ขอให้จักรวาลนี้ ยังคงมีแต่ความสงบสุขต่อไปด้วยเถิด - ตอนที่ 8
ณ ทะเลทรายซาฮาร่าอันร้อนระอุ ได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ประกอบด้วยชายชรา ชายวัยกลางคน แล้วเด็กชายตัวน้อย รวมทั้งหมดนับได้ 3 ชีวิต กำลังพยายามเดินทางข้ามทะเลทรายอยู่
“คอแห้งจัง…”
ชายวัยกลางคนที่เห็นว่าเด็กชายตัวน้อยที่เดินมาด้วยกันเริ่มมีท่าทีเหมือนกับว่าพร้อมจะสลบได้ทุกเมื่อ ตัวเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปดูอาการ
“คุณพ่อครับดูเหมือนศิวะจะเสียน้ำในร่างกายมากเกินไปครับ! แถมน้ำที่พวกเราสำรองไว้ก็หมดแล้วเอายังไงดีครับ!?”
ชายวัยกลางคนพูดกับชายชราที่กำลังเดินนำหน้าเขาด้วยท่าทีร้อนรน
ชายชราที่ได้ยินแบบนั้นจึงเดินเข้ามาดูอาการของเด็กตรงหน้าพร้อมกับใช้นิ้วจับไปตามจุดต่างบนร่างของเด็กน้อยเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง
“อืม… แบบนี้ไม่ดีแน่… โอเอซิสที่ใกล้ที่สุดยังต้องเดินเท้าตั้งอีก 12 กิโล…”
ชายชราพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพยายามมองกวาดสายตาไปรอบๆ ผืนทรายแห้งแล้ง
“เจอแล้ว!!”
ชายชราพูดตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนที่จะพุ่งตัวไปที่พื้นทรายบริเวณใกล้กับโขดหินพร้อมใช้แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เสียบลงไปในทรายอย่างรวดเร็ว
ชายชราหมุนข้อมือควานหาอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ผืนทรายบริเวณนั้นสักพัก และภายในเวลาไม่กี่อึดใจชายแก่ก็ชักมือขึ้นมาจากผืนทรายพร้อมกับงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่ติดมือมาด้วย
“อืมตัวประมาณนี้น่าจะพอไหว…”
ชายชราใช้นิ้วมือของเขาออกแรงกดไปบริเวณใต้ลำตัวของงูตัวนั้นอย่างรุนแรงจนเริ่มมีเลือดไหลออกมาพร้อมกับเจ้างูที่แน่นิ่งไปแล้ว
ชายชราที่เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบกระบอกน้ำที่อยู่ข้างเอวมากรอกเลือดงูจนเต็มกระบอก พร้อมกับยื่นกระบอกน้ำอันนั้นให้กับชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว
“รีบเอาให้หลานข้าดื่มเร็วเข้า”
“เข้าใจแล้วครับคุณพ่อ!! เอานี่ศิวะอ้าปากนะลูก… อ้าม~”
***
“มะ… ไม่เอานะเตี่ย… ไม่เอาเลือดงู… เอ๊ะ!?”
เมื่อชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นเขาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนหนุนตักของอิโซลาร์อยู่
“โอ๊ะ! รู้สึกตัวแล้วเหรอศิวะ!! โล่งอกไปที… สภาพร่างกายเป็นยังไงบ้าง? ลุกไหวไหม?”
เด็กผู้สาวที่เห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าฟื้นแล้วก็พูดถามเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างมากจนมันแสดงผ่านใบหน้าออกมาอย่างชัดเจน
“อ่า… อืม… แค่รู้สึกหิวกับเวียนหัวนิดหน่อยนะ… แล้วที่นี่มัน… แค่กๆ”
เมื่อชายหนุ่มมองดูไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณโดยรอบที่เขานอนอยู่ยังคงเป็นสนามซ้อมก่อนหน้านี้เพียงแต่สภาพของมันในตอนนี้เรียกว่าเละเทะไปหมดแถมรอบๆ ยังเต็มไปด้วยฝุ่นควันจนเข้าเริ่มไอออกมาเล็กน้อย
“อุตส่าห์ให้นอนหนุนตักทั้งที อย่างน้อยๆ ช่วยเลือกสถานที่ให้มันดีกว่านี้หน่อยเถอะแม่คุณ… แค่กๆ ช่างเถอะ… ว่าแต่เธอพอจะมีอะไรให้ฉันกินบ้างไหมอิโซลาร์?”
