ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 359 สุนัขเฝ้าบ้าน
ในสมัยโบราณการกลับบ้านฝั่งมารดาของหญิงที่แต่งงานแล้วหาใช่เรื่องง่าย
อันดับแรกจะต้องขออนุญาตจากพ่อแม่สามี หลังจากได้รับอนุญาต สามีจึงจะเป็นผู้ไปส่ง
หากสามีมิได้ไปส่ง คนจะมองว่าผู้หญิงคนนั้นถูกเนรเทศเพราะกระทำความผิดมา
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าพลางครุ่นคิด นางรู้สึกว่าฐานะของผู้หญิงในสมัยโบราณช่างแตกต่างจากผู้หญิงในยุคปัจจุบันราวฟ้ากับเหว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี การกลับบ้านมารดาล้วนเป็นที่สนใจของทุกคน
โชคดีที่นางคนก่อนไม่จำเป็นต้องกังวลถึงปัญหาเหล่านี้
ทว่าตอนนี้นางกลายเป็นหญิงออกเรือนแล้วในยุคโบราณ เหตุเพราะนางมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ดังนั้นไม่ว่าจะขยับไปทางใดก็ล้วนเป็นที่ติฉินนินทา
เหตุเพราะได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ฉะนั้นพ่อบ้านเติ้งจึงมิอาจเพิกเฉย
แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่มีเวลาพาพระชายาไปส่งที่บ้านด้วยตนเอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็เคยพบสองแม่ลูกสกุลหลินบ้างแล้ว
เพราะเหตุนี้ท่านอ๋องจึงมีท่าทางไม่สบายใจ ทว่าพระชายาเองก็หาใช่คนที่จะปล่อยให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ บางทีคนที่ต้องเดือดร้อนอาจเป็นสองแม่ลูกคู่นั้นเสียมากกว่า
“ใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงดูนั่นสิเจ้าคะ ต้นหลิวหลังสวนของพวกเรายังตั้งตระหง่านสวยงามนัก”
แม้จะไม่อยากมาที่นี่นัก ทว่าป๋ายจื่อก็ยังส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
ถึงอย่างไรนางก็เติบโตที่นี่ เช่นนั้นจะไม่คิดถึงที่นี่ได้อย่างไร
ไม่นานรถม้าก็แล่นมาถึงหน้าประตูจวนของเจิ้นหนานโหว แต่กลับไม่มีผู้ใดออกมาต้อนรับ
คิ้วของพ่อบ้านเติ้งขมวดเข้าหากัน เมื่อวานจวนอวี้ส่งข่าวมาที่นี่แล้ว แต่เพราะเหตุใดที่นี่จึงไม่มีแม้แต่เงาคนเล่า?
“พระชายาระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านเติ้งและป๋ายจื่อประคองหลินเมิ้งหยาเดินมาถึงหน้าประตูจวน
แค่นหัวเราะเสียงเย็น นับวันซ่างกวนชิงก็ยิ่งเหลวไหล
อย่างน้อยนางก็ควรเห็นแก่หน้าหลงเทียนอวี้และออกมาต้อนรับจึงจะถูก
ทว่าเพียงรู้ว่าหลงเทียนอวี้มิได้ตามมา นางจึงขี้เกียจกระทั่งแสดงละคร
ประตูใหญ่ปิดสนิท นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลิน หากมีคนปล่อยข่าวว่าครอบครัวมิเปิดประตูต้อนรับ เช่นนั้นก็คงมิใช่เรื่องดี
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่โกรธ แต่นางสั่งให้พ่อบ้านเติ้งไปเคาะประตู
“มาแล้ว มาแล้ว ใครน่ะ?”
ประตูแง้มออก ก่อนใบหน้าที่ไม่รู้จักจะโผล่ออกมาให้เห็น
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง คนที่อยู่ตรงหน้าคือเสี่ยวซีปากเล็กเหมือนลิงคนหนึ่ง
แต่ก่อนคนเฝ้าประตูคือทหารเก่าของท่านพ่อ แม้ศีรษะจะขาวโพลน แต่กลับน่าเชื่อถือ
ฉะนั้นประตูจวนสกุลหลินจึงมิเคยเกิดเหตุการณ์ดูถูกคนต่ำต้อยมาก่อน
ทว่าตอนนี้คนเฝ้าประตูเปลี่ยนไปแล้ว แม้เขาจะไม่รู้จักนาง แต่อย่างน้อยเมื่อเห็นรถม้าของจวนอวี้ก็ควรจะรู้ว่าต้องทำเช่นไรมิใช่หรือ?
