ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 151 อย่าให้ฉันต้องไปตามคุณนะ
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนั้น ทำให้ความคิดหนักแน่นของเหลียงเยว่หรูหายไปในทันที เธอได้แต่ผลักเย่เทียนออกไปเบาๆ
“คุณ คุณรับสายเถอะ!”
ดวงตาของเย่เทียนกระตุกอย่างรุนแรง เขาด่าในใจว่า ใครกันแน่ที่ดันโทรมาในเวลาสำคัญแบบนี้ ที่มันตั้งใจอยู่ใช่ไหม?
แต่เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้ว เย่เทียนก็ต้องยอมแพ้และพูดเบาๆ ว่า “ว่าไง?”
“เย่เทียน! คุณหนีไปไหนแล้ว!”
เสียงเย็นชาของเฉินหวั่นชิงดังขึ้นจากปลายสาย “คุณดูเวลาไหม ตอนนี้กี่โมงแล้ว? คุณรับปากจะไปหาลูกค้ากับฉันไม่ใช่เหรอ?!”
“อะแฮ่ม ผมอยู่ข้างนอก มีธุระหน่อย”
เย่เทียนก็ตอบตรงๆ โดยที่ไม่ได้สร้างความขัดแย้งกัน
“ไม่สนหรอก คุณต้องรีบกลับมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
เฉินหวั่นชิงไม่ได้ให้โอกาสเย่เทียนในการอธิบาย เธอทิ้งประโยคสุดท้ายที่เย็นชาแล้วตัดสายทิ้งทันที
เย่เทียนได้แต่วางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าขมขื่น และพึมพำกับตัวเองว่า ‘ใจร้อนอะไรขนาดนี้ ประจำเดือนมาไม่ปรกติหรือไง?’ ในวินาทีต่อมา เย่เทียนก็ปฏิเสธความคิดนี้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่อยู่อาศัยกับเฉินหวั่นชิง อยู่ด้วยกันกับเธอแทบจะตลอดเวลา จึงรู้ว่าเวลาประจำเดือนของเธอจะมาเมื่อไหร่ แต่นี่มันคงไม่มาก่อนเวลาสองอาทิตย์หรอกนะ?
เหลียงเยว่หรูที่ได้ยินเสียงผู้หญิงจากปลายสายก็ถามอย่างสงสัยว่า “แฟนเหรอ?”
“ภรรยาผม”
เย่เทียนผงะไปสักพัก จากนั้นลูบปลายจมูกแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประเภทที่จดทะเบียนอย่างทางการไปแล้ว”
“หา?!”
เหลียงเยว่หรูตกตะลึงทันที จากนั้นเหยียดนิ้วชี้ไปที่เย่เทียนอย่างเหลือเชื่อ “คุณ คุณหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ควรเป็นอย่างนั้นแหละ”
เย่เทียนส่ายหัวเบาๆ แล้วแสร้งพูดด้วยความเศร้าว่า “ผมกับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันหรอกนะ แต่มันเป็นการแต่งงานเพื่อคนแก่น่ะ”
“ถ้าพวกเราหย่ากัน คนแก่อาจจะเครียดจนถึงขั้นขาดใจตายก็ได้ เราก็เลยต้องแต่งงานปลอม รอให้คนแก่จากไปก่อนเราค่อยว่ากัน”
“แต่งงานปลอม?!”
ดวงตาที่สดใสของเหลียงเยว่หรูเบิกกว้างราวกับดวงตาของนกฮูก เป็นการยากที่จะจินตนาการได้ว่ายังมีเรื่องแบบนี้ในสังคมปัจจุบันอยู่หรือ?