“คือ… ขอโทษนะ… ตอนนี้ในยานไม่มีของที่พอกินได้เหลือเลยละ ตะ…แต่ว่า ถ้าเป็นน้ำดื่มละก็ยังพอมีเหลืออยู่บ้างนะ… เอานี่!”
เด็กสาวพูดออกมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดก่อนที่จะรีบยื่นกระติกสีขาวมาให้เขาที่นอนหนุนตักเธออยู่ ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงรับมาโดยง่าย ก่อนที่จะจ้องมองไปที่กระติกสีขาวใบนั้นอยู่สักพักพร้อมกับคิดถึงเรื่องบางอย่าง
“ไม่ใช่เลือดงูแน่นะ?”
“เลือดงู?”
“เฮ้อ… ช่างเถอะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาพร้อมกับรีบดื่มน้ำที่อยู่ในกระติกอย่างรวดเร็วในสภาพที่ตัวเองยังคงนอนหนุนตักพร้อมกับโดยอิโซลาร์ลูบหัวไปพลางๆ
“เฮ้อ… ค่อยยังชั่ว~ ทีนี้ก็เหลือแค่หาอะไรกินสินะ…”
“ถ้าเรื่องนั้นละก็ข้ากำลังให้ แอสทรัล หาดวงที่พอจะมีของจำพวกนั้นให้อยู่นะ อีกไม่นานก็คงได้เรื่องแล้วละ!”
“ฮ่าๆ หวังว่าจะไม่ใช่แบบที่ต้องเดินทางเป็น100ปีนะ…”
เขาพูดเหน็บแนมออกมาพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ในจักรวาลแห่งนี่นะมีดวงดาวอยู่หายแสนหลายล้านดวง ยังไงในจำนวนเหล่านั้นมันก็ต้องมีดาวสักดวงที่พอจะมีของกินอยู่แล้วละ…”
ในขณะที่อิโซลาร์กำลังสาธยายอยู่ จู่ๆ ก็มีหน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเธอพร้อมกับเสียงแจ้งเตือน
“โอ๊ะ! พูดปับก็เจอเลยแฮะ… ไหนดูสิ… หืม? นั้นดาวแน่เหรอนั้น…”
“นั้นไงว่าแล้วเชียว… ยังไม่ทันไรก็เริ่มส่องแววแล้ว จะไหวไหมเนี่ย?”
“เจ้าลองดูรูปทรงของมันสิ”
เมื่อพูดจบอิโซลาร์ที่ลากหน้าจอโฮโลแกรมมาให้เขาดูในทันที
“ข้านะเคยเห็นดาวมานับไม่ทวน แต่ไม่เคยเห็นดาวดวงไหนที่มีรูปทรงแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย”
ตัวเขาที่นอนหนุนตักอยู่เมื่อเห็นภาพของดาวที่อิโซลาร์เอามาให้ดูก็รู้สึกแปลกๆ กับรู้ทรงของมันเหมือนกัน ก็นะแทนที่จะให้เรียกว่าดาวควรเรียกมันว่าเบย์เOลดขนาดเท่าดาวเคราะห์น่าจะถูกกว่า
“ไม่สิ… ดูยังไงไอ้นี่มันก็โคโลนี่ที่เคยเห็นตามหนังชัดๆ เลยนี่หว่า!”
“โคโลนี่? เจ้ารู้จักชื่อของดาวประหลาดดวงนี้ด้วยเหรอศิวะ”
“ไม่ใช่ๆ โคโลนี่นะเป็นชื่อที่ใช้เรียกอาณานิคมอวกาศน่ะ เดี๋ยวนะ… นี่เธอไม่รู้จักโคโลนี่ได้ไงเนี่ย?”
“อาณานิคมอวกาศงั้นเหรอ!!?”
อิโซลาร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่จ้องมองภาพของโคโลนี่ด้วยแววตาที่เป็นประกายเหมือนกับเด็กที่เจอของเล่นใหม่
“ว้าว~ ผู้คนในยุคสมัยนี้เนี่ยสุดยอดไปเลยนะ!! ถึงกับสามารถสร้างดาวเคราะห์มาใช้สำหรับอยู่อาศัยกันได้แล้วเหรอเนี่ย”
“เฮ้อ~ ทำพูดเป็นคนแก่ไปได้เนอะยัยนี้ เดี๋ยวนะ… จะว่าไปก็คนแก่นี่หว่า…”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาพร้อมกับนอนมองดูอิโซลาร์ที่ดูจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาพึ่งบอกไป
“โคโลนี่งั้นเหรอ… ปกติจะมีแต่ในหนังไม่ก็การ์ตูนแท้ๆ อวกาศเนี่ยสุดยอดไปเลยนะ~ หืม…เดี๋ยวนะ!”