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเพียงปรายหางตามองพวกนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างหมดความอดทน
“พวกเจ้าเป็นใคร? ที่นี่คือจวนของเจิ้นหนานโหว คิดจะโหวกเหวกโวยวายอันใดกัน?”
เพียงได้ยินเสียงดูถูกเหยียดหยาม คิ้วของหลินเมิ้งหยาพลันขมวดเข้าหากันแน่น
ท่านพ่อเคยบอกเสมอว่าผู้ดีมีชาติตระกูล ไม่ว่าคนเฝ้าประตูหรือข้าทาสก็มิควรกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงท่านพ่อจากบ้านไปไม่นาน ที่บ้านจะถูกเปลี่ยนคนเฝ้าประตู
หรือนี่จะเป็นหมาเฝ้าประตูกันนะ?
แน่นอนว่าพ่อบ้านเติ้งไม่มีวันยินยอมให้เด็กคนนี้ทำตัวไร้มารยาทใส่อย่างแน่นอน สีหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม
“น้องชาย ฮูหยินของพวกข้าคือคุณหนูใหญ่ของจวนหลิน ได้โปรดอำนวยความสะดวกด้วย”
พ่อบ้านเติ้งแสดงออกถึงความมีมารยาท แม้เขาจะสามารถคว่ำชายตรงหน้าได้ด้วยมือข้างเดียวก็ตาม
อีกฝ่ายก้มๆ เงยๆ สำรวจพ่อบ้านเติ้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่งสายตาดูแคลนกลับมา
“จวนของข้ามีคุณหนูหลินเมิ้งหวู่เป็นบุตรสาวคนโตเพียงคนเดียว หาได้มีคุณหนูคนอื่นไม่ เจ้าเป็นบ่าวรับใช้จากสกุลใดกันแน่? ข้าว่าเจ้ามาผิดบ้านแล้ว!”
เพียงได้ยินประโยคนี้ หลินเมิ้งหยาก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
เพียงท่านพ่อจากไปคนเฝ้าประตูก็ถูกสับเปลี่ยน บางทีเขาอาจจะเพิ่งมารับหน้าที่เมื่อวาน
เพื่อจะลดทอนอำนาจของคุณหนูใหญ่เช่นนางกระนั้นหรือ?
หากนางทำอะไรลงไป เสี่ยวซีคนนี้อาจจะอ้างว่าเขาเพิ่งมาทำหน้าที่ ฉะนั้นสองแม่ลูกคู่นั้นคงมิถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
สุดท้ายผู้คนจะพากันโจษจั่นว่านางลงโทษผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเพื่อระบายโทสะ
แต่น่าเสียดาย วันนี้หลินเมิ้งหยาหาได้มีความอดทนมากพอที่จะมีเรื่องกับเสี่ยวซีหน้าประตู
“ไสหัวไป”
เสียงตะคอกเย็นเฉียบถูกส่งออกมา เสี่ยวซีชะงัก สายตาจ้องมองหญิงสาวในชุดชาววังตรงหน้า
คุณหนูรองหลินเมิ้งหวู่มีหน้าตาน่ารักงดงาม เพียงพวกเขาได้เห็นก็รู้สึกว่านางเป็นคนชนชั้นสูงที่ยากจะเอื้อมถึง
ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับงดงามมีสง่าราศี ใบหน้านวลอมชมพูทำให้เขารู้สึกตกตะลึง
ดวงตาของเสี่ยวซีมิอาจละออกจากใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ได้ ทว่าอยู่ๆ ความเจ็บปวดพลันแล่นพล่านที่ดวงตา
“โอ๊ย…”
เสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ก่อนร่างของเสี่ยวซีจะเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ไม่ว่าหลินเมิ้งหยา ป๋ายจื่อหรือกระทั่งพ่อบ้านเติ้งก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“ไปเถิด พวกเราเข้าไปกัน”
หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะหันไปมองเขา นางเดินอ้อมตัวเสี่ยวซีที่กำลังส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเข้าไป
ในเมื่อกล้าขวางทางนาง เช่นนั้นก็ควรถูกลงโทษ
พ่อบ้านเติ้งเพียงใช้หินก้อนเล็กๆ สั่งสอนเขาเท่านั้น รักษาไม่กี่วันก็คงหายดี หากท่านพ่ออยู่ที่นี่ เกรงว่าโทษทัณฑ์จะหนักกว่านี้มาก
เดินผ่านประตูเข้ามา เหล่าคนรับใช้ในส่วนหน้าล้วนมองหลินเมิ้งหยาด้วยสายตายำเกรง
ทว่าคนรับใช้เก่าแก่บางคนรีบเข้ามาถวายคำนับ
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด นี่คือรางวัลประจำปีที่คุณหนูใหญ่นำมามอบให้พวกเจ้า เหตุเพราะคุณหนูใหญ่ออกเรือนแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าที่คอยรับใช้นายท่านและคุณชายใหญ่ล้วนลำบากกันมาก”
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาสงบนิ่ง นางไม่สบตากับผู้ใด
ท่าทางน่าเกรงขามทำให้ร่างของทุกคนสั่นเทิ้ม
ตอนนี้อย่าคิดว่าจวนหลินมีเพียงฮูหยินหลินและคุณหนูรองแต่เพียงเท่านั้น เหตุเพราะทุกครั้งที่นายท่านและนายน้อยกลับมา พวกเขามักพูดเสมอว่าคุณหนูใหญ่คือคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลินเสมอ
คนเหล่านี้ล้วนเคยทำให้หลินเมิ้งหยาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
หยาดเหงื่อรินไหลลงพื้น หลิวเอ้อที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าเป็นพวกจิตวิปริต
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดฮูหยินหลินจึงจ้างชายผู้นั้นมา แต่พอเขาขวางทางคุณหนูใหญ่ เขาก็ได้รับการสั่งสอนอย่างน่าเวทนา
ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกเคารพเลื่อมใสหลินเมิ้งหยามาก
หวังว่าคุณหนูใหญ่จะใจกว้างและไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้โชคร้ายคนต่อไป
“ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่”
ป๋ายจื่อยืนแจกอั่งเปาให้แก่พวกคนรับใช้ด้วยท่าทางใจกว้าง
ภายในมีเงินจำนวนเล็กน้อยที่หากเทียบกันแล้วยังไม่พอสำหรับค่าขนมของนางในแต่ละวันเลยด้วยซ้ำ
พวกคนที่นางเคยอิจฉาล้วนมีท่าทางดีอกดีใจอย่างล้นเหลือเพียงเพราะเศษเงินเล็กน้อย สุดท้ายพวกเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูใหญ่เป็นเจ้านายที่ดีที่สุด!
“ฮูหยินกับคุณหนูรองเล่า?”
คนที่อยู่ส่วนหน้าเป็นเพียงคนรับใช้เท่านั้น หลินเมิ้งหยายังไม่เห็นแม้แต่เงาของสองแม่ลูก
แปลกเหลือเกิน หากเป็นแต่ก่อน พวกนางควรจะยืนอยู่ที่นี่และส่งยิ้มแข็งทื่อจึงจะถูก
“ตอบคุณหนูใหญ่ ฮูหยินอยู่ในห้องของคุณหนูรองเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าอยู่ๆ วันนี้คุณหนูรองก็ป่วยกะทันหัน”
ผอจื่อที่มีไหวพริบคนหนึ่งรีบหยักยิ้มขณะตอบคำถามของหลินเมิ้งหยา
ป่วย? บังเอิญเหลือเกิน
หลินเมิ้งหยาสงสัยเล็กน้อย ร่างกายของหลินเมิ้งหวู่แข็งแรงกว่าตนเองมาก เหตุใดอยู่ๆ ก็ป่วยได้เล่า?
