การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 9 เหล็กและไฟ
เช้าวันรุ่งขึ้น ลีโอและอาร์วินเดินทางกลับมาที่เมืองลูเมนฟอร์ด สถานที่แรกที่พวกเขาเลือกจะตรงไปคือย่านงานช่าง ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ในเวลาสาย ที่นี่เต็มไปด้วยเสียงการทำงาน จากเหล่าช่างฝีมือที่กำลังสร้างสรรค์เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ย่านนี้เป็นจุดสำคัญของเมืองลูเมนฟอร์ด เป็นที่รวมตัวของช่างฝีมือต่างๆ เช่น ช่างตีเหล็ก ช่างไม้ ร้านก่อสร้าง และช่างปั้นหม้อ
ลีโอและอาร์วินมาหยุดอยู่ที่ร้านตีเหล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านที่มีป้ายไม้ ประทับตราเป็นรูปค้อนและทั่งเหล็ก ตีตราด้วยการประทับไฟจนแผนไม้มีรอยไหม้ แขวนอยู่หน้าร้าน พวกเขาไม่รู้จักช่างที่นี่มาก่อน แต่จากที่ถามคนในโรงแรมมา ร้านนี้ดูมีชื่อเสียงพอตัว
‘บาลินน์ โรงเหล็กและไฟ’ ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของย่านงานช่าง ตัวอาคารเป็นหิน ที่มีรอยมืดคล้ำจากควันที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องไฟขนาดใหญ่ของเตาหลอม ภายในร้านมีเสียงโลหะกระทบกันเป็นระยะออกมาถึงถนนด้านนอก ลีโอและอาร์วินเดินเข้ามาในร้าน กลิ่นควันและเหล็กอันคุ้นเคย ของร้านตีเหล็กฟุ้งอยู่รอบตัว
บนผนังร้านเต็มไปด้วยอาวุธต่างๆ ทั้งดาบ ขวาน หอก ค้อนสงคราม เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่เอาไว้ประดับและโชว์ฝีมือที่ไม่ได้ขายได้บ่อยนัก ส่วนของเครื่องมือต่างๆ จะถูกเสียบไว้ในกล่องลังและถังไม้ ของจำพวก ค้อน จอบ คราด เสียม กรรไกร และเคียว เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้คนทั้งในและนอกเมือง รวมทั้งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ผู้คนอาจจะลืม เช่น ตะปู เกือกม้า และ มีด ก็มีเช่นกัน แต่ละอย่างมีที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ บางชิ้นก็เป็นงานชิ้นเอกที่เงาวับ ในขณะที่บางชิ้นก็เป็นของที่ดูเรียบง่าย และน่าจะเอาไว้ใช้งานตามปกติ เห็นได้ชัดว่าร้านนี้รับงานทั้งเล็ก และใหญ่ตามความต้องการของลูกค้า
“ข้าคิดว่าที่นี่คงจะช่วยพวกเราได้” ลีโอพูดขึ้นขณะเดินเข้าไปใกล้เตาหลอม
นายช่าง คนหนึ่งหันมามอง เขาเป็นชายตัวใหญ่ แต่เตี้ยตันเพียงระดับศอกของลีโอ และมีหนวดเครามันมันวาวยาวเฟื้นจนแทบจะเกินจุดที่น่าจะเป็นสะดือของเขา นี่คือลักษณะเด่นที่สุดของเผ่าคนแคระ นายช่างคนแคระผู้นี้ยืนอยู่ใกล้ๆ เตาหลอมใหญ่ เขากำลังง่วนอยู่กับการตีโลหะสีแดงสว่างบนทั่งด้วยค้อนใหญ่ “พวกเจ้ามีธุระอะไร?” นายช่างถามเสียงห้วนๆ ขณะยังคงเคาะทั่งไม่หยุด
“นายช่าง ข้าอยากให้ท่านตรวจสอบอาวุธ พวกนี้ให้พวกเราหน่อย” ลีโอพูดพลางวางอาวุธของก๊อบลินให้เขาบนโต๊ะหินไม้ไกลจากเตาหลอมนัก นายช่างเพียงชายตามามองดาบและขวานเพียงแค่พริบตาเท่านั้น ก่อนจะถ่มน้ำลายลงถังน้ำข้างๆ
