ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 145 เร่งถึงโกดังแล้ว
ณ โกดังร้างในเขตชานเมืองด้านตะวันตกของเมืองเจียงหนัน
เมื่อมองดูผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า หวางซานก็วางตัวให้อ่อนน้อมที่สุดแล้วโค้งคำนับและพูดอย่างขมขื่นว่า “ผู้อาวุโสทั้งสามครับ เย่เทียนมันแข็งแกร่งมากนะครับ ศัตรูตัวร้ายของศิษย์พี่หวางลี่ก็ขึ้นอยู่กับผู้อาวุโสทั้งสามแล้วนะครับ”
หลังจากรู้ข่าวว่าหวางลี่ถูกฆ่าด้วยสามหมัดของเย่เทียนแล้ว หวางซานก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กอีก เขาจึงรีบส่งข่าวนี้กลับไปที่สำนักหวู่หัน
สำนักหวู่หันซึ่งไม่ใช่สำนักใหญ่อยู่แล้ว และการเสียหายของหวางลี่ก็ทำให้สำนักหวู่หันโกรธมาก!
เพราะถึงอย่างไรหวางลี่ก็เป็นยอดฝีมือในระดับดำอยู่แล้ว ในอดีตเขายังเป็นยอดฝีมือของสำนักหวู่หันแห่งนี้อีกด้วย แล้วพวกเขาจะไม่ล้างแค้นได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากเพิกเฉยและปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปได้ มันไม่เพียงแต่จะทำให้เหล่าสาวกคนอื่นๆ รู้สึกเสียขวัญ และยังต้องถูกสำนักอื่นๆ เยาะเย้ยอีกด้วย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ถ้าหากลูกศิษย์ในสำนักถูกฆ่า แต่สำนักกลับทำอะไรไม่ได้ แล้วใครจะกล้าเข้าสำนักนี้อีก?
ที่น่าเสียดายคือประตูของหัวหน้าสำนักปิดไปแล้ว และเรื่องทั้งหมดในสำนักจึงเป็นที่รับผิดชอบของผู้อาวุโสทั้งสาม
โชคดีที่หลังจากผู้อาวุโสทั้งสามประชุมกันแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจออกเดินทางในคืนนั้นทันที
แต่ที่น่าเสียดายคือผู้อาวุโสทั้งสามไปไม่ทันเวลา หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปถึงเจียงหนัน ตระกูลหลิวก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว และหลิวเหวินซวุ่ก็ถูกยิงเสียชีวิตไปแล้วด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะหวางซานปลอมตัวอยู่แถวบ้านตระกูลหลิว เกรงว่าผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้รู้ข่าวนี้ด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้คนที่ชื่อเย่เทียนไอ้หมอนั่นจะเก่งแค่ไหน แล้วมันจะเอาชนะพวกเราทั้งสามได้ยังไง?”
ชายชราผมหงอกใบหน้าแดงก่ำที่อยู่ตรงกลางก็ลูบเคราสีขาวของเขาและพูดอย่างเย้ยหยัน “ในเมื่อไอ้หมอนั่นกล้าฆ่าศิษย์ในสำนักเรา มันก็ถูกลิขิตให้ชดใช้ด้วยชีวิต!”
“ติดหนี้เงินทองก็ชดใช้ด้วยเงินทอง ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ที่คือกฎที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ”
“ผู้อาวุโสรองครับ ท่านอย่าดูถูกเย่เทียนเชียวนะครับ”
หวางซานเตือนเขาด้วยความหวังดี “ศิษย์พี่หวางลี่ถูกเขาจัดการแค่สามหมัดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าฝีมือของเขานั้นไม่ธรรมดา ผมว่าฝีมือของเขาต้องอยู่ในระดับดำอย่างแน่นอนครับ”
“หวางซาน เอ็งอยู่ในโลกภายนอกนานเกินไปใช่ไหม ความกล้าของเอ็งถึงได้หายไปขนาดนี้?”
