกคลุมเหมือนขนสั้นๆ หนึ่งชั้น สถานที่อื่นๆ ก็เป็นที่ซึ่งนกทะเลเล็กๆ สร้างรัง
จินเฟยเหยามองวงเวทอันนี้ลังเลเล็กน้อย ก็เลิกล้มความคิดจะอุดมันอีกครั้ง วงเวทส่งตัวทำขึ้นเพื่อให้คนใช้ อุดไว้ก็เสียเปล่า นางครุ่นคิดแล้วเปิดปากถ้ำไว้แบบนี้ นำพรมบินออกมานั่งเหาะไปโลกวิญญาณซิงหลัว
ที่นี่คือรอบนอกของโลกวิญญาณซิงหลัว โลกวิญญาณซิงหลัวทั้งหมดสร้างขึ้นจากเกาะจำนวนเรือนแสน จะไปถึงเมืองบำเพ็ญเซียนขนาดใหญ่ของโลกวิญญาณซิงหลัวต้องใช้เวลาไม่น้อย
จินเฟยเหยาไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าโลกวิญญาณซิงหลัวจะมีเกาะนับแสนเกาะ นั่นต้องกินพื้นที่กว้างเพียงใด ดูแลทั่วถึงหรือ ที่สำคัญคือมองจากกระจกสภาพโลกวิญญาณ ดินแดนของโลกวิญญาณซิงหลัวใหญ่กว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉินห้าหกเท่า ดินแดนขนาดนี้ ถ้ามีเกาะนับแสนเกาะ ก็ได้แต่เจ้าติดกับข้า ข้าชิดกับเจ้าเหมือนเมืองวั่นเซียนสุ่ย
ทว่าโขดหินที่นี่กลับมีมากมาย จินเฟยเหยาเหาะออกมาแบบนี้ ตลอดทางเห็นโขดหินขนาดใหญ่น้อยแตกต่างกันนับพัน ขนาดเล็กเพิ่งโผล่ออกมาพ้นผิวทะเล ขนาดใหญ่สูงเกือบสิบจั้งกว้างเกือบห้าหกจั้ง บอกว่ามันเป็นเกาะยังพอฝืนใจยอมรับ แต่ถ้าให้คนอาศัยก็ยังพออยู่ได้คนสองคน
“โขดหินเหล่านี้คงไม่ถือว่าเป็นเกาะหรอกนะ?” จินเฟยเหยาพลันนึกถึงความเป็นไปได้นี้ แต่ก็รู้สึกว่าคนของโลกวิญญาณซิงหลัวคงไม่น่าเบื่อถึงขั้นนั้น ผู้ใดจะบอกว่าโขดหินเป็นเกาะเพื่อทำให้โลกวิญญาณซิงหลัวฟังดูแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้จริง คำพูดที่บอกว่ามีนับแสนเกาะอาจจะไม่ได้มีเพียงแค่แสนเกาะจริงๆ
จินเฟยเหยาบินพลางมองพินิจบนทะเล ได้ยินว่าสัตว์ทะเลในทะเลหรูเมิ่งมีมากมาย ถ้าไม่ระวังจะถูกพวกมันกิน ที่นี่ถือเป็นดินแดนของโลกวิญญาณซิงหลัว สัตว์ทะเลระดับสูงไม่น่าปรากฏตัวขึ้น ไม่ได้พบสัตว์ทะเลระดับต่ำก็ดี ตอนนี้นางยากจนอย่างยิ่ง ต้องการสัตว์ปิศาจมาแลกเงินด่วน
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็พบว่าบนโขดหินไกลๆ เบื้องหน้า มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังอาบแดด ผมยาวสีเขียวเข้มเกือบดำ ร่างขาวเนียน มองไกลๆ ยังเห็นตรงทรวงอกมีหน้าอกกำลังส่ายไหว
“มีสตรีมากมายขนาดนี้เปลือยกายอาบแดด?” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างประหลาดใจ นางอยู่ห่างไกลจากสถานที่แห่งนั้น มองไปแต่ละคนมีขนาดเท่าถั่วปากอ้า เนื่องจากนางมีสายตาของขั้นกำเนิดใหม่จึงสามารถมองรายละเอียดเหล่านี้ได้