“พาข้าไปดูหน่อย”
นางหาได้เป็นห่วงหลินเมิ้งหวู่ไม่ แต่ทำไปเพราะความสงสัยเท่านั้น
ผอจื่อรีบเดินนำทางผ่านส่วนหน้าเข้าไปจนกระทั่งมาถึงเรือนทิงหลานของหลินเมิ้งหวู่
เมื่อเทียบกันระหว่างเรือนทิงหลานและเรือนเล็กของหลินเมิ้งหยาแล้ว แม้ที่นี่จะไม่มีลักษณะภายนอกโดดเด่น ทว่า ภายในกลับหรูหราและเต็มไปด้วยของล้ำค่า
แต่ถ้าหากลองเทียบวาสนากันจริงๆ แล้ว ของเหล่านี้เทียบไม่ได้กับของที่มีอยู่ในตำหนักหลิวซินของนางเลยแม้แต่น้อย
แต่เพียงเท่านี้ก็พอจะมองออกว่าชีวิตของหลินเมิ้งหวู่ดีกว่าหลินเมิ้งหยาคนก่อนมาก
หลินเมิ้งหยาเดินผ่านสวนเข้ามา แต่สาวใช้ประจำตัวของหลินเมิ้งหวู่กลับมาขวางทางเอาไว้
แต่หลังจากได้รู้ว่าเป็นหลินเมิ้งหยา นางจึงรีบร้องเสียงดังพร้อมทั้งถวายคำนับ
“ถวายพระพรคุณหนูใหญ่ ไม่สิ พระชายา”
หลินเมิ้งหยามองหวนเอ๋อร์ นางมีอายรุ่นราวคราวเดียวกับป๋ายจื่อ แต่กลับมีความเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก
ตอนนั้นนางมักจะรังแกตนเองและป๋ายจื่อเป็นประจำ
มองดูท่าทางกระวนกระวายของสาวใช้ตรงหน้า นางทำราวกับว่าจงใจจะเข้ามาขวางทางตนเองอย่างไรอย่างนั้น
“ลุกขึ้นเถิด ข้าได้ยินว่าน้องสาวป่วย ท่านแม่เองก็อยู่ที่นี่ ฉะนั้นข้าจึงอยากไปพบพวกนาง”
หลินเมิ้งหยาแสร้งทำท่าทางเหมือนจะเดินเข้าไปต่อ แต่หวนเอ๋อร์กลับรีบขวางทางนางเอาไว้ ดวงตากลมโตสีดำกลิ้งกลอกไปมาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“คุณ…คุณหนูใหญ่อย่าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูรองป่วยจริงๆ ฮูหยินสั่งเอาไว้ว่าหากคุณหนูใหญ่มาให้รอที่ด้านนอกเพื่อป้องกันมิให้คุณหนูใหญ่ติดโรคไปด้วยเจ้าค่ะ”
เหตุใดอยู่ๆ ก็ป่วยเช่นนี้นะ?
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าอาการป่วยของหลินเมิ้งหวู่จะมิใช่อาการป่วยธรรมดา
ขยับเท้าไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ย
“ท่านแม่ น้องสาว ข้าขอกลับไปยังเรือนเล็กก่อน น้องสาวต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี อย่าทำให้ตัวเองต้องเหนื่อย หากท่านแม่สะดวก เช่นนั้นหาเวลามาคุยกับข้าสักหน่อยเถิด”
เมื่อได้ยินหลินเมิ้งหยาเอ่ยเช่นนี้ หวนเอ๋อร์จึงถอนหายใจยาว
หยักยิ้ม ก่อนจะมองส่งหลินเมิ้งหยาที่กำลังเดินออกจากเรือนทิงหลาน
“นายหญิง เหตุใดท่านจึงต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนี้เล่า? พวกเราบุกเข้าไปเลยก็ได้นี่เจ้าคะ ข้าว่าฮูหยินกับคุณหนูรองแค่หาข้ออ้างเพื่อจะสร้างความลำบากให้ท่านแต่เพียงเท่านั้น!”
ป๋ายจื่อเอ่ยอย่างหงุดหงิด ทว่านางกลับได้เห็นริมฝีปากบางของหลินเมิ้งหยากำลังเหยียดยิ้ม