ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 237 ลูกบุญธรรมสกุลหลิน
“ท่านพี่ เหตุใดวันนี้บ้านจึงเงียบยิ่งนัก?”
ไม่เพียงแค่ซ่างกวนฉิงหรือหลินเมิ้งหวู่ แม้แต่เหล่าทาสรับใช้เองก็เปลี่ยนเป็นคนหน้าใหม่ๆ จนเกือบหมด พวกคนที่คอยรับใช้ซ่างกวนฉิงหายไปจนหมดแล้ว
“ท่านพ่อโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ก็เลยขังซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่เอาไว้ เหล่าคนรับใช้เองก็ถูกเปลี่ยนจนหมด เจ้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกโศกเศร้าอีกต่อไป”
หลินหนานเซิงมองดูน้องสาว ดวงตาเผยให้เห็นความสงสารและรู้สึกผิด
หลินเมิ้งหยาก้มหน้าลง จิบชาเล็กน้อย หัวใจของนางยังคงกู่ร้อง
ตอนแรกท่านพ่อไม่รู้เรื่องอะไร แม้เขาจะรักนางมากแต่สุดท้ายนางก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
อันที่จริงหากท่านพ่อรักและเอ็นดูนาง หากท่านพ่อต้องการปกป้องนาง เหตุใดจึงปล่อยให้นางได้รับความทรมานเหล่านั้น
บางทีอาจเพราะเมื่อก่อนนางมีสติเลอะเลือน ไม่รู้ว่าควรตอบโต้เช่นไร ทุกครั้งที่ท่านพ่อกลับมา นางไม่เคยฟ้องเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังไม่เล่าเรื่องที่ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่ปฏิบัติกับตัวเองไม่ดี ดังนั้นพวกนางจึงหยิ่งผยองขึ้นมา
ถึงอย่างไรท่านพ่อก็คงไม่มีทางเลือก
หลินเมิ้งหยานิ่งไป ก่อนจะเอ่ย
“ตอนนี้ด้านนอกมีคนสอดแนมมากมาย ท่านพี่ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตัวคนเข้ามาสอดแนมอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเป็นกังวล ทว่าหลินหนานเซิงกลับยกยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ข้ากับท่านพ่อหามาเอง ทุกคนล้วนเป็นมิตรสหายของสกุลหลิน ส่วนพวกคนเก่าถูกขับไปอยู่ท้ายจวนแล้ว อีกทั้งท่านพ่อยังสั่งพวกเขามิให้ออกจากประตูจวน ดังนั้นเจ้าโปรดวางใจ เรื่องพวกนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
หลินหนานเซิงรับรอง หลินเมิ้งหยาจึงเบาใจ
ไม่ว่าอย่างไร ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่ล้วนเป็นนายของบ้าน ท่านพ่อและท่านพี่ดูแลบ้านอย่างเข้มงวดกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อมิให้อีกฝ่ายแปรพักตร์
นางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย
“อันที่จริงหากใช้วิธีนี้ในค่ายทหารของท่านพ่อก็คงไม่เป็นไร แต่ที่นี่คือเมืองหลวง คนเหล่านั้นล้วนปลิ้นปล้อน มิได้เชื่อฟังอย่างพวกทหาร สู้ท่านพี่ลองจับตามองประตูห้องให้ดี อย่าให้พวกนางส่งสิ่งของออกไปได้จะดีกว่า พวกนางมีคนสอดแนมมากมายเหลือเกิน”
หลินเมิ้งหยามิได้เป็นกังวลโดยไร้เหตุผล แม้คนสอดแนมในค่ายทหารจะถูกฝึกมาอย่างดี แต่ถึงกระนั้นข้อมูลที่ได้ไปก็น้อยมาก
ค่ายทหารมีการดูแลอย่างเข้มงวด หากมีสิ่งผิดปกติปรากฏขึ้นก็จะถูกพบเห็นได้โดยง่าย
แตกต่างจากเมืองหลวง ไม่ว่าของชิ้นไหนก็อาจเป็นของที่ใช้ส่งข้อความได้ทั้งนั้น อย่าคิดว่าซ่างกวนฉิงเป็นคนอ่อนแอ นางเป็นถึงคุณหนูแห่งสกุลซ่างกวน หากดูจากลักษณะนิสัยของสกุลซ่างกวนแล้ว พวกเขาจะต้องไม่ทนเฉยปล่อยให้ลูกสาวของตนเองถูกรังแกเช่นนี้แน่
ท่านพ่อไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการรับมือกับพวกผู้หญิงเท่าไรนัก
“เจ้าหมายความว่าจะให้ปล่อยตัวพวกนางออกมาอย่างนั้นหรือ? เสี่ยวหยา เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพวกนางเคยทำกับเจ้าเช่นไร?”
