ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 164 กลัวคุณจะขอร้องผม
สำหรับเย่เทียนแล้ว จี้เยียนหรันนั้นไม่ได้น่ารังเกียจเลย และถึงขั้นน่าสนใจมากด้วย
เพียงแต่ สุดท้ายแล้วเธอนั้นเป็นผู้หญิงจริงๆ ใช่มั้ย?
ในตอนที่ทั้งคู่ยังไม่ได้เปิดไพ่จนหมดหน้าตักนั้น การที่เธอจะผลักเขาออกตามสัญชาตญาณมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แน่นอนว่านี่เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าตอนนี้เธอยังไม่หายจากพิษ ไม่อย่างนั้นคงจะจับเขาเหวี่ยงลงพื้นก่อนค่อยว่ากันแล้ว
แกร็ก!
ขณะที่บรรยากาศในห้องกำลังอึดอัดอยู่นั้น ประตูของห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกจากทางด้านนอก โจ๋หย่วนหันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่หดหู่
ในมือของเขา ยังหิ้วกล่องข้าวมาด้วยสองกล่อง เห็นได้ชัดว่าที่ออกไปก็เพื่อไปหาอะไรให้จี้เยียนหรันกินนั่นเอง
“คุณชายเย่ คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
พอเข้าใจสถานการณ์ภายในห้องแล้ว โจ๋หย่วนหันก็ตั้งสติได้ แล้วยิ้มออกมาอย่างเกร็งๆ
เย่เทียนแอบรู้สึกดีใจ ไม่นึกเลยว่าโจ๋หย่วนหันจะโผล่มาอย่างกะทันหันแบบนี้ รีบเก็บสีหน้า แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
“ผู้บัญชาโจ๋ การที่คุณทำหน้าหดหู่แบบนี้ แสดงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วใช่มั้ยครับ?”
โจ๋หย่วนหันวางกล่องข้าวลง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเจ็บปวด “เมื่อกี้ตอนที่ผมกลับมา บังเอิญไปได้ยินคุณหมอสองคนคุยกันเข้า พวกเขาบอกว่าอาการของหัวหน้ากงไม่ดีเลย!”
“อาการของหัวหน้ากงไม่สู้ดีอย่างนั้นเหรอครับ?”
เย่เทียนเบิกตากว้างในทันที เขาได้ตรวจดูอาการตั้งแต่ตอนที่อยู่ในถ้ำแล้ว กงหย่วนแค่หมดสติไปเหมือนกับจี้เยียนหรันเท่านั้น และไม่มีอะไรร้ายแรงเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้กงหย่วนจะติดพิษจริง แต่ก็ได้กินยาถอนพิษที่เขาสกัดออกมาด้วยมือของตัวเองแล้ว จึงไม่ควรมีอาการที่แย่ลงสิ!
“หา? ผู้บัญชาโจ๋ คุณฟังผิดไปรึเปล่าคะ? ฉันยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย แล้วหัวหน้ากงจะเป็นอะไรได้ยังไง?”
จี้เยียนหรันร้อนใจขึ้นมาทันที ยังไงกงหย่วนก็เป็นอาจารย์ที่พาเธอเข้ามาอยู่ในวงการตำรวจ เธอก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว
“ตอนนี้หมอหลายคนกำลังวินิจฉัยอาการของหัวหน้ากงอยู่ที่นั่น”
โจ๋หย่วนหันเหลือบมองเธอทีหนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างขมขื่น “รายละเอียดจริงมันเป็นยังไงผมเองก็ไม่รู้”
“เดี๋ยวผมลองเข้าไปดู”
เย่เทียนขมวดคิ้วเป็นปมทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งแล้วเดินดุ่มๆ ออกไป
“เยียนหรัน คุณพักผ่อนอยู่ในห้องไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปกับคุณชายเย่นะ”
โจ๋หย่วนหันที่เห็นอย่างนั้น สีหน้าก็ดูดีใจขึ้นมานิดหน่อย