“พวกเจ้าช่างกล้า” นายช่างพูดเสียงดังในเชิงตำหนิ โดยไม่เงยหน้ามามองทั้งคู่ด้วยซ้ำ “เอาของห่วยแตกแบบนั้น แบกมาถึงร้านข้าเนี่ยนะ”
ลีโอกับอาร์วินเงียบไปชั่วครู่ พวกเขาพอรู้อยู่ว่าอาวุธพวกนี้ไม่ได้ถูกตีมาอย่างดี แต่ว่าเรื่องของคุณภาพในฐานะศิลปะ ไม่ใช่ประเด็นที่พวกเขามาที่นี่สักหน่อย
“ขอให้ตรวจสอบให้สักหน่อย คงไม่เสียหายหรอกนะท่าน” อาร์วินพยายามเจรจา ก่อนจะชี้มาที่ลีโอ “แน่นอนว่าพ่อหนุ่มคนนี้ จะเป็นคนจ่ายค่าเสียเวลาเอง”
ลีโอเหล่ตามองอาร์วินเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่า เอาของพวกนี้มาตรวจสอบ จะฟรีอยู่แล้ว แต่ถ้าออกปากพูดขนาดนั้น เขาสงสัยว่าทำไม อาร์วินไม่ควักเงินจ่ายเองให้สิ้นเรื่อง ก่อนที่เขาจะนึกได้ ว่าเขาไม่เคยเห็นอาร์วินควักเงินทำอะไรเลยสักครั้ง แม้แต่ค่าโรงแรมลีโอก็เป็นคนจ่าย
นายช่างถอนหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาเดินเข้ามาหยิบอาวุธ ที่ลีโอวางเอาไว้ให้ เขาก็คว้าอาวุธเหล่านั้นโดยไม่ทันสังเกตว่า มันยังคงมีเปลวไฟติดอยู่ มือเปล่าๆ ของเขาคว้ามันเข้าให้เต็มๆ
ลีโอและอาร์วินยกมือขึ้นจะห้าม และบอกให้เขาระวัง แต่เขาก็ดูไม่สะทกสะท้านอะไร ก่อนจะลูบไปตามคมของมัน “ห่วยแตก… งานแบบนี้ วันหลังอย่าเอามาให้ข้า-”
“โอ๊ย! พระแม่ภูผา!” เขาร้องอุทานออกมาก่อนจะสบถ อีกประมาณสามสี่คำในภาษาคนแคระ พร้อมปล่อยขวานในมือลงอย่างรวดเร็ว มันส่งเสียงกระทบกับพื้นดังลั่นร้าน “พวกเอ็งไม่เตือนข้าวะ ว่ามันติดไฟอยู่น่ะ!”
“อ้าว… ข้าก็นึกว่าท่านตีเหล็กจนจับไฟได้ซะอีก” อาร์วินหัวเราะในลำคอ “นึกว่าจะได้เห็นฉากเท่ๆ เสียแล้วนะเนี่ย”
“คนบ้าที่ไหนมันจะจับไฟร้อนๆ ได้กันหา!? ความอดทนมันก็มีขีดจำกัดนะเฮ้ย! ไอ้พวกหูใบมีด” นายช่างเป่ามือตัวเองระหว่างที่ก่นด่าอาร์วินไปด้วย
“ท่านบาลินน์ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เด็กสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากหลังร้าน
“เจ้ามาก็ดีแล้ว อบิเกล ไปเอาผ้าพันแผลมาให้ข้า!” นายช่างคนแคระแผดเสียง เด็กสาวผมแดงผงกศรีษะก่อนจะหายไปหลังร้านอีกครั้ง ก่อนที่นายช่างบาลินน์ จะกระเผลกไปที่ถังน้ำข้างๆ และเอามือจุ่มลงไปจนมันมีเสียง ฉ่า…
อบิเกลส่ายหัวเล็กน้อยระหว่างทำแผลให้บาลินน์ ที่นั่งอยู่บนทั่งตีเหล็ก ที่เขาทำงาน ขณะที่บาลินน์บ่นอุบอิบเป็นภาษาบ้านเกิดที่ลีโอกับอาร์วินไม่เข้าใจ “ข้าควรระวังให้มากกว่านี้ เห็นว่าเป็นอาวุธห่วยๆ แท้ๆ… เฮ้อ”
“ขออภัยด้วยครับ ข้าน่าจะเตือนท่านก่อน” ลีโอโค้งตัวลงขอโทษ “ตอนแรกข้านึกว่ามือของคนแคระทนไฟกว่าพวกเราซะอีก”
“ก็ทนได้นิดหน่อย แต่ให้ถือขนาดนั้นมันก็ไม่มีใครทำได้ทั้งนั้นแหละ” บาลินน์เล่าระหว่างถูกทำแผล “แต่ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก ข้าก็ซุ่มซ่ามเอง”
“ข้าเพิ่งรู้ว่ามีคนแคระปะปนอยู่ในเมืองนี้ด้วย” อาร์วินกล่าวขึ้นมาอย่างสงสัย “ท่านมาทำงานในเมืองมนุษย์ได้นานหรือยัง?”