“อื้ม”
เย่เทียนพยักหน้ารัวๆ แล้วพูดอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง “ปกติเราต่างคนต่างใช้ชีวิต แต่วันนี้เรานัดกันไปพบท่านปู่ เธอก็เลยติดต่อผม”
สีหน้าของเหลียงเยว่หรูยังคงดูแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าเธอยังยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้
“ถ้าคุณยุ่งอยู่ คุณก็รีบไปสิ ฉันกลับบ้านคนเดียวได้”
หลังจากพูดจบ โดยที่ไม่รอคำตอบจากเย่เทียน เธอก็เปิดประตูรถแล้วลงจากรถไป
เย่เทียนที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับได้แต่รู้สึกจนใจและไม่คิดจะไล่ตามเธอไป
เรื่องแบบนี้ ต่อให้เขาจะอธิบายอย่างไรก็เท่านั้น สุดท้ายก็ต้องให้เหลียงเยว่หรูเข้าใจด้วยตัวเธอเอง
เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปสามนาที เย่เทียนกำจัดความอัดอั้นตันใจ จากนั้นเตะคันเร่งและรถก็พุ่งออกไปอีกครั้ง
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อรับปากกงหย่วนแล้วว่าจะไปที่เมืองเอก ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวัน แล้วจะไม่ลากับเฉินหวั่นชิงได้อย่างไร?
ในระหว่างทาง เย่เทียนเหยียบคันเร่งจนสุด เขาไม่สนใจสัญญาณไฟจราจรใดๆ และแซงรถทุกคันที่ขวางหน้า
เพราะถึงอย่างไรแล้ว รถคันนี้เป็นของกงหย่วน ใบสั่งน่ะหรือ? เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายหรอก แล้วจะกลัวอะไรล่ะ?!
……
ณ เวลาสองทุ่ม เมื่อเย่เทียนกลับมาถึงวิลล่า สิ่งแรกที่เขาทำคือกลับไปจัดกระเป๋าในห้อง ซึ่งเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองดวงตาอันขุ่นเคืองเฉินหวั่นชิงเลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่เพราะเขาออกจากบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงบ่าย แต่เป็นเพราะหลังจากที่เขาไปรับเฉินหวั่นชิงแล้ว รถที่เขาขับดันมาเสียกลางทาง
แต่นี่เป็นสถานการณ์ปกติ เพราะรถของกงหย่วนแต่เดิมก็เป็นรถส่วนตัวธรรมดาๆ อยู่แล้ว แต่เย่เทียนกลับซิ่งไปที่โกดังร้างในเขตชานเมืองด้านตะวันตกก่อนเพื่อช่วยเหลียงเยว่หรู จากนั้นก็ซิ่งกลับมาที่บริษัทแซ่เฉิน
ในระยะทางไปกลับนี้ เย่เทียนขับรถบ้านธรรมดาคันนี้ให้เหมือนกับรถซูเปอร์สปอร์ตไปเลย มันไม่เสียระหว่างทางก็ดีแค่ไหนแล้ว
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขากลับมาได้อย่างรวดเร็ว
เดิมทีลูกค้าที่ไปพบในวันนี้ก็ไม่ใช่ลูกค้าสำคัญอะไรอยู่แล้ว เฉินหวั่นชิงจึงหงุดหงิดจนลงจากรถแล้วขึ้นรถแท็กซี่กลับมาที่บ้าน
สรุปแล้วว่า เฉินหวั่นชิงก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปพบลูกค้าอยู่แล้ว เธอเพียงแต่จะลองใจเย่เทียนเท่านั้น
แต่สำหรับเรื่องนี้ เย่เทียนทำได้แค่เก็บไว้ในใจ
อยากอธิบายแต่ไม่รู้จะพูดยังไง จะให้บอกกับเฉินหวั่นชิงว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ เขาแสดงบทอัศวินขี่ม้าขาวเพื่อไปช่วยเจ้าหญิงมางั้นหรือ?
เฉินหวั่นชิงไม่ได้มองเขาในแง่ดีอยู่แล้ว พูดตามตรง ถ้าจะทำให้เธอเชื่ออะไรคงยาก
แต่ถ้าไม่มีการอธิบาย แค่มองจากแววตาอันเลือนรางของเธอ เย่เทียนก็รู้ว่าเธอจะไม่ยอมอย่างแน่นอน
ในขณะที่ลังเลอยู่นั้น เย่เทียนคิดว่าควรเก็บสัมภาระให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไปคิดว่าจะทำอย่างไรให้เฉินหวั่นชิงยอมใจเขา
ซึ่งสัมภาระของเขานั้นเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนซักสองชุด และกระเป๋าเป้ธรรมดาใบหนึ่ง
ถึงแม้ระยะทางจากเจียงหนันไปเมืองเอกนั้นไม่ไกลมาก แต่เย่เทียนคาดการณ์ว่าการเดินทางครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน
เพราะถึงอย่างไร เขาต้องใช้เวลาในการตามหาคุณยายกระดาษไหว้เจ้าไม่ใช่หรือ?