รอจนบินเข้ามาใกล้หน่อย จินเฟยเหยาจึงมองเห็นได้ชัดเจน นี่ไม่ใช่สตรีกลุ่มหนึ่งทว่าเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสี่ที่อวบขาวกลุ่มหนึ่ง สิ่งของสีเขียวบนหัวใช้สาหร่ายทะเลปิดบัง ร่างเรียบลื่นไร้ขนสะดวกต่อการแหวกว่ายในทะเล ทว่าก้อนกลมๆ สองก้อนนั้นไม่ใช่หน้าอกทว่าเป็นดวงตาโตคู่หนึ่ง เพียงแต่ตอนหลับตาดูแล้วเหมือนหน้าอกสตรี
พวกมันไม่มีมือและเท้า ทั่วร่างราวกับมะเขือยาวสีขาวขนาดหนึ่งจั้งกว่า ปากอยู่ที่ใด จินเฟยเหยามองอยู่นานก็หาไม่พบ
สัตว์ปิศาจที่ไม่มีมือไม่มีเท้ามีเพียงดวงตาโตสองข้างดูแล้วทำให้คนไม่สบายใจ จินเฟยเหยาไม่สนใจจะล่ามันเลยสักนิด สัตว์ประเภทนี้จะเอามาใช้ทำอะไรได้? เกรงว่ากินแล้วรสชาติจะไม่ถูกปาก
ขณะกำลังคิดจะเหินผ่านเหนือศีรษะของพวกมันไป หลังโขดหินสูงใหญ่ด้านข้างพลันมีเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้น บนเรือยิงธนูสีเงินยาวครึ่งจั้งนับร้อยดอกเข้าใส่มะเขือยาวที่อาบแดดอยู่บนโขดหิน
เสียงดังฉึกๆ อย่างต่อเนื่อง ธนูสีเงินที่มีเชือกปักเข้าสู่ร่างของมะเขือยาว ทำให้พวกมันบิดร่าง ทว่ามะเขือยาวตัวอื่นๆ ที่ไม่ถูกยิงกลับรีบไหลลื่นลงไปในทะเล
มะเขือยาวที่ถูกธนูสีเงินยิงยกร่างขึ้น จินเฟยเหยาจึงเห็นว่าปากของพวกมันอยู่ด้างล่างสุดของลำตัว ในนั้นมีเขี้ยวคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วน มองดูขนาดปากนั้นสิ กลืนคนผู้หนึ่งลงไปได้โดยไม่มีปัญหาเลยสักนิด
ในเวลานี้เอง บนเรือมีคนโยนยันต์วิญญาณลงมา ใบหนึ่งแปะไปที่มะเขือยาวตัวหนึ่ง มะเขือยาวที่ถูกยันต์วิญญาณชนิดนี้แปะตลอดร่างราวกับหลอมละลาย มีน้ำไหลออกมาภายนอก ครู่หนึ่งก็กลายเป็นสิ่งของที่เหมือนกับเหลียงผีขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง
จากนั้นคนบนเรือก็ดึงธนูสีเงิน สัตว์ปิศาจเหล่านี้เปลี่ยนจากมะเขือยาวเป็นเหลียงผีและถูกลากขึ้นเรือทีละตัว
“น่าสนใจจริงๆ” จินเฟยเหยานั่งพรมบินมองอย่างสงสัยอยู่ด้านข้าง คนบนเรือเห็นนางนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยุ่งอยู่กับการล่าสังหารมะเขือยาวเหลียงผี ดังนั้นจึงไม่ได้ทักทายนาง ตอนนี้ล่าสัตว์ปิศาจเสร็จสิ้นแล้ว ขณะกำลังบรรทุกขึ้นเรือก็มีเจ้าของเรือมาคารวะนาง
คนที่เดินมาถึงหัวเรือคือบุรุษร่างล่ำสันที่ดูเหมือนอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เนื่องจากออกทะเลล่าสัตว์ ดังนั้นจึงเปลือยร่างท่อนบน สวมแค่กางเกงหนังปลากันน้ำ เขาประสานมือคารวะจินเฟยเหยาเอ่ยเสียงดังกังวาน “ท่านเซียนมาถึงที่นี่ พวกผู้น้อยล่วงเกินมากแล้ว”