บาลินน์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบ “ไม่นานหรอก สิบปีเห็นจะได้”
ลีโอตกใจกับคำนิยายของคำว่าไม่นานของเขา แต่สำหรับเผ่าที่มีอายุหลายร้อยปี สิบปีก็อาจจะไม่ได้นานจริงๆ ก็ได้
“ข้าได้ยินมาบ้างว่าในช่วงระหว่างที่มนุษย์ประกาศสงครามกับอาณาจักรมาร เมื่อร้อยกว่าปี่ก่อน เผ่าอื่นๆ ที่ไม่เป็นมิตรกับพวกนั้น ก็ให้ความร่วมมือด้วย” ลีโอเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เคยร่ำเรียนมา “คนแคระก็เป็นหนึ่งในเผ่าเหล่านั้น”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกขุนเขาจะเข้าร่วมด้วย” บาลินน์ตอบตามจริง “โดยพื้นฐานแล้ว พวกเราเผ่าคนแคระก็ไม่ได้ไว้ใจมนุษย์สักเท่าไหร่ ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิเก่าของพวกเจ้า แต่ว่าหลังจากการเริ่มสงครามนั้น พวกมนุษย์และคนแคระ ก็เริ่มมีข้อตกลงทางการค้ามากขึ้น บางขุนเขาแลกเปลี่ยน โลหะที่ดีที่สุดกับพวกมนุษย์ เพื่อแลกกับทรัพยากรที่พวกเราไม่มี”
“ข้าก็เป็นหนึ่งในพวกที่ถูกส่งมาเป็นช่างฝีมือที่นี่ ที่จริงก็เป็นโอกาสที่ดี ให้ข้าได้เรียนรู้วิธีตีเหล็กใหม่ๆ ที่มนุษย์ใช้กัน” นายช่างเล่าถึงประวัติของตนเอง “ข้าก็เลยว่าจะอยู่อีกสักพักน่ะ”
ลีโอพยักหน้ารับฟังอย่างสนใจ “เอาจริงๆ ข้าเองก็ยังไม่เคยเจอ ช่างตีเหล็กคนแคระที่ไหนเลย แค่เคยได้ยินเขาเล่ากันมาเท่านั้น”
“ก็แน่นอน คนแคระไม่ชอบย้ายถิ่นฐาน ที่ทำมาหากินมากนักหรอก” บาลินน์ตอบ “แต่นี่คือเรื่องการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ที่ค่อยๆ พัฒนา พวกเรามีฝีมือในงานช่างอยู่แล้ว มันจึงสมเหตุสมผลมากกว่า ที่บางคนจะเข้ามาทำงานในเมืองมนุษย์”
ในจังหวะนั้นผ้าพันแผลของบาลินน์ก็ถูกขมวดปมจนเสร็จ “ขอบใจมาก อบิเกล เจ้าไปทำงานต่อเถอะ”
เด็กสาวผงกศรีษะตอบรับ แล้วเดินถอยหลังไป ก่อนที่เธอจะกลับไปหลังร้าน เธอก็โค้งหัวให้กับลีโอและอาร์วิน เหมือนจะเป็นการตอบสนองกับลูกค้าสองคน ที่เข้ามาในร้านด้วย
“แต่ว่าลูกมือท่านเป็นมนุษย์?” อาร์วินมองตามเด็กสาวที่หายไปหลังร้าน เขาค่อนข้างสนใจเรื่องนี้พอสมควร ในดินแดนของมาร แม้จะมีการทำงานร่วมกันของหลายเผ่า แต่นั่นเป็นสภาวะจำยอม ใต้การปกครองของเขาในอดีตมากกว่า
“ใช่ นั่นคืออบิเกล พ่อแม่ของเธอฝากฉันเอาไว้ให้สั่งสอนวิชาให้หน่อย” บาลินน์พูดพลางยิ้มเล็กน้อย “เธอเป็นเด็กฝึกงานของข้า”
