ขอสายลมพารักคืนใจเธอ - บทที่ 45 จุดไฟติดแล้ว ต้องดับให้ด้วยนะ
เล่าถึงตรงนี้แล้ว อยู่ ๆ เขาก็หยุดเล่าต่อ ฉันก็อยากฟังต่อว่าเรื่องมันไปยังไง เลยเงยหน้าขึ้นมาถามเขาว่า “หลังจากนั้นอ่ะ” เนื่องจากว่าเมื่อกี้ร้องไห้หนัก ตอนนี้เลยเสียงแหบ ๆ
เห็นฉันถามเขา เขายักมุมปากยิ้มขึ้นมา และก็จูบหน้าผากฉันแบบเบา ๆ
และก็พูดต่อว่า “หลังจากนั้น ฉันก็หนีกลับเข้ามาประเทศเรา เหมือนหนีสงครามมา สภาพเละเทะมาก ระหว่างทางขากลับ เราก็มาเจอพี่น้องสองคน เขาไปทำธุรกิจที่เมืองนอก และตอนนั้น ทรัพย์สินและบัตรประจำตัวของฉันกับอาก๋งก็หายไปหมด ก็เลยต้องยืมเงินจากพี่น้องคู่นี้ ถึงจะกลับมาได้ แต่เราคิดไม่ถึงว่านักเลงพวกนั้นก็ตามเรามาด้วย และก็ทำให้พี่น้องคู่นั้นเดือนร้อนไปด้วย……”
เขาเล่าถึงตรง ฉันก็เดา ๆ ได้คร่าว ๆ แล้วว่าเรื่องมันยังไง
ฉันเลยมองหน้าเขา และบอกว่า “พี่น้องสองคนนั้นคือนัชชากับพี่ขายของเธอใช่ไหมคะ”
เขาพยักหน้า “ตอนนั้น ลู่เย่นได้รับบาดเจ็บที่หัวใจ ฉันเลยพาเขากลับมารักษาที่บ้าน จริง ๆ อาการของเขารักษาได้ แต่พอดีมาเกิดแอคซิเดนนิดหน่อย เขาก็เสียนชีวิตไป แล้วเขาก็ฝากน้องสาวของเขากับฉัน”
“แล้วเขาพี่น้องสองคนช่วยชีวิตอาธิปกับอาก๋งไว้ ทำไมอาก๋งไม่ให้อาธิปแต่งงานกับนัชชาอ่ะคะ” ตามหลัก อาก๋งยินดีให้ฉันแต่งงานกับอธิป เขาก็น่าจะเห็นด้วยกับเรื่องแต่งงานของอาธิปกับนัชชาสิ เธอมาก่อนฉันก็เป็นเรื่องจริง แถมยังได้ช่วยเหลือชีวิตของอาธิปกับอาก๋งไว้ด้วย
เห็นฉันทำตาโต ๆ มองเขา เขาก็หัวเราะขึ้นมา และถามฉันว่า “ไม่เสียใจแล้วอ่อ”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มให้ฉัน สดใสและอ่อนโยน ไม่มีความดุเดือดและเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้มีแต่ความเอ็นดู
ฉันตะลึงใจ และทันใดนั้น รู้สึกว่าทำตัวไม่ถูก ก็เลยดิ้นออกจากวงแขนเขา และถามเขาด้วยว่า “อาธิปยังไม่ได้ตอบฉันเลย”
“มันไม่สำคัญแล้ว ดึกแล้ว เรานอนกันได้แล้วครับ” ระหว่างพูด เขาก็กอดฉันเข้าวงแขนอีกครั้ง และก็ดึงมือฉันไปไว้ที่สะโพกของเขา และพูดด้วยเสียงต่ำและแหบว่า “ดารัณ เธอจุดไฟให้ติดแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบดับให้ด้วยนะ”
ฉันตกใจจนตาโต มองหน้าเขาแบบไม่น่าเชื่อ และหน้าก็แดงไปหมด ไอผู้ชายคนนี้นิ
“ฉันยังไม่หายดีเลยค่ะ” ฉันพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาเหมือนเสียงยุงบิน
เขาเริ่มหายใจหนัก
ฉัน……
คืนนี้ ฉันเรียบร้อย……
เล่นไปมาจนถึงหลังเที่ยงคืน ถึงจะเสร็จธุระกัน เขาก็อุ้มฉันไปล้างตัวแล้วถึงจะกลับมากอดกันนอนหลับไปอย่างสนิท
เช้าตรู่ แสงแดดส่องเข้ามาในห้องตามรอยต่อของกระจก แสงแดดกระจายอยู่บนพื้น ราวกับไฟธูประยิบระยับ
เมื่อคืนนอนดึก อาธิปก็ไปทำงานที่บริษัทแต่เช้า ฉันเหนื่อยไม่ยอมตื่น ลังเลอยู่พักใหญ่ถึงจะลุกขึ้นมาจากเตียง ดูสภาพเละเทะในห้อง ยังรู้สึกถึงบรรยากาศสุดเสียวของเมื่อคืนอยู่เลย
ฉากของเมื่อคืนยังย้อนนึกในหัวอยู่ แอบรู้สึกอายนิด ๆ
ไม่เคยนึกเลยว่า อาธิปยังมีมุมแบบนี้ด้วย
วันนี้ฉันต้องไปทำงาน ก่วาจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เกือบสิบโมงแล้ว ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้า ฉันก็ขับรถไปที่บริษัทเลย
ฉันจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ ตอนขึ้นลิฟท์ บังเอิญมาเจอเฉียวจิ่นเหยน เขากับเลขาของเขาต่างก็ยกเอกสารไว้ในมือเป็นปึกเลย พอเห็นหน้าฉัน เขาก็ทำหน้าเบะปาก
และพูดประชดว่า “คุณดารัณยังไม่ทันได้ขึ้นมาเป็น CEO ก็เริ่มถือตัวเป็นใหญ่แล้วเหรอครับ สงสัยบริษัทเราต้องเปลี่ยนนามสกุลแล้วมั้ง”
กรุ๊ปบริษัทตระกูลฟู่ ตอนแรกทำธรุกิจอสังหาริมทรัพย์ และหลายปีที่ผ่านมานี้ก็เริ่มเข้าไปแบ่งปันสัดส่วนของตลาดอื่น ๆ และก่อนหน้านี้เฉียวจิ่นเหยนก็มีบริษัทของตัวเองอยู่ แต่เนื่องด้วยบริษัทตระกูลฟู่จดเทียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ต้องการเงินทุน บริษัทตระกูลเฉียวและตระกูลฟู่ก็เลยได้เข้าร่วมกัน
เฉียวจิ่นเหยนก็เลยเข้ามาเป็นหุ้นส่วนและก็ร่วมบริหารบริษัทด้วย ถึงแม้ฉันก็เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง แต่ก็ไม่กี่หุ้น และหุ้นที่ฉันมีก็เป็นทรัพย์สินที่อาก๋งโอนมาให้ฉัน ถึงว่าจะอยู่ในนามฉัน แต่สิทธิ์การจัดการหุ้นก็อยู่ที่อาธิป
ฉันก็ไม่ได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งผู้จัดการนี้ตั้งแต่แรกหรอก สองปีนี้ ฉันก้าวขึ้นมาด้วยความพยายามของตัวเอง แต่ในสายตาของคนอื่น คิดกันว่าฉันเป็นภรรยาของอาธิป อยากได้ที่ฉันเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
และในสายตาของเฉียวจิ่นเหยน ฉันได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ก็เพราะฉันอาศัยอิทธิพลของอาธิป เขาก็เลยดูถูกฉันมาก