แต่อันที่จริงแล้ว นอกจาก กกน. ของเขา เสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ เฉินหวั่นชิงก็เป็นคนซื้อให้เขาทั้งนั้น
เพราะสำหรับเฉินหวั่นชิง เขาก็คือสามีของเธออยู่ดี ต่อให้เป็นสามีในนิรนามก็ตาม หรือแม้จะไม่ได้ประกาศให้โลกภายนอกรู้ แต่ทุกอย่างก็มาจากท่านปู่เฉินไม่ใช่หรือ?
เมื่อพูดถึงเสื้อผ้า เย่เทียนมีสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือต้องใส่ได้พอดี อย่างที่สองคือต้องใส่สบาย และเขาจะไม่สนว่ามันเป็นเสื้อผ้าจากตลาดนัดหรือไม่
แต่สำหรับเฉินหวั่นชิงนั้นมันต่างกัน เธอให้ความสำคัญต่อรูปลักษณ์และรูปร่างของเย่เทียนมาก อีกอย่างเธอยังให้ความสำคัญกับราคาด้วย เธอจะไม่ให้เย่เทียนใส่ชุดที่ดูโทรมเกินไป เพราะมันจะทำให้ท่านปู่ตำหนิได้
ต้องบอกว่าเฉินหวั่นชิงนั้นสมกับเป็นลูกคุณหนูจากครอบครัวนักธุรกิจจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกอย่างเธอละเอียดอ่อนมาก
ใช้เวลาประมาณห้านาที เมื่อเย่เทียนเก็บสัมภาระจนเสร็จ เขาก็เดินออกจากห้องนอน
“คุณจะไปไหน?”
ก่อนที่เย่เทียนจะพูด เฉินหวั่นชิงที่นั่งอยู่บนโซฟานุ่มก็พูดขึ้นก่อน
ความเฉยเมยบนใบหน้าอันบอบบางของเธอหายไปในทันที แต่มันกลับแทนที่ด้วยความสงสัย
เย่เทียนพยักหน้าเบาๆ และลูบจมูกแล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “ผมมีธุระต้องไปเมืองเอก”
“แล้วคุณจะกลับมาเมื่อไหร่?” เฉินหวั่นชิงขมวดคิ้วขึ้น
เธอยังกังวลว่าเย่เทียนจะไปแล้วไม่กลับ เพราะถึงเวลาแล้วเธอจะอธิบายกับปู่อย่างไร?
“เร็วสุดหนึ่งวัน ช้าสุดก็น่าจะสามวันนะ”
เย่เทียนวางกระเป๋าเป้แล้วนั่งลงบนโซฟาอีกตัว “เรื่องเวลาผมยังไม่แน่นอน ยังไงเสร็จธุระผมก็กลับมาทันที”
เฉินหวั่นชิงที่ได้ยินเช่นนี้ หินก้อนใหญ่ที่ติดอยู่ในลำคอของเธอก็ค่อยๆ กลืนลงไป และเธอถามต่ออย่างสงสัยว่า “สรุปแล้วคุณไปทำอะไร?”
“เรื่องนี้คุณอย่ารู้เลยดีกว่า”
เย่เทียนส่ายหัวอย่างขมขื่น และเขายังไม่กล้าที่จะบอกความจริงเฉินหวั่นชิง
จะให้เขาพูดยังไง? ไปช่วยเพื่อนจับฆาตกรที่เมืองเอกงั้นหรือ? เฉินหวั่นชิงเชื่อก็บ้าแล้ว?
แต่เฉินหวั่นชิงก็มองไปที่เย่เทียนอย่างเห็นใจ และในที่สุดก็พยักหน้าเบาๆ “อย่าลืมที่คุณพูดนะ ช้าสุดสามวัน แล้วอย่าให้ฉันต้องไปตามตัวคุณที่เมืองเอกล่ะ!”
เมื่อพูดเสร็จ เฉินหวั่นชิงก็เดินเข้าไปในห้องนอนโดยที่ไม่รอให้เย่เทียนตอบ……