เขารู้ดีว่าเย่เทียนนั้นมีความสามารถแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเย่เทียนจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับทักษะทางการแพทย์ แต่พอได้เห็นท่าทางแบบนั้นของเย่เทียน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความหวังขึ้นมา
ไม่นาน ในห้องผู้ป่วยก็เหลือจี้เยียนหรันเพียงคนเดียวอีกครั้ง สิ่งเดียวที่ต่างไปก็คือ ได้มีข้าวกล่องเพิ่มขึ้นมาตั้งหลายกล่อง
……
ภายในห้องผู้ป่วยเดี่ยวห้องหนึ่งของโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยแพทย์
ชายชราผมหงอกที่สวมชุดกาวน์สีขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง คิ้วขมวดกันอย่างหนักจนมันเกิดเป็นปม
ซึ่งชายชราคนนี้ก็คืออาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิของโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยแพทย์ และเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ว่านชิงเฟิงนั่นเอง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนที่มีชื่อระดับประเทศ
รอบตัวของเขา ก็ยังมีหมอชายหญิงหลายคนที่ใส่ชุดกาวย์ อายุอานามไม่เท่ากันยืนอยู่ ต่างก็พากันจ้องมองไปที่ชายชราอย่างใจจดใจจ่อ
อีกด้านหนึ่งของห้อง นอกจากชายวัยกลางคนหลายคนที่สวมใส่เครื่องแบบแล้ว ยังมีหญิงวัยกลางคนกับเด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสองอีกหนึ่งคน
และพวกเขาก็คือผู้บังคับบัญชากับภรรยาและลูกสาวของกงหย่วนนั่นเอง
“ซิ่วเชีย คุณไม่ต้องเป็นห่วง อะหย่วนนั้นดวงแข็ง เขาต้องไม่เป็นไรแน่นอน”
ชายวัยกลางคนที่สวมเครื่องแบบกับสัญญาลักษณ์ประจำชาติครึ่งวงกลมอันหนึ่งที่อยู่ตรงบ่าได้ยืนให้กำลังใจหญิงวัยกลางคนจากทางด้านด้านหลัง
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้ มีผู้อำนวยการว่านที่เป็นหมอผู้เชี่ยวชาญระดับชาติอยู่ด้วยทั้งคน มันต้องมีทางแน่นอนครับ”
“อะหย่วนเป็นคนดีที่สวรรค์คุ้มครอง เขาต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
จากการนำทีมของชายวัยกลางคน ทำให้คนสวมเครื่องแบบคนอื่นต่างพากันให้กำลังใจอย่างเงียบๆ
แต่ซิ่วเชียภรรยาของกงหย่วนทำเหมือนไม่ได้ยินเลย กอดลูกสาวไว้แน่นแล้วจ้องมองไปยังคนสองคนที่ถูกรายล้อมเอาไว้
นานๆ จะเห็นว่านชิงเฟิงดึงมือกลับ เธอจึงรีบถามไปว่า “ผู้อำนวยการว่านอะหย่วนเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ต้องโทษที่ผมมันไร้ความสามารถ อาการของหัวหน้ากงในตอนนี้ เกรงว่าผมจะไม่มีปัญญารักษาแล้ว”
คำพูดที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงนี้ ทำให้หัวใจของจวนซิ่วเชียที่ค้างอยู่ตรงลำคอตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอตอนนี้ได้ซีดเหมือนกระดาษไปแล้ว
ถ้าแม้แต่ว่านชิงเฟิงหมอผู้เชี่ยวชาญระดับชาติที่มีชื่อเสียงในวงการแพทย์ยังหมดหนทาง งั้นกงหย่วนก็มีแต่ต้องนอนรอความตายแล้วไม่ใช่เหรอ?
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ น้ำตาที่สั่งสมอยู่ตรงดวงตาก็อดกลั้นไม่ได้อีกต่อไป จนไหลทะลักออกมาอย่างรุนแรง
“แม่คะ แม่จะร้องไห้ทำไมคะ? ทำไมพ่อถึงนอนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมตื่นละคะ?”
