ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 9 บทที่ 249 เทพธิดาผู้มาจากสวรรค์
พูดง่ายๆ ก็คือยาชนิดนี้ทำให้คนที่สัมผัสรู้สึกพอใจและเคลิบเคลิ้มเพียงเท่านั้น แน่นอนว่าอาจมีความใคร่ด้วยเล็กน้อย
“นี่มันระบำนางฟ้าอย่างแท้จริง พวกนางเป็นนางฟ้าที่ท่านอ๋องเชิญมาจากสวรรค์ชั้นเก้าใช่หรือไม่?”
แขกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างสนใจ
หลงเทียนอวี้ทำเพียงหันไปมองอย่างมีมารยาท ไม่พยักหน้าหรือส่ายหน้า
ก่อนนั้นเขาเอ่ยอย่างชัดเจนแล้วว่าหญิงสาวทั้งสิบล้วนเป็นคุณหนูจากชนชั้นสูง หลังจากการแสดงจบลง คุณค่าของพวกนางจึงเพิ่มขึ้นทวีคูณ
เหตุเพราะคุณหนูที่สามารถร้องเล่นเต้นรำได้อย่างงดงามพริ้วไหวเหล่านี้ล้วนเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของผู้ประสาทพร คาดว่าเหล่าคุณชายชนชั้นสูงทั้งหลายย่อมหมายปองหญิงสาวเหล่านี้อย่างแน่นอน
“เอ๋? เหตุใดอาการปวดเอวของข้าจึงดีขึ้นแล้วเล่า?”
ท่ามกลางกลุ่มคน เสียงร้องด้วยความประหลาดใจดังขึ้น
“นั่นสิ บ่าของข้าก็ไม่เจ็บปวดแล้วด้วย”
หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ เมื่อครู่ป๋ายซูและป๋ายซ่าวเข้าไปปิดหน้าต่างของห้องโถงหมดแล้ว
ความอบอุ่นตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากการทำสุคนธบำบัดให้กับทุกคน ยาพิษชนิดนี้ผ่านการปรุงจากท่านอาจารย์ มีสรรพคุณทำให้อาการเจ็บป่วยหายไป ซ้ำยังทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น
แม้จะไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่หลินหนานเซิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหลินเมิ้งหยา เพียงครุ่นคิดเล็กน้อยเขาก็รู้ได้ทันทีว่าน้องสาวของตนเองกำลังทำอะไร
ก้มศีรษะลง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“ดูเหมือนระบำขอพรในวันนี้จะทำให้พวกเราได้รับการประสาทพรจริงๆ”
เพียงได้ยินประโยคนี้ หัวใจของทุกคนพลันเต้นระรัว
หรือพระพุทธเจ้าจะประสาทพรให้พวกเขาเพราะการเริงระบำในคราวนี้จริงๆ? อาการเจ็บป่วยที่หายไปหาใช่เรื่องหลอกลวง
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเชื่อเรื่องนี้
“เท่าที่ข้าดู อันที่จริงหาใช่เพราะระบำขอพรแต่อย่างใด แต่เป็นเหล้าชั้นเลิศที่ฮองเฮาและไท่จื่อประทานให้มากกว่าที่ทำให้อาการเจ็บป่วยของพวกเราหายไป”
คนของไท่จื่อไม่มีทางปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไป
น่าเสียดาย ทุกคนมิได้โง่เขลา แม้เหล้าเหล่านี้จะเป็นเหล้าชั้นดี แต่ก็มิได้หมายความว่าจะส่งผลลัพธ์อันน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ได้
คนของไท่จื่อเอ่ยชมเกินไปแต่เพียงเท่านั้น
ไม่นานเสียงชื่นชมไท่จื่อก็เงียบกริบ ตอนนี้เองที่หลินเมิ้งหยายกแก้วเหล้าขึ้น ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน
“เทพธิดาเป็นผู้เปิดทางแก่พระผู้เป็นเจ้า ส่วนน้ำเหล่านี้เปรียบเสมือนของที่ได้รับการประสาทพรจากพระพุทธองค์ ข้าคิดว่าเหตุผลที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้นั่นก็เพราะพระองค์เห็นแก่ความจริงใจของทุกท่าน ข้าเคยได้ยินนักเดินทางเล่าว่ามีแผ่นดินที่คอยดูแลสุราของพระเจ้า เช่นนั้นพวกเรามาร่วมกันภาวนาขอพรให้ฮ่องเต้มีพระอาการดีขึ้นเพื่ออยู่ค้ำชูต้าจิ้นสืบต่อไปเถิด”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาอ่อนหวานลื่นไหล แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ล้วนรู้ดีว่าเพื่อเป็นการรักษาพระวินัย พระพุทธเจ้าจึงละเว้นต่อของมึนเมา ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่อบอุ่นมากขึ้น