จินเฟยเหยาลดพรมบินลงต่ำ เหาะมาถึงข้างเรือแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงผ่านทางมา เห็นพวกเจ้าล่าสัตว์ปิศาจเหล่านี้ ดังนั้นจึงมองดูนานหน่อย”
ชายฉกรรจ์เอ่ยอย่างยิ้มแย้มทันที “ท่านเซียนเพิ่งมาถึงโลกวิญญาณซิงหลัวสินะ”
“เห็นได้ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“หากท่านเซียนมิได้เพิ่งมาถึงโลกวิญญาณซิงหลัว จะสนใจการจับเหลียงผีทะเลได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
จินเฟยเหยามองสัตว์ปิศาจที่กำลังถูกลากขึ้นเรือเหล่านั้น อดเอ่ยอย่างยิ้มแย้มไม่ได้ “เป็นเหลียงผีจริงๆ”
“ท่านเซียน นี่คือ เหลียงผีทะเล อาหารขึ้นชื่อของโลกวิญญาณซิงหลัวเรา รสชาติเหมือนเนื้อแต่ไม่ใช่เนื้อ เหมือนเหลียงผีแต่ไม่ใช่เหลียงผี สัตว์ชนิดนี้หลังจากล้างแล้วเติมซีอิ๊วก็สามารถรับประทานได้ทันที อีกทั้งกินตอนนี้ จะมีรสชาติดีและสดใหม่กว่าตอนไปขายในเมืองอวิ้นหุยอีก อย่างไรก็ไม่ได้ถูกแช่แข็ง” ชายฉกรรจ์ชี้เหลียงผีทะเลเหล่านั้นแล้วอธิบายให้จินเฟยเหยาฟัง
หลังจากจินเฟยเหยาได้ฟังก็ดวงตาเป็นประกาย ลูบคางพึมพำกับตนเอง “ฟังดูแล้วเหมือนจะอร่อยมาก ท่าทางหลังจากเข้าเมืองแล้วต้องไปซื้อมาลองสักชาม”
เสียงของนางไม่เบาและไม่ดัง ดูเหมือนกำลังพูดกับตนเอง ทว่ากลับทำให้ชายฉกรรจ์ได้ยินอย่างชัดเจนพอดี
คิดไม่ถึงว่าท่านเซียนที่เหยียบของวิเศษเหาะเหินจะกินเหลียงผีทะเล ชายฉกรรจ์ตกตะลึงอยู่บ้าง ทว่าได้ยินแล้วไม่เชิญท่านเซียนที่เพิ่งมาโลกวิญญาณซิงหลัวผู้นี้กินเหลียงผีทะเลสักชามก็ดูเหมือนพวกเราจะใจแคบเกินไป
ดังนั้นเขาจึงประสานมือเอ่ยว่า “ถ้าท่านเซียนไม่รังเกียจ จะขึ้นเรือมาพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่ พวกเราคิดจะเลี้ยงเหลียงผีทะเลท่านเซียนสักชามและแนะนำดินฟ้าอากาศ ประเพณีนิยม และนิสัยใจคอของผู้คนในโลกวิญญาณซิงหลัวให้ท่านเซียนรู้”
นี่ตรงกับใจของจินเฟยเหยาพอดี นางจึงตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส “น้ำใจอันลึกซึ้งยากจะปฏิเสธได้ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
“เชิญ”
………………………………………
[1] เหลียงผี คือ อาหารแถบส่านซี มีลักษณะเหมือนเส้นใหญ่แบบแห้ง ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล พริก น้ำส้ม เวลากินคลุกเคล้ากัน