ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] - บทที่ 619 ตาเฒ่ามาถึง
บทที่ 619 ตาเฒ่ามาถึง
บทที่ 619 ตาเฒ่ามาถึง
ไม่กี่วันต่อมา ไป๋ซวี่เซียงก็เรียกไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่เข้าพบที่ห้องพักอาจารย์ใหญ่ประจำสำนัก
“โม่เสวี่ย”
ไป๋ซวี่เซียงนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งราวกับผู้บัญชาการ
“มีทั้งข่าวดีและร้าย เจ้าต้องการฟังข่าวไหนก่อน?”
“ข่าวร้าย”
ไป๋โม่เสวี่ยตอบโดยไม่คิด
“ข่าวร้าย…”
ไป๋ซวี่เซียงถอนหายใจยาว
“ท่านแม่ของเจ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหลังจากที่เจ้าออกจากบ้าน ดังนั้นนางจึงขอให้ท่านพ่อพานางมาที่โลกวัตถุใบนี้ ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางออกจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แทนที่พวกเขาจะใช้เรือเหาะเดินทาง แต่กลับใช้กระบี่บินของท่านพ่อ ด้วยความเร็วของเขา ข้าเกรงว่าภายในสองถึงสามวันเขาจะมาถึงโลกวัตถุใบนี้!!”
ไป๋โม่เสวี่ยไม่ได้กล่าวอะไร แต่หลี่ลี่สังเกตเห็นว่าแผ่นหลังของเขาสั่นสะท้านตลอดเวลา
“แล้วเราควรจะทำอย่างไร? หากท่านพ่อเห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของเจ้า ข้าเกรงว่าบั้นท้ายของเราทั้งสองคนจะถูกตีจนสูญสลาย”
ดวงตาของไป๋ซวี่เซียงถูกผมหน้าม้าปิดเอาไว้ และภายใต้เส้นผมเหล่านั้น หลี่ลี่สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหลั่งเหงื่อเย็น
“ตาเฒ่าผู้นี้ เหตุใดเขาจึงไม่เล่นไพ่นกกระจอกต่อไปเล่า?!”
“แม่นางซวี่เซียง ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หลี่ลี่ก็รู้สึกไม่เข้าใจ
“อย่างไรก็ตาม ท่านเป็นสตรีและโตมากแล้ว ไม่ว่าท่านพ่อของท่านจะโกรธเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถทุบตีท่านได้ อีกทั้งโม่เสวี่ยก็เช่นกัน พ่อแม่ทั่วไปแล้วไม่อาจทุบตีบุตรที่โตแล้วได้หรอก”
“สาวน้อย เจ้าไม่รู้ว่าบิดาของข้าคือใคร!”
ไป๋ซวี่เซียงตบโต๊ะพร้อมลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อเป็นคนบ้า! เถรตรง แข็งแกร่ง และมีชื่อเสียงเลื่องลือในแดนเซียนมานับพันปี และเขาเชื่อในความเท่าเทียมของชายหญิง ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับท่านแม่ของข้า พวกเขาทุบตีกันอยู่เสมอ!”
หลี่ลี่คิดสักครู่ก่อนจะกล่าวแผ่วเบา
“แล้วมันรุนแรงเพียงใดเล่า?”
“เจ้าเคยเห็นคนที่ร่วมรักตลอดทั้งคืนจนเดินไม่ได้หรือไม่?”
ไป๋ซวี่เซียงหัวเราะ
หลี่ลี่ปิดปากอย่างรวดเร็ว แม้นางจะได้ยินบทสทนามากมายเกี่ยวกับครอบครัวของไป๋โม่เสวี่ยและไป๋ซวี่เซียง แต่นางก็ยังนึกไม่ออกว่าพ่อแม่ของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด
“ดูเหมือนว่าจะมีเพียงให้ข้าละทิ้งภารกิจเท่านั้น”
หลังจากคิดอยู่นาน ไป๋โม่เสวี่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พี่สาว ข้าต้องขอโทษแล้ว อย่ากล่าวโทษว่าน้องชายผู้นี้ใจร้ายเลย! สุดท้ายแล้วนี่คือหนทางที่ดีที่สุดของท่านและข้า!”