หลินมู่จือและหลินหนานเซิงไม่เข้าใจ เหตุใดหลินเมิ้งหยาที่มักไม่ชอบปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นจึงเลือกที่จะออกมาเอื้อนเอ่ยต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คงไม่มีขุนนางคนไหนไม่รู้จักชายาอวี้
หลินเมิ้งหยายกแก้วเหล้า ก่อนจะแอบถอนหายใจในใจ
นางเองก็อยากมีชีวิตเงียบสงบ แต่หากยังเป็นชายาไร้ชื่อ เกรงว่าคนทั้งราชวงศ์คงไม่มีใครรู้ว่านางมีความสามารถในการรักษาฮ่องเต้ได้
เช่นนั้นเส้นทางในการเข้าไปอยู่ในวังของนางคงริบหรี่
การใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบมีข้อดีของมัน แต่ถึงกระนั้นการใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยก็หาใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยหากฮองเฮาคิดจะลงมือทำอะไร นางจำต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างถี่ถ้วนก่อน
ชีวิตน้อยๆ ของนางดับสูญไปอย่างง่ายดาย ทว่าวิธีการของฮองเฮาช่างอำมหิตยิ่งนัก นางจะเอาคืนเรื่องนี้ให้จงได้
หลังจากปรากฏตัวจนพองามแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
นอกจากระบำนางฟ้าเมื่อครู่แล้ว การแสดงลำดับต่อมากลับทำให้ทุกคนรู้สึกเบื่อ มิได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอีก
เหล่าคุณหนูและฮูหยินทั้งหลายล้วนอยากเข้ามาทำความรู้จักกับหลินเมิ้งหยา เหตุเพราะพวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงการแสดงเดียวของจวนอวี้จะทำให้ความสำคัญของคุณหนูผู้ร่ายรำเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้น
หากพวกนางสามารถสร้างสัมพันธไมตรีกับหลินเมิ้งหยาได้ เช่นนั้นหนทางสู่ราชวงศ์คงมิไกลเกินเอื้อม
ดังนั้นคำเยินยอชื่นชมจึงถูกส่งมาให้หลินเมิ้งหยาไม่ขาดสาย
หากมิใช่เพราะนางเป็นคนอดทนอดกลั้นมากพอ เกรงว่านางคงระเบิดเปลือกนอกของคนเหล่านี้จนหมดสิ้น
“ชายาอวี้ ระบำนางฟ้าทำให้พวกเราตื่นเต้นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าคุณหนูสกุลใดเป็นผู้ร่ายรำอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินที่มีลูกสาวเข้าร่วมการแสดงด้วยตั้งใจเอ่ยถาม
หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันที นางเองมิควรปล่อยให้คุณหนูเหล่านั้นมาร่ายรำให้โดยไม่ตอบแทน หลังจากกำชับป๋ายจีแล้ว นางจึงเอ่ยตอบเสียงหวาน
“ขออภัยฮูหยินต้วน อันที่จริงคุณหนูของท่านมิได้มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด แต่เป็นข้าที่ขอยืมตัวนางออกมาเอง ท่านดูเถิด เหล่าคุณหนูที่กำลังกลับเข้ามาในงานเหล่านั้นล้วนเป็นเทพธิดาที่เข้ามาร่ายรำเมื่อครู่ ฮูหยินต้วนมีวาสนายิ่งนัก ท่านมีลูกสาวที่ทั้งฉลาดและมีไหวพริบ”
หลินเมิ้งหยาย่อมรู้ดี ในเมื่ออีกฝ่ายให้ความร่วมมือ นางเองก็ควรยกยอปอปั้นอีกฝ่ายด้วย
“ไอหยา ดูข้าเถิด ข้าเป็นแม่ของนางแท้ๆ แต่นางกลับปิดบังข้าเสียได้”
คำพูดนี้ไร้ซึ่งความจริงใจเล็กน้อย ทุกคนจะเชื่อหรือว่านางที่เป็นแม่แท้ๆ จะไม่รู้เรื่องนี้?