ก่อนที่ผู้อาวุโสรองจะพูด ชายชราที่อยู่ทางซ้ายของเขาก็ยืนขึ้นและพูดอย่างเย้ยหยัน “ฝีมือของนักบู๊นั้น แตกต่างกันแค่ระดับเดียวก็เหมือนแตกต่างกันเป็นพันเท่า!”
“แม้แต่จะอยู่ในระดับเดียว มือใหม่กับคนที่มีประสบการณ์เป็นสิบปี ฝีมือมันก็จะคนละเรื่อง!”
“แม้ว่าหวางลี่จะเข้าสู่ระดับดำแล้ว แต่เขาก็เป็นมือใหม่ ประสบการณ์ยังน้อย ฝีมือที่แสดงออกมาก็เหนือกว่าระดับเหลืองชั้นสูงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ต่อให้ไอ้หนุ่มที่ชื่อเย่เทียนคนนั้นสามารถฆ่าหวางลี่ได้ แต่ข้าเดาว่าฝีมือของมันก็อยู่ในระดับดำตอนต้นเท่านั้น หรือมากสุดก็แค่ระดับดำตอนกลาง!”
“ครั้งนี้พวกข้าทั้งสามออกมาพร้อมกัน ฝีมือของพวกข้าก็อยู่ในระดับดำตอนกลางและมีประสบการณ์มากกว่าสิบปีแล้ว ถ้าไอ้หมอนั่นมันกล้ามา มันจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้อย่างแน่นอน!”
ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ทางด้านขวาของผู้อาวุโสรองก็พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าสามพูดถูก ก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขัดรองเท้าให้เราด้วยซ้ำ!”
ผู้อาวุโสของสำนักหวู่หันทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์ ซึ่งพวกเขาได้อยู่ด้วยกันและคุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว และประสบการณ์ในการต่อสู้ก็ล้นหลามอีกด้วย!
อย่าว่าแต่ฝีมือในระดับเดียวกันเลย ต่อให้ต้องเจอกับคนที่มีฝีมือเหนือกว่า ถ้าพวกเขาไม่เลือกที่จะสู้ การที่จะหลบหนีไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากสำหรับพวกเขา
แต่แน่นอน พวกเขาเป็นถึงตัวแทนของยอดฝีมือสำนักหวู่หัน แล้วเรื่องการหลบหนีจะเกิดกับพวกเขาได้อย่างไร?
เมื่อพวกเขาเลือกที่จะต่อสู้ แสดงว่าผลลัพธ์มันต้องตายไปข้างเดียวเท่านั้น!
ไม่อย่างนั้น คนที่จะขายหน้าไม่ใช่พวกเขาเท่านั้น แต่เป็นสำนักหวู่หันทั้งสำนัก!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวางซานก็รู้สึกมั่นใจมาก
ในฐานะศิษย์ของสำนักหวู่หัน เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสทั้งสามคนนี้เป็นอย่างดี
ถ้าไม่นับรวมผู้อาวุโสสามที่ติดอยู่ในระดับดำตอนกลางมาเป็นเวลามากกว่าสิบปี ฝีมือของผู้อาวุโสรองกับผู้อาวุโสใหญ่ก็อยู่ในระดับดำตอนปลายแล้ว
“ทั้งหมดนี้ต้องฝากให้กับผู้อาวุโสทั้งสามแล้วนะครับ!”
หวางซานพูดอย่างขมขื่น “ต้องโทษผมคนเดียว ถ้าผมไม่ขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่หวางลี่ตั้งแต่แรก ศิษย์พี่หวางลี่ก็ไม่จำเป็นต้องจากไปเร็วขนาดนี้……”
หวางซานยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ถ้าไม่ใช่เพราะเย่เทียน หลิวจื่อหยังก็ไม่จำเป็นต้องเจอกับเรื่องนี้ หลิวเหวินซวุ่ก็จะไม่ถูกยิงตาย และเขาก็ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน!
“ก็เพราะผู้หญิงเลวๆ อย่างคุณไง ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงเลวอย่างคุณ ผมก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพทุกวันนี้หรอก!”