“ไม่…”
ไป๋ซวี่เซียงกรีดร้อง
“โม่เสวี่ย เจ้าจะยอมแพ้ต่อรายได้ของพี่สาวเจ้างั้นหรือ?”
“โม่เสวี่ย…”
หลี่ลี่ก็ยังมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนเช่นกัน
“พี่สาวหลี่ลี่ อย่ามองข้าเช่นนั้น”
เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาเปล่งประกายของทั้งคู่ ไป๋โม่เสวี่ยก็ถึงกับต้องหันศีรษะออกไป
“หากข้าไม่ถอดกระโปรงนี้ออก ไม่ต้องมัวคิดถึงเงิน เราสองคนจะมีชีวิตรอดถึงวันนั้นหรือไม่!”
“มันต้องมีวิธีอื่น!”
ไป๋ซวี่เซียงปีนขึ้นไปบนโต๊ะพร้อมกับจับจ้องน้องชายของตนอย่างใกล้ชิด
“เราต้องทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เซียงเสวี่ยพึงพอใจ! เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ทุบตีพวกเรา!”
“แล้ววิธีไหนเล่า?”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวอย่างสงสัย
“ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียสิ!”
ไป๋ซวี่เซียงชี้นิ้วมาที่เขา
…
บนท้องฟ้าสีคราม จู่ ๆ มีก็หลุมดำหนึ่งถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ราวกับมีคนเอามีดกรีดท้องฟ้าจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
ชายหนุ่มผมสีขาวผู้สง่างามยืนอยู่บนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และทะยานออกจากรอยแยกนั้นพร้อมกับความงดงามอันน่าประทับใจในชุดสีขาวข้างกาย
ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนก้อนเมฆ มองลงมายังโลกวัตถุด้านล่าง
“นี่คือโลกวัตถุที่ซวี่เซียงเดินทางมาทำภารกิจงั้นหรือ?”
หลังจากมองลงมาด้านล่าง ไป๋ชิวหรานจึงกล่าวถาม
“ไม่รู้ว่าไอ้ตัวน้อยโม่เสวี่ยจะสร้างปัญหาอย่างไรอีก เห็นได้ชัดว่าน้องสาวคนเล็กในครอบครัวกำลังจะเกิด แต่กลับต้องเรียกให้เราสองคนออกมาข้างนอก”
“เจ้าเด็กโม่เสวี่ยนี่ไม่ทราบหรือไรว่าใบหน้าของเขานั้นสร้างอันตรายได้มากแค่ไหน?”
ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจพร้อมกล่าวตอบ
“ข้าทราบดีว่าบุตรชายของเรามีจิตใจเป็นบุรุษ แต่ภารกิจของซวี่เซียงในคราวนี้คือจับกุมอาชญากรร้ายแรงที่แดนเซียนต้องการตัวมานานหลายปี โม่เสวี่ยมาที่นี่เพื่อเป็นเหยื่อล่อหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานเกาใบหน้าเบา ๆ และพยายามครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ข้าคิดว่าเขาอาจจะถูกซวี่เซียงดึงออกมาและบังคับให้ยินยอม”
ในฐานะบิดามารดา ไป๋ซวี่เซียงและซูเซียงเสวี่ยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับบุตรสาวของตนเลย แต่เมื่อบุตรชายของพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับชายโรคจิตที่ฝึกฝนมาอย่างดี ในสถานการณ์เช่นนี้อาจจะมีเฉพาะตระกูลไป๋เท่านั้นที่จะได้พบเจอ
“สรุปก็คือเราควรจะไปดูว่าทั้งโม่เสวี่ยและซวี่เซียงอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรกันอยู่”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าว
“คราวนี้หากโม่เสวี่ยทำผิดพลาดอีก ข้าจะไม่ห้ามหากท่านทุบตีเขา”
“ดีแล้ว!”