ดังนั้นสายตาของทุกคนจึงมองทางฮูหยินต้วนอย่างดูแคลน แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ ทุกคนล้วนรู้ดี สกุลต้วนมีอ๋องอวี้คอยปกป้องดูแล แม้ตอนนี้จะถูกกดดันอย่างหนัก แต่ก็ใช่ว่าสกุลนี้จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งไม่ได้
โดยเฉพาะตอนนี้คุณหนูใหญ่แห่งสกุลต้วนก้าวสู่วัยเหมาะสมต่อการออกเรือนแล้ว ดูท่าลูกสาวของนางอาจจะมีค่ามีราคามากกว่าลูกสาวของตนเองเป็นร้อยเท่า
หญิงสาวที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเดินกลับเข้ามาในงาน ศีรษะยังคงถูกรวบเป็นทรงของเทพธิดาที่มาร่ายรำเมื่อครู่ หนึ่งก็เพื่อไม่ปล่อยให้คนอื่นฉวยโอกาสตกปลาในน้ำขุ่น สองก็เพื่อความงดงามของตนเอง
หลินเมิ้งหยาเป็นผู้ออกแบบการแต่งหน้าของพวกนางเองกับมือ ก่อนการแสดง ใบหน้าของพวกนางถูกประด้วยแป้งสีขาวนวลเพื่อเผยให้เห็นผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ
สามสิบเปอร์เซ็นต์ของหญิงงามคือความงามจากใบหน้า ส่วนอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์คือการตกแต่ง
“เช่นนั้นข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าชายาของข้าได้แรงบันดาลใจในการแสดงระบำนางฟ้ามาจากที่ใด?”
จู่ๆ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นที่ด้านหลัง หลินเมิ้งหยาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปกะพริบตาใส่หลงเทียนอวี้
“แน่นอนว่าหม่อมฉันได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพคะ มิเช่นนั้นพระองค์คิดว่าหม่อมฉันได้รับแรงบัลดาลใจมากจากที่ใดหรือ?”