เด็กสาวที่ไร้เดียงสานั้นไม่รู้เลยว่าว่านชิงเฟิงต้องการจะสื่อถึงอะไร พอเห็นจวนซิ่วเชียร้องไห้ เธอจึงได้ถามออกมา
“ฮือฮือ……”
แต่ทว่า การที่เธอถามไปแบบนั้นไม่เพียงไม่ทำให้จวนซิ่วเชียหยุดร้อง แต่มันกลับเป็นการกระตุ้นเธออย่างหนัก จนกอดลูกเอาไวแน่น แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
เด็กสาวถูกการกระทำของผู้เป็นแม่ทำให้ตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย และได้ร้องไห้ออกมาเหมือนกัน
ทันใดนั้น แม่ลูกสองคนก็กอดกันร้องไห้ ส่งเสียงร้องอยู่ในห้องผู้ป่วยอย่างไม่รู้สึกอับอาย
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตคนเรา ไม่มีอะไรที่เกินไปกว่าการที่คนแม่พ่อเป็นแม่ต้องเผาศพให้ลูกแล้วแต่ในความเป็นจริงนั้น การได้เห็นอีกครึ่งของชีวิตจากไปแบบนี้ จะไม่ให้โศกเศร้ากับความเจ็บปวดแบบนี้ได้ยังไง?
พอเห็นแม่ลูกที่กำลังจะกลายเป็นแม่หม้ายกับเด็กกำพร้าแล้ว สีหน้าของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ดูแย่ขึ้นมาทันที นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าแม้แต่ว่านชิงเฟิงยังหมดหนทาง!ว่านชิงเฟิงที่เห็นแบบนั้น ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเท่านั้น เขาศึกษาวิชาทางการแพทย์มานานหลายปี แต่อาการของกงหย่วนนั้น เขาเองก็เพิ่งเคยเจอครั้งแรกนี่แหละ
ทั้งๆ ที่ระบบการทำงานทุกอย่างของร่างกายก็ปกติดี แต่กลับหมดสติไม่ยอมฟื้นสักที
“ผมขอดูหน่อยครับ!”
ในตอนที่ทุกคนกำลังสิ้นหวังและหมดสิ้นหนทางอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงที่ไม่คาดคิดดังมาจากทางประตู
ทุกคนต่างหันไปมองอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงชายหนุ่มที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตู เห็นได้ชัดว่าคำพูดที่ดังขึ้นเมื่อกี้มันมาจากเขา
และคนๆนี้ นอกจากเย่เทียนแล้วยังจะเป็นใครอื่นได้อีก?
“ออกไปออกไป เป็นขอทานจากไหน อยู่ๆ จะมาวุ่นวายอะไร!”
หมอหนุ่มคนหนึ่งที่ใกล้ประตูที่สุดเหลือบมองไปทีหนึ่ง เอามือบีบจมูกแล้วอยากเดินเข้าไปไล่เย่เทียน
นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในถ้ำเย่เทียนดันฉีกเสื้อมาห่อหินทิพย์กันล่ะ?
คิ้วของเย่เทียนกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจหมอหนุ่มคนนั้น เขาแค่มองไปยังเหล่าคนใหญ่คนโตที่อยู่ในห้อง แล้วพูดอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “ผมเป็นหมอเทพ!ผมมีวิธีที่จะรักษาหัวหน้ากงให้หายได้!”
หมอเทพอย่างนั้นเหรอ?
พอคำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พากันทำหน้าเคร่งขรึม นี่มันจะไม่หน้าด้านไปหน่อยเหรอ ยังกล้าแทนตัวเองว่าหมอเทพอีก?
ว่านชิงเฟิงขมวดคิ้ว คิดว่าสมอของเย่เทียนต้องมีปัญหาแน่ๆ
ต่อให้เป็นเขาที่อยู่ในวงการแพทย์มานานหลายปี ไม่ต้องพูดถึงเมืองเอก ต่อให้เป็นทั้งเจียงหวย หรือทั้งประเทศ เขาก็ยังถือว่าเป็นที่ยอมรับ แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นหมอเทพเลย!
“ชิ่วๆ ออกไป คนบ้ามาจากไหน ไม่รู้ใช่มั้ยว่าคนในห้องนี้เป็นใครกันบ้าง? รีบออกไปซะ!”
หมอหนุ่มคนนั้นเริ่มขึ้นเสียง พับแขนเสื้อขึ้นแล้วทำท่าจะใช้กำลัง
หลังถูกดูถูกอย่างต่อเนื่อง เย่เทียนก็เริ่มไม่ค่อยพอใจแล้ว ยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจแล้วยืนพิงอยู่ที่ประตู
“คุณแน่ใจเหรอว่าจะให้ผมไป? ผมกลัวเดี๋ยวคุณจะร้องไห้หาพ่อหาแม่อ้อนวอนให้ผมอยู่ต่อนะสิ!”