อันที่จริงวัฒนธรรมการฝึกฝนงานเช่นนี้มีมานานแล้ว ในสังคมทั้งมนุษย์และคนแคระ มันเป็นวิธีการที่ใช้ถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น เด็กฝึกงานจะมาอาศัยอยู่กับนายช่าง พวกเขาจะต้องทำงาน ดูแลร้าน ช่วยบริหารจัดการวัตถุดิบ และเรียนรู้วิชาการช่างไปพร้อมๆ กัน จนกว่าพวกเขาจะฝึกฝนจนชำนาญพอ ที่จะมาเป็นช่างฝีมือแบบเต็มภาคภูมิ หลังจากนั้น พวกเขาอาจจะสืบทอดร้านจากอาจารย์ พ่อแม่ หรือว่าไปเปิดกิจการในสถานที่ใหม่
“ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง มันเป็นวิธีการส่งต่อความรู้ และผลิตช่างรุ่นใหม่ๆ” ลีโอตอบ “แต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะรับเด็กสาวมาเป็นลูกมือ ข้านึกว่างานตีเหล็ก เป็นของผู้ชายเสียอีก”
“ไม่สำคัญหรอกว่าเป็นเด็กสาวหรือเด็กหนุ่ม” บาลินน์กล่าวขึ้นมา “หากมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ข้าก็ยินดีรับเข้ามาฝึกงานได้ทั้งนั้นแหละ”
หลังจากจัดการมือที่ไหม้เสร็จ บาลินน์ก็มองกลับไปที่อาวุธก๊อบลินที่ลีโอนำมา เขาเคาะเบาๆ ด้วยค้อนเล็กๆ ที่เขาพกติดตัว โลหะกระทบกับปลายค้อน ส่งเสียงออกมาเป็นเสียงการสั่นสะเทือนสั้นๆ
“น่าสนใจ นั่นคือวิธีใช้ตรวจสอบหรือ?” อาร์วินถามขึ้นมา เมื่อเห็นบาลินน์ทำเช่นนั้น
“คนแคระอย่างพวกเรา ได้ยินเสียงร้องของเหล่ากับโลหะและแร่ธาตุต่างๆ” เขาพูดขึ้นขณะเริ่มตรวจสอบอาวุธอย่างจริงจัง “เมื่อข้าเคาะมันแบบนี้ โลหะจะร้องเพลงออกมา มันทำให้ข้ารู้ว่า แร่นั้นมาจากไหนและถูกตีขึ้นมาอย่างไร”
หลังจากเคาะไม่กี่ครั้ง สีหน้าของบาลินน์ก็เริ่มแสดงความไม่พอใจ “แร่คุณภาพไม่เลว… แต่พวกมันกลับสร้างอาวุธออกมาได้ไม่ต่างจากเศษขยะ” เขาบ่นด้วยความรังเกียจพลางวางอาวุธลงกับโต๊ะ “ข้าล่ะโมโหจริงๆ ที่เห็นแร่ดีๆ มาถูกทำให้เสียของแบบนี้”
“คงจะคาดหวังทั้งวิทยาการและความประณีตจากก๊อบลินไม่ได้หรอกนะ” อาร์วินกล่าวขึ้นมา “พวกนั้นก็ไม่ต่างจากลิงดีๆ นี่เอง ทำได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว”
“ข้าว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือพวกมัน” บาลินน์ถ่มน้ำลายลงไปถังน้ำข้างๆ เตาอีกครั้งหนึ่ง “ตอนแรกข้าเดาว่าเป็นฝีมือออร์ค แต่อย่างน้อยของพวกนั้น ยังพอจะมีประโยชน์ในสนามรบอยู่บ้าง”
“แต่นี่มันไม่ต่างจากท่อนเหล็กร้อนๆ ที่โดนทุบให้เป็นรูปร่างด้วยมือเปล่าชัดๆ” บาลินน์เปรียบเปรย
“แล้วท่านรู้อะไรอีกบ้าง? พวกก๊อบลินเอาแร่พวกนี้มาจากไหน?” ลีโอลองถามดู เผื่อว่าบาลินน์จะสามารถบอกอะไรได้มากกว่านั้น
“แร่มาจากไหนเหรอ…? สองเล่มนี้มาจากเหล็กที่อยู่ลึกในแกนของภูเขา” นายช่างชี้ไปที่ขวานและมีดเล่มหนึ่ง “หลอมจากแร่ดิบ แยกอย่างหยาบๆ แต่ก็ที่บอก แร่คุณภาพดีพอตัว เลยใช้ยังคงรูปอยู่ได้แบบนี้”
“แปลว่าอีกสองเล่มนี้มีที่มาต่างออกไป?” อาร์วินชี้ถาม ดาบอีกสองเล่มที่ดูเหมือนบาลินน์จะยังไม่ได้ตอบ ว่ามาจากไหน