“อยู่ๆ ก็ทำหน้าเครียดเชียว… มีอะไรเหรอศิวะ?”
“ฉันว่าเราน่าจะมีปัญหาแล้วละอิโซลาร์…”
“ปัญหางั้นเหรอ? หมายถึงเรื่องของโคโลนี่ที่เรากำลังจะเดินทางไปกันหรือเปล่า?”
อิโซลาร์พูดออกมาพร้อมกับเอียงคอด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วละ เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโคโลนี่ที่เรากำลังจะไปเนี่ยมีรูปแบบการปกครองแบบไหน แต่ถ้าลองอ้างอิงจากหนังหรือการ์ตูนหลายๆ ที่ฉันเคยดูมาแล้วละก็ การที่จะเข้าไปในโคโลนี่ได้เนี่ยยังไงพวกเราก็ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองให้ได้ซะก่อนนะสิ”
“ด่านตรวจคนเข้าเมือง? อ่อ! ถ้าเรื่องละก็ไว้ใจข้าได้เลย! เห็นแบบนี้ข้าเองก็ค่อนข้างเก่งเรื่องการเจรจาต่อรองนะ…”
“ไม่หรอก เอาจริงๆ ถึงเราจะโชคดีผ่านด่านตรวจนั้นมาได้ก็ตาม มันก็ยังมีปัญหาใหญ่รอเราอยู่เหมือนกัน”
“หืม? มันยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่าด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกเหรอ?”
“เงินยังไงละ เราจะเอาเงินจากไหนมาซื้อข้าวกินนี่ละปัญหา…”
นั้นตอนเองบรรยากาศโดนรอบความเงียบก็ได้เข้าปกคลุม ทั้งคู่มองหน้ากันไปมาโดยไม่มีใครพูดอะไร ไม่นานหลังจากนั้นพวกเข้าทั้งคู่ก็ค่อยๆ หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงก่อนที่มันจะค่อยๆ เบาลงจนกลายเป็นการหัวเราะแห้งๆ แทน
“ข้าว่าสงสัยรอบนี้เจ้าได้ไปคุ้ยขยะกินซะแล้วละศิวะเอ๋ย…”
“จะไปคุ้ยขยะกินทำมะเขืออะไรฟะ!! หาดาวใหม่มันไม่ง่ายกว่าหรือไง?”
“ไอ้หาน่ะมันก็หาได้อยู่หรอก แต่ว่า…”
“ทำไม? จะบอกว่าใช้เวลาเดินทางเป็น 100 ปีอีกหรือไง?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ประมาณ 3 วันน่ะ… นะ…แน่นอนว่า! ถ้าเจ้าคิดว่าสามารถทนหิวไหวอันนี้ข้าก็แนะนำอยู่นะ…”
เมื่อตัวเขาได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่นิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นและทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมานับไปมา
“อะ… เอาเถอะ… มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าเลือดงูกับใบไม้แล้วละ มั้ง?”
“เป็นอันตกลงสินะ อืม… อีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึงโคโลนี่ที่ว่าแล้ว ถ้างั้นพวกเราก็รีบไปเตรียมตัวที่สะพานเรือกันเลยเถอะศิวะ”
พอพูดจบอิโซลาร์ก็รีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว โดนปล่อยให้ชายหนุ่มยืนหัวโด่อยู่ในห้องที่ฝึกตามลำพัง
“เฮ้อ… ซวยชะมัด…”
***
“ลงทะเบียนนักเดินทางเสร็จเรียบร้อยแล้วค่า~ ยินดีต้อนรับสู่โคโลนี่ลำดับที่ 7 [ไลบรา] ค่ะ!”