หวางซานจ้องเขม็งไปที่เหลียงเยว่หรูที่ถูกมัดด้วยเชือก
“ทำ ทำไมพวกคุณต้องฆ่าเย่เทียนด้วย?”
เธอได้ยินทุกคำพูดของทั้งสี่คนนี้แล้ว และสมองที่มีไหวพริบดีของเธอก็รู้ว่าเธอเป็นแค่เหยื่อล่อ ส่วนคนที่พวกเขาตั้งใจจะเล่นงานก็คือเย่เทียน!
แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักกลุ่มของหวางซานทั้งสี่คนนี้ แต่เหลียงเยว่หรูก็กลัวกลับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมาก และอีกใจก็เป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเย่เทียน
ใจหนึ่งเธอหวังว่าเย่เทียนจะปรากฏตัวเหมือนอัศวินขี่ม้าขาว
แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เย่เทียนมาเพราะกลัวว่าเขาจะสู้สี่คนนี้ไม่ได้
ในเวลานี้ เธอรู้สึกสับสนไปหมดแล้ว
“ก็เพราะว่ามันสมควรตายไง!”
สีหน้าของหวางซานดูหม่นหมองอย่างยิ่ง เขากัดฟันพูดต่อว่า “ถ้ามันไม่กล้ามาก็แล้วไป แต่ถ้ามันมาล่ะก็ วันพรุ่งนี้ต้องเป็นวันครบรอบการตายหนึ่งวันของมันอย่างแน่นอน!”
“แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ พวกเราไม่ฆ่าคุณหรอก แต่คุณต้อง……”
ในขณะนี้ เสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารดังมาจากด้านนอกโกดัง มันดังจนทำให้กระจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นแตกกระจายอย่างกะทันหัน ซึ่งเห็นได้เลยว่าเสียงนี้โกรธมากแค่ไหน!
“ผมจะให้เวลาพวกคุณหนึ่งนาทีในการส่งคนออกมา! ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใครหน้าไหน ไม่ว่าพวกคุณจะหนีไปขอบฟ้า ผมก็จะตามไปฆ่าพวกคุณให้ตายอย่างทรมาน!”
คนที่จะมาตะโกนพูดในเวลานี้ และยังพูดด้วยความโกรธ นอกจากเย่เทียนแล้วจะมีใครอีก?!
“เขา เขามาแล้ว!”
หวางซานกลืนคำพูดที่เหลือเข้าไปในท้อง เมื่อมองดูเศษกระจอกบนพื้น สีหน้าของเขาก็กลายเป็นความกลัวทันที
แม้เขาจะรู้ดีว่าต้องมีฉากนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรฝีมือของเขาก็อยู่แค่ระดับเหลืองเท่านั้น การที่เย่เทียนอัดหวางลี่ที่อยู่ในระดับดำจนไม่เป็นท่าด้วยสามหมัด ในใจของหวางซานก็ต้องเต็มไปด้วยความกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เหอะ!”
เมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดของหวางซาน ร่องรอยดูถูกเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของผู้อาวุโสสาม “พี่ใหญ่ พี่รอง เราออกไปพร้อมกัน ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าใครหน้าไหน ถึงกล้าสังหารคนของสำนักเรา!”
“มาได้เวลาจริงๆ ไอ้สารเลวที่กล้าท้าทายสำนักเราคนนี้ ฆ่าทิ้งเสียดีกว่า!” ผู้อาวุโสรองก็พูดอย่างเลือดร้อนและก้าวออกไปโดยไม่ลังเล
“หวางซาน เอ็งพาผู้หญิงออกไปพร้อมกัน”
สำหรับการแสดงออกของหวางลี่นั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่พอใจเช่นกัน เขาจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเอ็งกลัวมันขนาดนี้ ข้าจะให้เอ็งเห็นว่ามันต้องตายด้วยท่าไหน!”
หลังจากนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็เดินนำและก้าวออกไปจากโกดัง
หวางลี่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้อาวุโสทั้งสามไม่พอใจในตัวเขา เขาได้แต่กัดฟันแล้วกระทืบเท้าและลากเหลียงเยว่หรูเดินตามหลังไป