“สองเล่มนั้นมีส่วนผสม เป็นเหล็กแม่น้ำประมาณสามในห้า ที่เหลือก็ผสมกับแร่ดิบที่มาจากที่เดียวกับเล่มอื่น” บาลินน์ตอบแล้วลูบคางเล็กน้อย
“เหล็กแม่น้ำ?” ลีโอขมวดคิ้ว
“เหล็กที่ร่อนมาจากตะกอนที่พัดมาตามลำน้ำน่ะ ส่วนมากจะเป็นแม่น้ำ สายเดียวกับที่มีเหมืองเหล็กที่ต้นน้ำ” คนแคระอธิบาย “คุณภาพกลางๆ เหล็กเกรดใช้งานในสนามรบ ไม่ดี ไม่แย่… จากที่ข้าเดา… เหล็กแม่น้ำนี่ น่าจะถูกตีเป็นสิ่งอื่นมาก่อน แล้วถูกหลอมรวมกับแร่ดิบอื่นในภายหลัง”
“ประหลาดจริงๆ ทำไมถึงทำแบบนั้น?” ลีโอถามต่อ เขาดูจะยังพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว ว่าทำไมเหล็กถึงต่างกันได้
“ไม่แปลกหรอก” บาลินน์ส่ายหน้า “ถ้าเจ้าว่าเป็นฝีมือก๊อบลิน มันคงชิงอาวุธคนอื่นมาหลอมแล้วตีใหม่ล่ะมั้ง”
“แล้วทำไมไม่ใช้อาวุธที่ขโมยมาเลยล่ะ? จะตีใหม่ทำไม” อาร์วินแย้งขึ้นมา
“เอ่อ… นั่นสินะ” เมื่อช่างคนแคระได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เหมือนเขาจะลืมคิดเรื่องนี้ไป เขามัวแต่มองในมุมของช่างเหล็ก แต่ลืมไปว่าพวกก๊อบลินไม่ใช่ช่างเหล็กแบบเขา เขาหลับตาแล้วพยายามนึกอยู่ “อืม… ก็น่าจะ… เพราะ… อาวุธต้นแบบมันอาจจะ… เสียหายเกินไป… ล่ะมั้ง?”
“ท่านดูไม่แน่ใจเลยนะ นายช่างใหญ่ ทำไมกันล่ะ” อาร์วินยิ้มเล็กน้อย เหมือนเขาจะดีใจ ที่จะได้เห็นมุมมองนี้ของนายช่างบ้าง “ที่ท่านพูดมา ก็ดูมีเหตุผลดีนี่นา อาวุธพัง ก็หลอมเป็นเหล็กแล้วตีใหม่ซะ”
“ข้าลองนึกดูดีๆ แล้วมันแปลกๆ น่ะสิ เจ้าหูดาบ” บาลลินน์เอ็ดขึ้นมา “เผ่าพันธุ์ข้าก็สู้กับก๊อบลินมาไม่น้อย ยังไม่เคยเห็นก๊อบลินตัวไหน มีปัญหากับการใช้อาวุธพังๆ ของที่มันขโมยมา”
“การจะหลอมตีเหล็กใหม่… มันผิดวิสัยของพวกมันไปหน่อยแฮะ” บาลินน์กล่าว
อาร์วินกับลีโอหันมามองหน้ากัน ดูเหมือนว่าเขาจะได้คำถามใหม่ขึ้นมา ให้ไขปริศนากันอีกซะแล้ว
“อ้อใช่… คำถามที่สำคัญกว่าเลยครับ” ลีโอแทรกขึ้นมา ระหว่างความคิดของนายช่าง “แล้วทำไมมันถึง… ติดไฟแบบนี้?”
“อ่อ… อันั้นอธิบายไม่อยากเท่าไหร่ แต่คำอธิบายน่าเป็นห่วงเหมือนกัน” บาลลินน์หยิบดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วเหวี่ยงไปมาให้ดู เหมือนเขาจะพยายามดับไฟที่ติดอยู่บนใบดาบ “มีคำอธิบายง่ายๆ คนส่วนมากไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องนี้”
“ขนาดช่างอย่างข้าก็ไม่เคยเห็นกับตาเหมือนกัน แค่เรื่องเล่า และความเป็นไปได้ทางทฤษฏีเท่านั้น” นายช่างคนแคระลดเสียงลงต่ำ แล้วมองใบดาบที่ไฟยังไม่ดับลง “ไฟที่พวกเราเห็นกันอยู่นี่ เป็นไฟของมังกร…”