หลินเมิ้งหยารีบตอบโดยไร้ซึ่งท่าทางกระวนกระวาย หลงเทียนอวี้กลับยกยิ้มเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้มักสร้างความประหลาดใจอยู่เสมอ แต่เขากลับดูกลอุบายของนางไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้เห็นท่าทางหัวเราะรื่นเริงของหลินเมิ้งหยา สีหน้าของไท่จื่อเริ่มเผยอารมณ์ที่แท้จริงออกมา
งานเลี้ยงในวันนี้มีหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้เป็นพ่องานแม่งาน ดูซิ แม้แต่เหล่าขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงศ์เองก็กำลังสนทนากันเรื่องระบำนางฟ้าในคราวนี้
สีหน้าเคร่งขรึม หันไปส่งสายตาเป็นนัยให้องค์ชายห้า องค์ชายห้าที่อดรนทนไม่ได้อีกต่อไปรีบยกแก้วเหล้า ก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าไปยังโต๊ะของหลินเมิ้งหยา
“มา มา มา เปิ่นฮวงขอชนแก้วกับพี่สะใภ้สามหน่อยเถิด พี่สะใภ้สามไม่เพียงมีรูปร่างหน้าตางดงาม แต่ยังมีฝีมือในการแสดง เท่าที่ข้าดู ต่อจากนี้ไปการร่ายรำของเมืองหลวงคงหมดความหมาย หากพวกเราอยากดูการแสดงร่ายรำแล้วล่ะก็ คงต้องไปดูที่จวนอวี้เท่านั้น”
สีหน้าของหลงเทียนอวี้เย็นชาลง ยื่นมือเข้าไปดันตัวหลินเมิ้งหยาเอาไว้ทางด้านหลัง
“เจ้าดื่มมากไปแล้วน้องห้า”
เสียงเย็นชาทำให้ร่างกายของหลงอิงฉู่สั่นเทิ้มเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมา พี่สามไม่เคยแสดงออกถึงความยินดีหรือโมโห
ทว่าวันนี้เขากลับแสดงออกอย่างชัดเจน แต่เพราะเขาถูกพี่สามขุ่นเคืองตั้งแต่เรื่องในวัดแล้ว เช่นนั้นทำให้เขาโกรธเกรี้ยวเลยจะเป็นไรไป
“พี่…พี่สาม ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแค่มาชื่นชมพี่สะใภ้สามเท่านั้น ท่านโชคดีเหลือเกินที่ได้ครอบครองหญิงสาวที่งดงามราวเทพธิดาเริงระบำเหล่านั้น เพราะเหตุนี้ท่านจึงไม่มีแม้แต่เมียเล็กเมียน้อย ดูท่า…พี่สะใภ้สามต้องถูกใช้งานหนักเอาการ”
คำพูดของหลงอิงฉู่ทำให้สีหน้าของคนจำนวนมากเปลี่ยนไป
เขาไม่เพียงดูถูกหลินเมิ้งหยาว่ามีฐานะไม่ต่างอันใดจากนางรำ แต่ยังดูถูกหลงเทียนอวี้ว่าเขาลุ่มหลงสาวงามอีกด้วย
บรรยากาศครึกครื้นในห้องโถงพลันเย็นยะเยือก
หลงเทียนอวี้หรี่ตาลง ส่งเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
“พูดใหม่อีกรอบซิ”
ไม่ปกปิดอารมณ์คุกรุ่นของตนเองเลยแม้แต่น้อย หลงอิงฉู่รู้ได้เลยว่าหากเขายังกล้าพูดจาละลาบละล้วงอีกแม้เพียงประโยคเดียว หลงเทียนอวี้จะต้องกรีดเลือดของเขาออกมาแน่
เขาเป็นเพียงองค์ชายที่ถูกทุกคนปกป้องมาโดยตลอด ไม่มีทางเลยที่เขาจะเทียบกับหลงเทียนอวี้ที่ผ่านการทำศึกสงครามมาอย่างมากมาย
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก
ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลงเทียนอวี้ไม่มีทางยอมปล่อยหลงอิงฉู่ไปอย่างแน่นอน จู่ๆ เสียงร้องขององครักษ์และขันทีก็ดังขึ้น
“แย่แล้ว แย่แล้ว ไฟไหม้ตำหนักเจาเหอ! ไฟไหม้ รีบมาดับไฟเร็ว”
สีหน้าของพระญาติต่างเปลี่ยนไป ตำหนักเจาเหอเป็นสถานที่เก็บพระพุทธรูปและป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ หากถูกไฟไหม้จะต้องแย่แน่ๆ
“ท่านอ๋อง รีบไปดูเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดั่งสุภาษิตที่กล่าวว่าความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก นางรีบกระตุกแขนเสื้อหลงเทียนอวี้พร้อมส่งสายตาเป็นกังวล
หลงเทียนอวี้หันหน้ากลับมามอง เห็นดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยความหวังของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้ทำได้เพียงปล่อยหลงอิงฉู่ไป ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ออกจากห้องโถง