ณ บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ หญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนกับว่าเธอจะเป็นเจ้าหน้าที่ได้ทำการยื่นแผ่นการ์ดใสๆ ให้เด็กสาวกับชายหนุ่มที่กำลังยืนเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าเธอ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่สุภาพเรียบร้อย ก่อนที่ในเวลาต่อมาตัวของหญิงสาวคนนั้นจะลงกลับไปนั่งที่โต๊ะหลังเคาน์เตอร์ด้วยใบหน้านิ่งเฉยตามเดิม
เขากับอิโซลาร์มองหน้ากันไปมาเล็กน้อย ก่อนที่ไม่นานพวกเขาทั้งคู่จะค่อยๆ ถอยออกมาจากหน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับเดินไปที่ประตูทางออกด้วยความงุนงง
“สุดยอดเลยแฮะเจ้าหน้าที่คนนั้น ง่ำๆ ทำงานโคตรมืออาชีพเลย ง่ำๆ”
ชายหนุ่มพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกในข้าวกล่องใบใหญ่ที่อยู่ในมือขึ้นมากิน
“นี่เจ้าคิดแบบนั้นจริงเหรอศิวะ!? ไอ้ท่าทีแบบนั้นมันดูเป็นมืออาชีพตรงไหนกัน!!? แล้วที่สำคัญไหนเจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีเงินไม่ใช่เหรอ!! แล้วเจ้าไปเอาข้าวกล่องที่ดูหรูหราแบบนั้นมาจากไหนกัน!!?”
อิโซลาร์พูดตะโกนออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ข้าวกล่องที่อยู่ในมือของชายหนุ่มด้วยความสงสัย
“ก็เพราะท่าทีแบบนั้นนั่นละถึงดูเป็นมืออาชีพ รอยยิ้มที่สดใสระดับนั้นพวกสาวเสิร์ฟที่เป็นพนักงานต้อนรับในร้านสเตร่ายังต้องใช้เวลาฝึกกันเป็นปีๆ เลยนะ กว่าจะมีรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบนั้นได้ ส่วนเรื่องข้าวกล่องก็… อืม… ว่าไงดีละ… ข้าวกล่องของคนโดน NTR มั้ง?”
“ข้าวกล่องของคนโดน NTR เนี่ยนะ… อะไรละนั่น?”
อิโซลาร์ทำสีหน้างุนงงพร้อมกับถามกลับไปอีกครั้งเพื่อขอคำอธิบาย
“ก็ตอนที่พวกเราลงมาจากยานแล้วโดน ตม. แยกห้องไปถามรายคนนั้นไง แล้วก็เป็นเพราะไอ้ข้าวกล่องนี่แหละ ที่ทำให้ฉันออกมาช้ากว่าชาวบ้านน่ะ”
“อ่อ… ตอนนั้นเองเหรอ เอาจริงมันก็แค่ถามเรื่องทั่วไปเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ แถมยังใช้เวลาไม่นานด้วย แล้วมันก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เจ้าเคยพูดไว้เลยสักนิด จะว่าไปเจ้าก็อยู่ในห้องนั้นนานเหมือนกันนะมันเกิดอะไรขึ้นละ?”
“แบบว่าตอนที่โดนเรียกเข้าไปสอบถามข้อมูล ท้องฉันมันก็ร้องเสียงดังมากจนพี่สาวพนักงานเขาเอาข้าวกล่องออกมาให้กินนะ ตอนแรกฉันก็นั่งกินไปด้วยตอบข้อมูลไปด้วยอยู่หรอก แต่ไปๆ มาพี่สาวพนักงานคนนั้นก็เริ่มพูดระบายเรื่องของตัวเองออกมาเฉยเลย”
“อืมๆ แล้วไงต่อ?”
“ก็นะ… เห็นพี่สาวคนนั้นบอกว่าวันนี้แกทำข้าวกล่องมากะว่าจะเซอร์ไพรส์แฟนตัวเอง แต่ว่าพอไปถึงห้องของอีกฝ่ายก็ดันไปเจอว่าหมอนั้นแอบซุกสาวคนอื่นไว้ใต้เตียงน่ะ แถมสาวคนนั้นก็ดันเป็นเพื่อนรักตัวเองด้วย เห็นเจ้าตัวบอกว่าพึ่งบอกเลิกกันไปเมื่อเช้านี้ละทั้งเพื่อนทั้งผัว”
“แล้วเจ้าก็ยังรับข้าวกล่องแห่งความอัปยศนั้นมากินได้หน้าตาเฉยสินะ สมแล้วที่เป็นผู้กล้า”
“แหะๆ ไม่ต้องชมกันขนาดนั้นก็ได้”
“ข้าพูดประชดต่างหาก!! เฮ้อ… เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็หมดปัญหาคาใจสักที เอานี่ศิวะรับนี้ไปสิ”
อิโซลาร์พูดตะโกนออกมาก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยื่นของบางอย่างให้กับชายหนุ่ม
“หืม… อะไรเนี่ย? ลูกแก้วเหรอ?”
ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงลองหยิบมันขึ้นมาส่องดูใกล้พร้อมกับจับมันพลิกไปพลิกมาด้วยความสนใจ
“มันคืออุปกรณ์สื่อสารระยะไกลน่ะ เพราะข้าคิดว่าจะแยกตัวไปสืบหาข้อมูลในหอสมุดของที่นี่สัก 2 – 3 วันน่ะ ส่วนเจ้าก็ไปยังที่แห่งนี้แล้วหางานอะไรทำไปพลางๆ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่แล้วกันนะ”
“โฮ้ยๆ มาถึงก็กะจะทิ้งกันเลยเหรอ!? แล้วไอ้ที่ว่าให้ไปหางานทำที่นี่เนี่ย… คือยังไง?”
“จากข้อมูลที่ข้าสอบถามมาจากพนักงานพวกนั้น ดูเหมือนว่าที่โคโลนี่แห่งนี้จะถูกสร้างโดยองค์ระหว่างอวกาศ เอลิเซียน (Elysian = ดินแดนสวรรค์) เห็นบอกว่าเป็นองค์กรสำหรับจัดหางานที่ไม่ว่าใครก็สามารถไปสมัครเป็นสมาชิกเพื่อทำงานหาเงินได้น่ะ”
“ฟังดูแล้วเหมือนพวกกิลด์นักผจญภัยตามการ์ตูนแนวแฟนตาซีฉิบหาย ให้ตายสิทั้งที่อยู่ในอวกาศแท้ๆ แม่งมีทั้งเอลฟ์เอยมนุษย์สัตว์เอยแถมยังมีพลังแปลกๆ อย่างอาร์คอีก แล้วตอนนี้ยังมีของเหมือนกับกิลด์นักผจญภัยเพิ่มขึ้นมาอีก นี่มันอวกาศนะโว้ย!! ความไซไฟน่ะมันหายไปไหนหมดฟะ!!?”
ชายหนุ่มกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจพร้อมกับพูดตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงในเหล่าผู้คนที่เดินอยู่รอบข้างหันมาจ้องมองพวกเข้าทั้งคู่กันอยู่สักพัก ก่อนที่ทุกคนจะเลิกสนใจและกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อในเวลาไม่นาน
“เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรก็หยิบลูกแก้วนั่นขึ้นมาเรียกชื่อของข้าแล้วติดต่อมาแล้วกัน เพราะยังไงสิ่งนั้นมันเชื่อมต่อกับข้าเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นข้าก็สามารถใช้มันเพื่อมาหาเจ้าได้ในทันทีอยู่แล้ว ถ้างั้นก็แยกกันตรงนี้เลยละกัน อีก 3 วันค่อยเจอกันนะ”
เมื่อพูดจบอิโซลารีบวิ่งออกตัวไปอย่างรวดเร็วจนหายไปจากสายตาของเขาในเวลาไม่นานปล่อยให้เขายืนอยู่คนเดียวอย่างงั้นพร้อมกับความงุนงงที่เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวของเขา
“ให้ตายสิยัยแก่โลลินั้นมาเร็วไปเร็วชะมัด… จะว่าไปตอนที่โดนให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ทำไมฉันถึงอ่าน-เขียนภาษาที่ตัวเองไม่รู้จักได้ฟะ?”
เขาเริ่มมองสังเกตไปพวกแผ่นป้ายต่างๆ ที่เขียนด้วยภาษาที่เขาไม่รู้จักพร้อมกับฟังเสียงพูดคุยของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่สักพัก โดยพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันว่าทำไมเขาจึงสามารถอ่านภาษาพวกนั้นออก แต่หลังจากพยายามคิดหาเหตุต่างดูว่าตัวเขาก็เริ่มรู้สึกว่าช่างแม่งเถอะพร้อมกับค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ~ ช่างมันเถอะ จะหาเหตุผลกับจักรวาลไซไฟเก๋แบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี… ก่อนอื่นลองไปที่เอลิเอลิอะไรนั้นก่อนดีกว่า ขืนไม่รีบหาเงินละก็มีหวังพรุ่งนี้ได้ไปคุ้ยขยะกินจริงๆ แน่ ง่ำๆ”
เขาบ่นพึมพำออกมาและเริ่มลงมือกินข้าวกล่องต่อพร้อมเดินไปตามทางที่อิโซลาร์บอกก่อนหน้านี้ เพื่อตรงไปยังกิลด์นักผจญภัยเพื่อที่จะได้หางานทำในทันที
แต่ในขณะที่เขากำลังเดินไปทานไปอยู่นั้นเองจู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมขาวสองคนบินโฉบมาตัดหน้าเขา จนข้าวกล่องที่เขาถืออยู่โดนกระแทกจนหลุดมือและกำลังจะตกลงพื้น
“โฮ้ย!? ชิ!!”
ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอามือไปรับกล่องข้าวไว้ได้อย่างหวุดหวิด ถึงจะเข้ารับมันไว้ได้ก็จริงแต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่ตกลงพื้นไปแล้ว
“อ้า… น่าเสียดายชะมัด… มะ…ไม่สิ ถ้าเก็บขึ้นมาเช็ดๆ หรือล้างน้ำสักหน่อยก็น่าจะ—”
“โฮ้ย!! มันไปทางนั้นแล้ว รีบไปจับมันเร็วเข้า!! อย่างให้พวกมันทั้งคู่หนีไปได้นะโว้ย!!”
ในจังหวะที่เขากำลังก้มเก็บเศษอาการที่ตกพื้นอยู่นั้นเอง ก็ได้มีกลุ่มมนุษย์ต่างดาววัยฉกรรจ์หลายสิบคนวิ่งมาชนเขาที่กำลังก้มตัวอยู่กับพื้นโดนไม่ทันได้ตั้งตัว จนทำให้ข้าวกล่องที่เขาถืออยู่ตกลงไปคว่ำหน้าอยู่กับพื้น พร้อมกับมีเท้าคนกับหนวด? แล้วก็อะไรสักอย่างที่เหมือนจะเป็นขา วิ่งเหยียบซ้ำไปที่ข้าวกล่องใบนั้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับอาหารข้างในที่โดนเหยียบเละจะไม่ชิ้นดี
ตัวเขาได้จ้องมองไปที่เศษอาหารที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่าพร้อมกับค่อยๆ ยื่นมือหยิบเศษไส้กรอกที่สภาพถูกเท้าเหยียบไปครึ่งชิ้นขึ้นมาและกินมันลงไป
รสชาติของไส้กรอกที่เคยมีความมันๆ เค็มๆ และมีความหวานเล็กน้อยบัดนี้มันกับเต็มไปด้วยรสของดินทรายและรสชาติที่เหมือนกับกลิ่นของน้ำมันเครื่อง ตัวเขาที่พยายามจะกลืนมันลงไป แต่ด้วยรสชาติที่เรียกได้ว่าขยะแบบนั้น มันทำให้เขาต้องคายมันออกในทันทีพร้อมกับเอาน้ำเปล่าในกระติกสีขาวที่อิโซลาร์เคยให้ไว้ขึ้นมาดื่มล้างปากอย่างรวดเร็ว
“อึก อึก อ่า~! เฮ้อ… หึหึหึ ฮ่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะออกมาเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนที่เดินอยู่แถวหน่อยเริ่มหันมามองเขาอีกครั้ง
“เอาสิ… จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม?”
ชายหนุ่มยื่นมือข้างซ้ายออกไปข้างหน้าพร้อมกับมีก้อนอัญมณี 9 เม็ดปรากฏขึ้นบริเวณรอบๆ ข้อมือของเขา
ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างหยิบเพชรเม็ดเดิมที่เคยใช้เมื่อครั้งก่อนมากำไว้แน่นๆ ไม่นานทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ถูกผลึกเพชรขึ้นปกคลุมและเริ่มแตกออก และปรากฏเป็นชายหนุ่มที่เส้นผมและดวงตารวมถึงทั้งข้อมือข้อเท้าทั้งสองข้างกลายเป็นผลึกเพชร พร้อมกับรอยสักผลึกเพชรที่สลักทั่วทั้งร่างกาย แต่ครั้งนี้มันมีความแตกต่างจากรอบที่แล้วเล็กน้อยตรงที่ตอนนี้เขาใส่เสื้อผ้าอยู่ ทำให้รอยสลักนั้นไม่ค่อยเด่นชัดเท่าที่ควร
“ไอ้พวกเวรนั้น… เดี๋ยวมึงโดนกูแน่!!”
เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็รีบออกตัววิ่งตามกลุ่มคนพวกนั้นไปในทันที โดยปล่อยให้ผู้คนที่อยู่บริเวณแถวคนได้แต่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
*****
เด็กปริศนาสองคนที่บินโฉบมาตัดหน้าตัวเอก