หลินหนานเซิงไม่อยากจะเชื่อ เขาคิดว่าการคุมขังพวกนางเอาไว้จะทำให้น้องสาวของตนเองดีใจ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเอ่ยเช่นนี้
“แน่นอนว่าข้าไม่อาจลืมได้ แต่น้ำโคลนในเมืองหลวงมิควรแปดเปื้อนพวกท่าน สกุลซ่างกวนกำลังจับตามองพวกเราอยู่ ท่านน่าจะรู้ว่าเพราะเหตุใดแม่เลี้ยงจึงส่งข้าไปแต่งงานกับหลงเทียนอวี้”
หลินเมิ้งหยาอยากให้พี่ชายเข้าใจความขมขื่นของนาง
ใช่ว่าความเจ็บปวดที่นางได้รับจะไม่จำเป็นต้องถูกชดใช้ แต่ท่านพ่อกับท่านพี่ไม่ควรเข้ามาพัวพันกับสงครามของผู้หญิง
แม้ท่านพ่อจะนำทัพทหารหลายล้านคนและได้รับชัยชนะมามากมาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ของพวกผู้หญิง
“เอาล่ะ เจ้าอย่าพูดอีกเลย เสี่ยวหยา ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้าและท่านพ่อ แต่การที่ท่านพ่อทำเช่นนี้ แสดงว่าเขาได้พิจารณาแล้ว เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
คิดอยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับได้เห็นสายตามุ่งมั่นของหลินหนานเซิง ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลงท้อง
หวังว่านางจะคิดมากเกินไปแต่เพียงเท่านั้น
“หยาเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเล่า? ไม่หนาวหรืออย่างไร?”
เสียงเคร่งขรึมดังขึ้น จากนั้นร่างที่สวมใส่ชุดสีเทาพลันปรากฏในสายตาของหลินเมิ้งหยา
“ท่านพ่อ ลูกมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
ในสายตาของท่านพ่อ นางยังคงเป็นลูกสาวที่น่ารักเสมอ รีบเข้าไปกอดแขนของพ่อตนเองไว้ด้วยท่าทางออดอ้อน
“ดี เช่นนั้นอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับเถิด พวกเราสองพ่อลูกไม่ได้เจอกันนานหลายปี มีบางเรื่องที่พ่ออยากกำชับกับเจ้า”
มองดูลูกสาวด้วยแววตารักใคร่ เด็กน้อยที่เคยน่ารักน่าชังเติบโตจนเป็นเด็กสาวที่มีใบหน้างดงามแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวทัน ลูกสาวก็แต่งงานออกเรือนไปแล้ว หากแม่ของนางรู้ นางคงตายอย่างสงบ
“เจ้าค่ะ ข้าอยากกินของอร่อย”
ส่งเสียงหวาน เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อ นางไม่จำเป็นต้องระมัดระวังอะไรทั้งสิ้น
“เจ้าแมวน้อยเอ๋ย หยาเอ๋อร์ ที่จวนอาหารไม่อร่อยหรือ? เหตุใดพ่อจึงรู้สึกว่าเจ้าผอมลงไปมาก”
แม้ลูกสาวตรงหน้าจะมีใบหน้างดงาม ทว่าใบหน้าข้างแก้มมิกลมกลึงน่ารักเหมือนก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาสัมผัสได้ว่าลมหายใจของนางผิดปกติ ราวกับว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง
หรือนางจะไม่คุ้นชินกับอาหารที่จวนอวี้?
มองดูสายตาพิจารณาของบิดา หลินเมิ้งหยารีบเบี่ยงเบนความสนใจ หากท่านพ่อรู้ว่านางถูกวางยาพิษแล้วล่ะก็ เขาจะต้องระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ อาจเพราะข้าสูงขึ้น จริงสิท่านพ่อ ข้ามีคนอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก เสี่ยวอวี้ เจ้ารีบมาหาท่านพ่อและท่านพี่เร็วเข้า”
หลินมู่จือและหลินหนานเซิงล้วนสังเกตเห็นเด็กหนุ่มเงียบขรึมผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคนนี้แล้ว
เด็กหนุ่มคนนี้อายุราวสิบสี่สิบห้าปีเพียงเท่านั้น ทว่าสายตาแหลมคม ท่าทางเหมือนคุณชายของชนชั้นสูง เขาถวายคำนับอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม อีกทั้งยังสบตากับพวกเขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าเขาเคยเจอกับคนใหญ่คนโตมาก่อนแล้ว
“ข้าน้อยขอคารวะท่านแม่ทัพใหญ่และแม่ทัพน้อย”
ขณะที่พ่อลูกสกุลหลินกำลังชื่นชมท่าทางสงบนิ่งของเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่นั้น หลินเมิ้งหยากลับดึงตัวเขาขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพราะต้องการขอร้องท่านพ่อเรื่องหนึ่ง”
จากนั้นนางเล่าเรื่องการพบกันของตนเองกับเสี่ยวอวี้ให้ฟัง อีกทั้งยังต้องการให้บิดาหาฐานะที่เหมาะสมกับเสี่ยวอวี้ให้
แน่นอนว่าหลินเมิ้งหยายังคงปิดบังเรื่องที่ตนเองทำร้ายคนเหล่านั้นอย่างแสนสาหัสเอาไว้
เหตุเพราะในสายตาของพ่อ นางยังคงเป็นลูกสาวที่น่ารัก
“เรื่องนี้ไม่ยาก สกุลของพวกเรามีญาติมิตรที่ไม่มีทายาทสืบสกุลมากมาย แต่ข้ากลับมองว่าสกุลของพวกเราอาจจะไม่ดีพอกับเจ้าเด็กหนุ่มนี่เสียมากกว่า”
หลินมู่จือมิได้ปฏิเสธหรือยอมรับ เหตุเพราะนี่เป็นคำขอร้องจากลูกสาว
แต่เพียงมองเด็กหนุ่มคนนี้ปราดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้หาใช่คนธรรมดา หากเขาเก็บงำความลับอะไรบางอย่างเอาไว้และทำให้สกุลหลินต้องประสบปัญหาเล่า?