จากนั้นไป๋ชิวหรานปลดปล่อยสัมผัสเทวะของตน และสัมผัสเทวะยิ่งใหญ่ของเขาสามารถตรวจสอบโลกวัตถุทั้งใบได้ง่ายดาย ในที่สุดเขาก็พบเจอตำแหน่งของบุตรสาวคนโตและบุตรชายคนที่สองอย่างรวดเร็ว
ไป๋ซวี่เซียง บุตรสาวคนโตกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานเป็นหัวหน้ากลุ่มทำภารกิจลับจากแดนเซียน และเป็นเถ้าแก่เนี้ยเปิดคณะละครแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังยุ่งอยู่กับงาน ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาหันกลับมามองร่างกายของไป๋โม่เสวี่ย
…ร่างกายของเขาพลันแข็งค้างในทันที
เขาเห็นบุตรชายสวมอาภรณ์สตรีและพูดคุยหัวเราะกับกลุ่มนักเรียนที่สวมใส่เครื่องแบบสำนักเดียวกัน ท่าทางของเขาไม่ต่างจากสตรีเพศ และเสียงหัวเราะใส ๆ ของเขาไพเราะยิ่งกว่าเสียงของสตรีเสียอีก
“มีอะไรเกิดขึ้น?”
เมื่อเห็นท่าทีของไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ยจึงรีบกล่าวถามรวดเร็ว
“สบายดี… พวกเราทั้งคู่สบายดี!”
ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมสบฟันแน่น
“ไอ้ตัวเล็กโม่เสวี่ยสวมกระโปรงและอยู่ในสำนักหญิงล้วน”
เวลานี้ใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยแปรเปลี่ยนไป ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับหิมะแล้ว
“โม่… โม่เสวี่ย…”
นางพึมพำก่อนจะกล่าวต่อ
“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คืองานอดิเรกที่เขาชื่นชอบ?”
“เขาอาจจะถูกซวี่เซียงล่อลวงให้กระทำ”
ไป๋ชิวหรานหักนิ้วมือก่อนจะยืดเส้นยืดสาย
“หลังจากนี้ ข้าจะจัดการเด็กน้อยทั้งสอง เจ้าคงไม่คิดขัดขวางใช่หรือไม่?”
ซูเซียงเสวี่ยเงียบไปพร้อมกับพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง
…
“หลี่ลี่ สหายร่วมชั้นโม่เสวี่ย ลาก่อน”
“ลาก่อน”
หลังจากบอกลาเพื่อนร่วมชั้นที่ได้พบเจอกันโดยบังเอิญ ไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่ก็ถือถุงเก็บของพร้อมเดินกลับบ้าน
สายลมกรรโชกแรงพัดพากลิ่นคุ้นเคยลอยมาแตะจมูก ไป๋โม่เสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในขณะที่หลี่ลี่เผยรอยยิ้มกว้าง
“อ่า หอมจัง กลิ่นดอกบ๊วยหรือ? แต่ว่าในฤดูนี้ดอกบ๊วยจะมาจากไหน…”
ฝีเท้าของไป๋โม่เสวี่ยพลันหยุดลง
“อ๊ะ!”
หลี่ลี่ไม่ได้มองโดยรอบให้ดี ร่างของนางจึงชนเข้ากับไป๋โม่เสวี่ย ใบหน้าของนางแดงเรื่อเล็กน้อยก่อนจะรีบกลับมายืนตัวตรงอีกครั้งและมองไป๋โม่เสวี่ยอย่างไม่เข้าใจ
“โม่เสวี่ย เหตุใดจึงไม่เดินต่อหรือ?”
“…”
ไป๋โม่เสวี่ยไม่ตอบกลับ เพียงแต่มองตรงไปด้านหน้าและยังคงเงียบงัน
หลี่ลี่เห็นแววตาแปลกประหลาด นางจึงมองตรงไปด้านหน้าและพบกับบุรุษรูปงามเรือนผมสีขาว ซึ่งหยุดยืนอยู่พร้อมกับสตรีที่งดงามราวกับนางในจินตนาการ
ขณะนั้น บุรุษรูปงามก็พลันกล่าวเย้ยหยันขึ้นมา
“หากเขาเดินอีกก้าว …ขาเขาจะหัก”
หลี่ลี่ตื่นตระหนก
ไป๋โม่เสวี่ยเม้มริมฝีปาก ก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างกระวนกระวาย
“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”
เขาตะโกนออกมา