“สายตาท่านแม่ทัพหลินแหลมคมยิ่งนัก อันที่จริงข้าเป็นรัชทายาทแห่งเมืองเลี่ยหยุน แต่เพราะถูกขุนนางทรยศหักหลัง ดังนั้นครอบครัวของข้าจึงถูกฆ่าตายจนหมด ข้างกายข้าเหลือเพียงบริวารที่เชื่อใจได้ หากท่านแม่ทัพรู้สึกหนักใจ เช่นนั้นถือเสียว่าพี่สาวมิได้พูดอะไรออกมาเถิด”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวอวี้จะเล่าเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ปิดบัง
นางรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้เติบโตขึ้นมาก
ถูกต้อง หากดูจากอำนาจของท่านพ่อ เขาสามารถหาตัวตนของหลินจงอวี้เจอได้อย่างแน่นอน หากพูดปดมดเท็จ เกรงว่าท่านพ่อจะสร้างกำแพงขึ้นต่อต้านเขา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเมืองเลี่ยหยุน แต่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นอะไรกับสกุลซิน?”
แม้แต่หลินจงอวี้ที่เตรียมตัวมาดีแล้วยังอดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
ทว่าสายตาของหลินมู่จือกลับสงบนิ่ง สายตาของเขาเฉียบขาดจนมิอาจปิดบังสิ่งใดได้
หลินจงอวี้ไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่กลับเหยียดยิ้ม ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความเสียใจ
“สมแล้วที่เป็นท่านแม่ทัพใหญ่ สกุลซินเป็นศัตรูกับข้า ข้ากับสกุลซินเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันขอรับ!”
หลินเมิ้งหยาตกตะลึง น้ำเสียงของหลินจงอวี้เย็นยะเยือก ไม่เหมือนเสียงของเด็กหนุ่มที่ควรมีเลยแม้แต่น้อย
หรือสิ่งที่นางเคยคาดเดามาทั้งหมดจะผิดพลาด หากเขามิใช่ลูกของสกุลซิน เช่นนั้นซินหลีมาข่มขู่นางทำไมกัน?
เรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่นางยังไม่รู้อย่างแน่นอน
ภายในห้อง มือของเด็กหนุ่มกำแน่น สายตาคับแค้นใจ ท่าทางแข็งกระด้าง เย็นชาและโดดเดี่ยว
“ท่านพ่อ เสี่ยวอวี้เคยช่วยชีวิตข้า ข้าเชื่อใจเขา ข้าเชื่อว่าเขาไม่มีทางทำร้ายข้า ไม่มีทางทำร้ายสกุลหลิน”
ส่งเสียงอ่อนโยนแต่กลับปลอบประโลมหัวใจรวดร้าวของหลินจงอวี้ได้เป็นอย่างดี
มือเล็กอบอุ่นยื่นเข้ามาจับบ่าของเขา
เขาเบนหน้ามองหญิงสาวที่ยืนข้างกายตนเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็มักจะเข้ามายืนตรงหน้าและปกป้องเขาเสมอ นางมักจะเชื่อมั่นในตัวเขาและสนับสนุนทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ
“ท่านพ่อ ในเมื่อเสี่ยวหยาเชื่อใจเขา เช่นนั้นพวกเราเชื่อใจนางเถิด”
หลินหนานเซิงที่รักน้องสาวอย่างสุดหัวใจมักสนับสนุนน้องสาวของตนเองเสมอ อย่าว่าแต่รับน้องชายบุญธรรมเลย ต่อให้หลินเมิ้งหยาบอกว่าจะไปให้ถึงสวรรค์ เขาเองก็พร้อมจะถมดินแล้วพานางเดินขึ้นไป
“เฮ้อ เอาเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ต่อจากนี้ไปเจ้าถือเป็นลูกชายสกุลหลิน ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นคนดีและไม่ทำให้สกุลหลินต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”
มือหนาตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่ม สายตาอ่อนโยนของผู้อาวุโสทำให้สติของหลินจงอวี้เลื่อนลอย